หากท่านเคยอ่านงานเขียนของผมเรื่อง “พยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ” ท่านคงจะพอทราบคร่าวๆ ถึงเรื่องสงครามกลางเมืองศรีลังกาอันยาวนานหลายสิบปี และจบลงด้วยการที่ฝ่ายกบฏพยัคฆ์ทมิฬถูกกวาดล้างจนแทบสิ้นกำลังในปี 2009
ทว่าอย่างที่ผมเคยเขียนไว้ว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรจบลงจริงๆ สักอย่างเดียว…” สงครามครั้งนั้นก็เช่นกัน
จุดจบของมันกลับมีส่วนให้เกิดหายนะครั้งใหม่ในกาลต่อมา ภัยนี้ไม่ใช่มหาสงครามประหัตประหาร แต่เป็นหายนะทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ชาวศรีลังกาทั้งทมิฬและสิงหลเหมือนตายทั้งเป็น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับศรีลังกา? ในบทความนี้ผมจะพาท่านไปย้อนดูตั้งแต่ความขัดแย้งในอดีตที่ทำให้เกิดสงครามใหญ่ เรื่องของกลุ่มวีรบุรุษที่กู้ชาติและทำลายมันลงกับมือในช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปี รวมไปถึงความผิดพลาดของศรีลังกาที่ทำให้เกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน…
*** ประวัติย่อของศรีลังกา ***
ประเทศศรีลังกา เป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย มีขนาดประมาณ 1 ใน 8 ของประเทศไทย มีประชากรราว 22 ล้านคน ร้อยละ 75 เป็นชาวสิงหล ร้อยละ 11 เป็นชาวทมิฬศรีลังกา นอกนั้นเป็นชาวมัวร์ มาเลย์ อินเดีย ชาวยุโรป และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ศรีลังกามีชัยภูมิดี เป็นท่าเรือสำคัญในการล่องเรือค้าขายระหว่างยุโรปกับเอเชีย มหาอำนาจต่างชาติจำนวนมากจึงหมายตา ดังนี้แต่โบราณมาบริเวณนี้จึงถูกแย่งชิงอยู่เสมอ จนกระทั่งอังกฤษมายึดเกาะทั้งหมดเป็นเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1815
เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองศรีลังกา ก็ใช้นโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เอาใจชาวทมิฬ และกดขี่ชาวสิงหล โดยให้อิสรภาพแก่ชาวทมิฬมากกว่า ให้การศึกษาและโอกาสที่ดีกว่า ชาวทมิฬมากมายได้เข้าทำราชการ จนข้าราชการส่วนใหญ่ของศรีลังกายุคอาณานิคมนั้นเป็นชาวทมิฬ
ภาพแนบ: ข้าราชการศรีลังกายุคอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม ลัทธิอาณานิคมเสื่อมลงตามกาลเวลา ชาติใต้ปกครองพากันเรียกร้องเอกราช ศรีลังกาเองก็เช่นกัน…
พอการเมืองเปลี่ยนเป็นระบบรัฐสภาที่มีเลือกตั้งจากประชาชน ชาวสิงหลซึ่งมีจำนวนมากกว่าก็โหวตชนะ เรื่องราวจึงเริ่มกลับตาลปัตร จากที่ชาวทมิฬเคยมีสิทธิพิเศษมาตลอดก็กลายเป็นฝ่ายโดนกดขี่เสียเอง และเมื่อออกมาประท้วง รัฐบาลก็จัดการพวกเขาเด็ดขาด ความคับแค้นใจนี้ส่งผลให้ชาวทมิฬบางส่วนตั้งกองกำลังต่อต้านขึ้นมา ซึ่งก็มีทั้งแบบสันติวิธีและใช้กำลัง
ภาพแนบ: ศรีลังกาเป็นเอกราช
กองกำลังทมิฬอันโด่งดังที่สุด มีชื่อว่า “พยัคฆ์ทมิฬอีแลม” มีผู้นำคือ “เวฬุพิไล ประภาการัน” เป็นกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง ใช้วิธีการเหี้ยมโหดแบบก่อการร้าย สังหารเด็ก คนแก่ พระสงฆ์ เณร ชี ฯลฯ ไม่มีการยกเว้น
วีรกรรมเด่นๆ ของพยัคฆ์ทมิฬคือการใช้ “ระเบิดฆ่าตัวตาย” สังหาร ราจีฟ คานธี ผู้นำอินเดีย กลายเป็นต้นแบบให้กลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกนำไปทำตาม
ภาพแนบ: เวฬุพิไล ประภาการัน
รัฐบาลศรีลังกาพยายามสู้รบกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ จนพวกทมิฬจวนเจียนจะมี “รัฐอีแลม” ของตนเอง และคงเป็นเช่นนั้น หากศรีลังกาไม่ได้ประธานาธิบดีคนใหม่นาม “มหินทา ราชปักษา” ในปี 2005
…เขาผู้นี้มีนโยบายถอนรากถอนโคนผู้ก่อการร้ายให้สิ้นซาก!
ภาพแนบ: มหินทา ราชปักษา
*** พญาราชปักษาครองประเทศ ***
“ตระกูลราชปักษา” เป็นตระกูลชาวนาร่ำรวยทางตอนใต้ของศรีลังกา พ่อและลุงของนายมหินทาลงเล่นการเมืองมายาวนานและได้รับเลือกเป็น ส.ส. ในเขตตนเรื่อยมา ลักษณะเด่นของตระกูลราชปักษาคือมีความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติเหนียวแน่น มีการส่งลูกหลานไปเรียนสูงๆ จากนั้นก็ให้กลับมาช่วยตระกูลในทางต่างๆ (คล้ายๆ ระบบกงสีของคนจีน)
ภาพแนบ: เครือญาติราชปักษา
พอมหินทาขึ้นเป็นประธานาธิบดีเขาก็วางญาติพี่น้องของตนในตำแหน่งสำคัญต่างๆ คนที่สำคัญที่สุดคือน้องชายแท้ๆ ชื่อ “โคตาพยา ราชปักษา” ซึ่งกลายเป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่โหดเหี้ยมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศรีลังกา…
ภาพแนบ: โคตาพยา ราชปักษา
เมื่อศึกใหญ่ระหว่างรัฐบาลศรีลังกาและพยัคฆ์ทมิฬเริ่มขึ้นในปี 2006 กองทัพศรีลังกาได้ทำการรบอย่างดุดัน สามารถตีชิงพื้นที่ในครอบครองของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ จนในปี 2009 ก็รุกไล่ชาวทมิฬนับแสนๆ ไปแออัดในพื้นที่ชายหาดแคบๆ ทางตะวันออก 20 ตารางกิโลเมตร เรียกว่า No Fire Zone
ตอนนั้นรัฐบาลได้กวาดล้างชาวทมิฬที่เหลือใน No Fire Zone อย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ไม่ต่างอะไรกับที่พยัคฆ์ทมิฬเคยทำกับประชาชนสิงหลเลย…
ภาพแนบ: ชาวบ้านทมิฬพยายามเอาตัวรอดด้วยการขุดหลุมหลบภัย (แต่ไม่ช่วยอะไร)
กบฏชาวทมิฬสิ้นฤทธิ์ไปในคราวนั้น และตระกูลราชปักษาก็ครองประเทศยาวนานสืบมาในฐานะวีรบุรุษที่นำพาความสงบมาสู่ชาติบ้านเมือง… พวกเขารุ่งเรืองอยู่ด้วยนโยบายชาตินิยมขวาจัดที่กดขี่ผู้เห็นต่างอย่างโหดร้าย และคนจำนวนมากก็พร้อมสนับสนุนเขาเสียด้วย
แต่ท่านครับ โลกแห่งความเป็นจริงมักไม่จบแบบนิทาน รัฐบาลศรีลังกาเสียเงินไปมากกับการทำสงครามกับชาวทมิฬ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของศรีลังกาจึงง่อนแง่นมาแต่บัดนั้น …นี่คือปัญหาใหญ่ที่พวกราชปักษาต้องเผชิญในกาลต่อมา
*** เมื่อวีรบุรุษพาชาติล่ม ***
ตามที่ผมบอกไป ลักษณะเด่นของตระกูลราชปักษาคือมีความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติเหนียวแน่น ดังนั้นนอกจากมหินทาและโคตาพยา และคนอื่นๆ ในตระกูลก็มีตำแหน่งในรัฐสภาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เกิดข้อครหาว่ารัฐบาลราชปักษากำลังร่วมกันฉ้อราษฎร์บังหลวง
ภาพแนบ: การ์ตูนล้อเลียนการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลราชปักษา
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่มีข้อหาดังกล่าว รัฐบาลก็บริหารงานผิดพลาดมาก กล่าวคือ ตระกูลราชปักษานั้นเป็นชาตินิยมขวาจัดซึ่งพึ่งพาแรงสนับสนุนจากกลุ่มพระสงฆ์ เนื่องจากพระสงฆ์นั้นมีแนวโน้มจะชอบรัฐสวัสดิการ “ที่ทำให้คนยากจนน้อยลง” มากกว่ารัฐที่ส่งเสริมเศรษฐกิจทุนนิยม (ที่อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ) จึงมีการพัฒนาสวัสดิการเป็นอันมาก แม้สิ่งนั้นจะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการต่างๆ ได้มากขึ้นในราคาถูกลง แต่ก็แลกกับการใช้เงินจำนวนมากมาอุ้มประชาชน
สิ่งนี้ไม่เหมาะกับศรีลังกาที่ขาดดุลการค้ามานาน แม้พวกเขาจะส่งออกเสื้อผ้าและใบชาได้มาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับปริมาณสินค้านำเข้า เมื่อมีการนำเข้ามากกว่าส่งออก เงินก็ร่อยหรอ เมื่อไม่มีเงินก็ต้องกู้จากชาติอื่น เป็นการพอกพูนหนี้สินขึ้นเรื่อยๆ

\
ระหว่างนี้ ศรีลังกาไปกู้เงินมาจากหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น IMF, ญี่ปุ่น, หรือจีน ซึ่งจีนนี่เองได้สนับสนุนการสร้างสาธารณูปโภคในศรีลังกามากมาย เด่นๆ ก็เช่น โรงไฟฟ้าลังคะวิชัยยะ, สนามบินมัทธาลา ราชปักษา (มัทธาลาเป็นชื่อเมือง ไม่ใช่สมาชิกตระกูลราชปักษาอีกคนนะครับ) รวมไปถึงท่าเรือฮัมบันโตตา และ เมืองท่าโคลอมโบซึ่งสองอันหลังจีนจ่ายเงินขอเช่าที่ 99 ปีพ่วงมาด้วย
ภาพแนบ: ท่าเรือฮัมบันโตตา
ที่ให้กู้มาสร้างเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจีนใจใหญ่หรอกครับ แต่เพราะจีนมองศรีลังกาเป็นหนึ่งใน “โครงการเข็มขัดและเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) หรือ “เส้นทางสายไหมใหม่” เพื่อขยายอิทธิพลทางการค้าของตัวเอง
ซึ่งนอกจากศรีลังกาแล้วจีนได้ให้เงินประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งกู้เป็นอันมาก แล้วเข้าไปครอบครองกิจการต่างๆ เพื่อทำให้การค้าขายสะดวกขึ้น ต่อมาถูกวิจารณ์มากว่าทำให้ประเทศเหล่านี้มีปัญหาหนี้สินหัวโตและต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลจีน
(อนึ่ง เคยมีการเปิดโปงเรื่องนายมหินทารู้เห็นเป็นใจ ไปพูดกับข้าราชการศรีลังกาเองว่า "ถ้าใช้หนี้จีนไม่หมดก็ไม่เป็นไร ยกท่าเรือให้จีนไปแล้วขอยกเลิกหนี้เอาก็สิ้นเรื่อง")
นอกจากนี้ การมาทำธุรกิจของจีน ใช่จะเป็นแบบชาติอื่นๆ ที่จ้างคนท้องถิ่นมาทำงาน โดยมีคนชาติตัวเองมาคุมเพียงจำนวนหนึ่ง แต่เป็นการนำแรงงานจีนมาทำทุกอย่างตั้งแต่ระดับแรงงานไปจนถึงผู้บริหาร ดังนั้นแทนที่ศรีลังการจะมีรายได้เข้าประเทศ และประชาชนมีงานทำ สิ่งต่างๆ ก็เลยตกเป็นของจีนหมด
…นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลโดนวิพากษ์วิจารณ์มากว่า “ขายชาติ”
ภาพแนบ: แรงงานก่อสร้างชาวจีนในศรีลังกา
ถึงจะเงินเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แต่ตระกูลราชปักษายังดำเนินแนวทางประชานิยมอีกหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2019 ที่นายโคตาพยาหาเสียงให้ตัวเองได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาได้ชู “นโยบายลดภาษี” เพื่อเอาใจประชาชนอีก ทำให้พอได้รับเลือกจริงๆ มีผู้ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นนับล้านคน
…แต่เมื่อไม่มีเงินภาษีแล้ว ศรีลังกาจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน…
***เกิดอะไรขึ้นที่ศรีลังกา?***
ทว่าอย่างที่ผมเคยเขียนไว้ว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรจบลงจริงๆ สักอย่างเดียว…” สงครามครั้งนั้นก็เช่นกัน
จุดจบของมันกลับมีส่วนให้เกิดหายนะครั้งใหม่ในกาลต่อมา ภัยนี้ไม่ใช่มหาสงครามประหัตประหาร แต่เป็นหายนะทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ชาวศรีลังกาทั้งทมิฬและสิงหลเหมือนตายทั้งเป็น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับศรีลังกา? ในบทความนี้ผมจะพาท่านไปย้อนดูตั้งแต่ความขัดแย้งในอดีตที่ทำให้เกิดสงครามใหญ่ เรื่องของกลุ่มวีรบุรุษที่กู้ชาติและทำลายมันลงกับมือในช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปี รวมไปถึงความผิดพลาดของศรีลังกาที่ทำให้เกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน…
*** ประวัติย่อของศรีลังกา ***
ประเทศศรีลังกา เป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย มีขนาดประมาณ 1 ใน 8 ของประเทศไทย มีประชากรราว 22 ล้านคน ร้อยละ 75 เป็นชาวสิงหล ร้อยละ 11 เป็นชาวทมิฬศรีลังกา นอกนั้นเป็นชาวมัวร์ มาเลย์ อินเดีย ชาวยุโรป และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ศรีลังกามีชัยภูมิดี เป็นท่าเรือสำคัญในการล่องเรือค้าขายระหว่างยุโรปกับเอเชีย มหาอำนาจต่างชาติจำนวนมากจึงหมายตา ดังนี้แต่โบราณมาบริเวณนี้จึงถูกแย่งชิงอยู่เสมอ จนกระทั่งอังกฤษมายึดเกาะทั้งหมดเป็นเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1815
เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองศรีลังกา ก็ใช้นโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เอาใจชาวทมิฬ และกดขี่ชาวสิงหล โดยให้อิสรภาพแก่ชาวทมิฬมากกว่า ให้การศึกษาและโอกาสที่ดีกว่า ชาวทมิฬมากมายได้เข้าทำราชการ จนข้าราชการส่วนใหญ่ของศรีลังกายุคอาณานิคมนั้นเป็นชาวทมิฬ
ภาพแนบ: ข้าราชการศรีลังกายุคอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม ลัทธิอาณานิคมเสื่อมลงตามกาลเวลา ชาติใต้ปกครองพากันเรียกร้องเอกราช ศรีลังกาเองก็เช่นกัน…
พอการเมืองเปลี่ยนเป็นระบบรัฐสภาที่มีเลือกตั้งจากประชาชน ชาวสิงหลซึ่งมีจำนวนมากกว่าก็โหวตชนะ เรื่องราวจึงเริ่มกลับตาลปัตร จากที่ชาวทมิฬเคยมีสิทธิพิเศษมาตลอดก็กลายเป็นฝ่ายโดนกดขี่เสียเอง และเมื่อออกมาประท้วง รัฐบาลก็จัดการพวกเขาเด็ดขาด ความคับแค้นใจนี้ส่งผลให้ชาวทมิฬบางส่วนตั้งกองกำลังต่อต้านขึ้นมา ซึ่งก็มีทั้งแบบสันติวิธีและใช้กำลัง
ภาพแนบ: ศรีลังกาเป็นเอกราช
กองกำลังทมิฬอันโด่งดังที่สุด มีชื่อว่า “พยัคฆ์ทมิฬอีแลม” มีผู้นำคือ “เวฬุพิไล ประภาการัน” เป็นกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง ใช้วิธีการเหี้ยมโหดแบบก่อการร้าย สังหารเด็ก คนแก่ พระสงฆ์ เณร ชี ฯลฯ ไม่มีการยกเว้น
วีรกรรมเด่นๆ ของพยัคฆ์ทมิฬคือการใช้ “ระเบิดฆ่าตัวตาย” สังหาร ราจีฟ คานธี ผู้นำอินเดีย กลายเป็นต้นแบบให้กลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกนำไปทำตาม
ภาพแนบ: เวฬุพิไล ประภาการัน
รัฐบาลศรีลังกาพยายามสู้รบกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ จนพวกทมิฬจวนเจียนจะมี “รัฐอีแลม” ของตนเอง และคงเป็นเช่นนั้น หากศรีลังกาไม่ได้ประธานาธิบดีคนใหม่นาม “มหินทา ราชปักษา” ในปี 2005
…เขาผู้นี้มีนโยบายถอนรากถอนโคนผู้ก่อการร้ายให้สิ้นซาก!
ภาพแนบ: มหินทา ราชปักษา
*** พญาราชปักษาครองประเทศ ***
“ตระกูลราชปักษา” เป็นตระกูลชาวนาร่ำรวยทางตอนใต้ของศรีลังกา พ่อและลุงของนายมหินทาลงเล่นการเมืองมายาวนานและได้รับเลือกเป็น ส.ส. ในเขตตนเรื่อยมา ลักษณะเด่นของตระกูลราชปักษาคือมีความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติเหนียวแน่น มีการส่งลูกหลานไปเรียนสูงๆ จากนั้นก็ให้กลับมาช่วยตระกูลในทางต่างๆ (คล้ายๆ ระบบกงสีของคนจีน)
ภาพแนบ: เครือญาติราชปักษา
พอมหินทาขึ้นเป็นประธานาธิบดีเขาก็วางญาติพี่น้องของตนในตำแหน่งสำคัญต่างๆ คนที่สำคัญที่สุดคือน้องชายแท้ๆ ชื่อ “โคตาพยา ราชปักษา” ซึ่งกลายเป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่โหดเหี้ยมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศรีลังกา…
ภาพแนบ: โคตาพยา ราชปักษา
เมื่อศึกใหญ่ระหว่างรัฐบาลศรีลังกาและพยัคฆ์ทมิฬเริ่มขึ้นในปี 2006 กองทัพศรีลังกาได้ทำการรบอย่างดุดัน สามารถตีชิงพื้นที่ในครอบครองของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ จนในปี 2009 ก็รุกไล่ชาวทมิฬนับแสนๆ ไปแออัดในพื้นที่ชายหาดแคบๆ ทางตะวันออก 20 ตารางกิโลเมตร เรียกว่า No Fire Zone
ตอนนั้นรัฐบาลได้กวาดล้างชาวทมิฬที่เหลือใน No Fire Zone อย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ไม่ต่างอะไรกับที่พยัคฆ์ทมิฬเคยทำกับประชาชนสิงหลเลย…
ภาพแนบ: ชาวบ้านทมิฬพยายามเอาตัวรอดด้วยการขุดหลุมหลบภัย (แต่ไม่ช่วยอะไร)
กบฏชาวทมิฬสิ้นฤทธิ์ไปในคราวนั้น และตระกูลราชปักษาก็ครองประเทศยาวนานสืบมาในฐานะวีรบุรุษที่นำพาความสงบมาสู่ชาติบ้านเมือง… พวกเขารุ่งเรืองอยู่ด้วยนโยบายชาตินิยมขวาจัดที่กดขี่ผู้เห็นต่างอย่างโหดร้าย และคนจำนวนมากก็พร้อมสนับสนุนเขาเสียด้วย
แต่ท่านครับ โลกแห่งความเป็นจริงมักไม่จบแบบนิทาน รัฐบาลศรีลังกาเสียเงินไปมากกับการทำสงครามกับชาวทมิฬ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของศรีลังกาจึงง่อนแง่นมาแต่บัดนั้น …นี่คือปัญหาใหญ่ที่พวกราชปักษาต้องเผชิญในกาลต่อมา
*** เมื่อวีรบุรุษพาชาติล่ม ***
ตามที่ผมบอกไป ลักษณะเด่นของตระกูลราชปักษาคือมีความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติเหนียวแน่น ดังนั้นนอกจากมหินทาและโคตาพยา และคนอื่นๆ ในตระกูลก็มีตำแหน่งในรัฐสภาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เกิดข้อครหาว่ารัฐบาลราชปักษากำลังร่วมกันฉ้อราษฎร์บังหลวง
ภาพแนบ: การ์ตูนล้อเลียนการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลราชปักษา
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่มีข้อหาดังกล่าว รัฐบาลก็บริหารงานผิดพลาดมาก กล่าวคือ ตระกูลราชปักษานั้นเป็นชาตินิยมขวาจัดซึ่งพึ่งพาแรงสนับสนุนจากกลุ่มพระสงฆ์ เนื่องจากพระสงฆ์นั้นมีแนวโน้มจะชอบรัฐสวัสดิการ “ที่ทำให้คนยากจนน้อยลง” มากกว่ารัฐที่ส่งเสริมเศรษฐกิจทุนนิยม (ที่อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ) จึงมีการพัฒนาสวัสดิการเป็นอันมาก แม้สิ่งนั้นจะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการต่างๆ ได้มากขึ้นในราคาถูกลง แต่ก็แลกกับการใช้เงินจำนวนมากมาอุ้มประชาชน
สิ่งนี้ไม่เหมาะกับศรีลังกาที่ขาดดุลการค้ามานาน แม้พวกเขาจะส่งออกเสื้อผ้าและใบชาได้มาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับปริมาณสินค้านำเข้า เมื่อมีการนำเข้ามากกว่าส่งออก เงินก็ร่อยหรอ เมื่อไม่มีเงินก็ต้องกู้จากชาติอื่น เป็นการพอกพูนหนี้สินขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างนี้ ศรีลังกาไปกู้เงินมาจากหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น IMF, ญี่ปุ่น, หรือจีน ซึ่งจีนนี่เองได้สนับสนุนการสร้างสาธารณูปโภคในศรีลังกามากมาย เด่นๆ ก็เช่น โรงไฟฟ้าลังคะวิชัยยะ, สนามบินมัทธาลา ราชปักษา (มัทธาลาเป็นชื่อเมือง ไม่ใช่สมาชิกตระกูลราชปักษาอีกคนนะครับ) รวมไปถึงท่าเรือฮัมบันโตตา และ เมืองท่าโคลอมโบซึ่งสองอันหลังจีนจ่ายเงินขอเช่าที่ 99 ปีพ่วงมาด้วย
ภาพแนบ: ท่าเรือฮัมบันโตตา
ที่ให้กู้มาสร้างเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจีนใจใหญ่หรอกครับ แต่เพราะจีนมองศรีลังกาเป็นหนึ่งใน “โครงการเข็มขัดและเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) หรือ “เส้นทางสายไหมใหม่” เพื่อขยายอิทธิพลทางการค้าของตัวเอง
ซึ่งนอกจากศรีลังกาแล้วจีนได้ให้เงินประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งกู้เป็นอันมาก แล้วเข้าไปครอบครองกิจการต่างๆ เพื่อทำให้การค้าขายสะดวกขึ้น ต่อมาถูกวิจารณ์มากว่าทำให้ประเทศเหล่านี้มีปัญหาหนี้สินหัวโตและต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลจีน
(อนึ่ง เคยมีการเปิดโปงเรื่องนายมหินทารู้เห็นเป็นใจ ไปพูดกับข้าราชการศรีลังกาเองว่า "ถ้าใช้หนี้จีนไม่หมดก็ไม่เป็นไร ยกท่าเรือให้จีนไปแล้วขอยกเลิกหนี้เอาก็สิ้นเรื่อง")
นอกจากนี้ การมาทำธุรกิจของจีน ใช่จะเป็นแบบชาติอื่นๆ ที่จ้างคนท้องถิ่นมาทำงาน โดยมีคนชาติตัวเองมาคุมเพียงจำนวนหนึ่ง แต่เป็นการนำแรงงานจีนมาทำทุกอย่างตั้งแต่ระดับแรงงานไปจนถึงผู้บริหาร ดังนั้นแทนที่ศรีลังการจะมีรายได้เข้าประเทศ และประชาชนมีงานทำ สิ่งต่างๆ ก็เลยตกเป็นของจีนหมด
…นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลโดนวิพากษ์วิจารณ์มากว่า “ขายชาติ”
ภาพแนบ: แรงงานก่อสร้างชาวจีนในศรีลังกา
ถึงจะเงินเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แต่ตระกูลราชปักษายังดำเนินแนวทางประชานิยมอีกหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2019 ที่นายโคตาพยาหาเสียงให้ตัวเองได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาได้ชู “นโยบายลดภาษี” เพื่อเอาใจประชาชนอีก ทำให้พอได้รับเลือกจริงๆ มีผู้ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นนับล้านคน
…แต่เมื่อไม่มีเงินภาษีแล้ว ศรีลังกาจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน…