สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิพ เข้ามาดูนานมากแล้ว แต่เพิ่งได้เขียนเรื่องของตัวเองครั้งแรก เนื้อเรื่องก็จะเป็นไปประมานตามหัวข้อ คือ
เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน โดยที่ปัญหานั้นเราไม่ได้เป็นคนก่อ สืบเนื่องจาก เอ(นามสมมุติ) มาสมัครงานในตำแหน่งงานที่เพื่อนเราออกไป
ตอนมาสมัครและทำงานช่วงแรกๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เรารู้จัก เอ ดี เพราะว่า เรียนห้องเดียวกันมาก่อน จึงบอกพี่หัวหน้างานไป ว่านิสัยเอเนี่ย
ไม่ธรรมดานะ เป็นคนทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัวแบบสุดๆ ชอบลอกงานคนอื่นด้วย แต่ถ้าพี่จะรับ เพราะเห็นผลงานดี เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร คิดซะว่าต่างคนต่างอยู่คงไม่มีปัญหาอะไร
เอ เข้ามาเอก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหาอะไร เราก็ทำตัวปกติ ในช่วงแรก เอ ก็จะมีปัญหากระทบกระทั่ง กับหัวหน้างานบ้าง เพราะ เอ ป่วย ขอลางาน 2 อาทิตย์ เพราะเอ บอกว่า หมอให้ลางาน 2 อาทิตย์ เพราะว่าเป็นโรคเกี่ยวกับปอด ไม่แน่ใจในเรื่องรายละเอียดนะคะ ว่าอักเสษหรือติดเชื้อ เจ้าของบริษัทอนุมัติให้เอลางานได้ ดดยที่เอไม่ได้แจ้ง หัวหน้างานก่อน แต่ส่งเมลล์มาแจ้งทีหลัง เราก็ด้วยความอยากรู้เลยเข้าไปเฟชบุคของเอ ก็เห็นเอ ไปเที่ยวห้าง ทั้งที่ตอนลาบอกว่าหมอสั่งห้ามไปในที่ที่คนพุกพล่าน แต่เอออกไปห้างทุกวัน เช็คอินในเฟชบุคให้เห็นทุกวัน ออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะมาก เราก็เอารูปให้เพื่อนเราอีกคนดู แต่ไม่ได้บอกหัวหน้าเรา เพราะคิดว่าพูดไปคงไม่ดี
จนกระทั่งหัวหน้างานเราโทรไปตามงานกับเอ แต่เอไม่มีงานส่ง ถามอะไรก็พลัดไปเรื่อยและพูดจากำำกวมมาก วนไปวนมา จนหัวหน้างานเราสับสนเรื่องงาน แต่เราไม่รู้เรื่องรายละเอียดนะ รู้แต่ว่าหัวหน้างานเรามาบอกว่าเอพูดจาไม่รู้เรื่องและ ส่งงานไม่ทันตามกำหนด
และเอก็กลับมาทำงานตามปกติ ก็ทำงานตามปกติไม่มีปัญหาอะไร จน เอผ่านโปร ด้วยความที่เอเป็นคนที่ จะทำแต่งานที่ตัวเองชอบ เอเริ่มโยนงานมาให้เราทำ ขอร้องให้เราช่วยทำให้หน่อยเพราะว่า เอทำไม่ทัน เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าช่วยได้ก็ช่วย แต่กลับกลายเป็นว่า เราต้องมานั่งทำงานนั้นทุกๆ โปรเจค ทั้งๆทีไม่ใช่หน้าที่เราเลย
เอมีปัญหากับหัวหน้างานเรามาตลอด เพราะว่า เรื่องงานที่ไม่ลงตัว เอจะทำงานแต่งานที่เอชอบ ไม่ทำงานอื่นที่เป็นพาร์ทย่อยๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ
จนกระทั่งจุดพีคสุดๆ คือทั้งหัวหน้างานเรา และ ก็เอ มีปัญหางานกัน โดยเอ เนี่ยเป็นคนไม่ยอมคน หัวหน้างานเราก็จะไม่เอาไว้และ เพราะว่า ไม่เชื่อฟังและไม่ทำงานตามหน้าที่ เอ เข้าไปคุยกับเจ้าของบริษัท ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เป็นการคุยที่โยนความผิดให้กับทางหัวหน้าเราฝ่ายเดียว อันนี้เอ ออกมาเล่าให้พี่อีกแผนกนึงฟัง และพี่อีกแผนกนึงเป็นพี่ที่สนิทกับหัวหน้าเรา และก็เรา วันที่เอเข้าไปคุย หัวหน้าเราไม่ได้มาทำงาน เอเป็นคนที่เลือกจังหวะดีมากจะอาศัยจังหวะที่หัวหน้าเราไม่อยู่เข้าไปพูดเสมอ จนเจ้าของเรียกหัวหน้าเราเข้าไปบีบเรื่องงาน และให้เลือกว่าจะออกหรือจะอยู่ต่อ ถ้าจะอยู่ต่อให้มาทำงานเป็นแบบฟลูทาร์ม เพราะว่าพี่หัวหน้าเราจะทำงานคล้ายฟรีแลนซ์คือเข้าออฟฟิศแค่อาทิตย์ละ 3 วันเพื่อมาเคลียงาน นอกนั้นคือทำงานอยู่กที่บ้าน
และที่ทำงานเราแปลกอย่างนึงคือ ใครพูดก่อน คนนั้นถูกเสมอ ใครที่พูดที่หลัง ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเปล่า ก็จะเป็นฝ่ายผิด
จนเราคิดว่ามันไม่ใช่และ หัวหน้าเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมจะต้องมาโดนบีบให้ออกด้วย แต่หัวหน้าเราก็ออกเพราะว่าเค้าช่วยภรรยาเขาทำธุรกิจ จึงไม่สามารถมาทำงานตามเวลา ตามที่เจ้าของของได้
หลังจากนั้นพอหัวหน้าเราออก เอก็เริ่มเข้ามามีบทบาทกับการทำงานของเรามาขึ้นประหนึ่งว่าจะผลักดันตัวเองมาเป็นหัวหน้า โดยการโยนงานที่ตัวเองไม่อยากทำ หรือไม่ชอบทำมาให้เราทำ เราก็ไม่ยอม เราบอกกับเอดีๆ พูดกับเอดีๆ ว่าเรามีงานที่ต้องดูแลเหมือนกัน ท้งโปรเจคเราทำคนเดียวโดนไม่ได้โยนงานให้ใครทำ แต่เราต้องมารับภาระงานของเอ โดยเออ้างว่า งานเอเยอะ แต่งานเราก็เยอะเหมือนกัน
เราทนไม่ได้ เราก็เลยไปคุยกับเจ้าของ ท่านก็รับฟังเรา และให้เราทำตามหน้าที่เราต่อไป โดยงานก็เป็นโปรเจคใครโปรเจคมันรับผิดชอบ เราก็มาคุยกับเอ ว่างานที่เอให้เราทำทั้งหมด เอต้องเอากลับไปทำเอง เพราะเราแบ่งงานกันตามโปรเจคแล้ว เอก็ทำหน้าไม่พอใจเรา และก็ไม่ได้พูดอะไร ต่อมาเอก็รับงานมาเยอะจนทำไม่ทัน สุดท้ายงานก็ต้องมาลงที่เรา ทั้งๆ ที่งานของเราก็จะไม่ทัน เราจะวางแผนของเราไว้ แต่เราจะโดนงานของเอมาแทรกตลอด โดยเอจะไปคุยผ่าน บี (เป็นผู้บริหารคนนึง) และให้ บี พาร์ทงานมาให้เรา ซึ่งเรามาว่ามันไม่ยุติธรรมเลย เพราะว่างานที่ได้รับไปก็เท่าๆกัน แต่เอกลับทำไม่ทัน เพราะมัวแต่ นั่งเล่นคอม เฟชบุค ดูยูทูบ หรือไม่ก็ทำงานนอก ซึ่งเรารู้ เพราะเรานั่งโต๊ะติดกับเอ แต่เราพูดอะไรไม่ได้ เพราะ เราไม่มีหลักฐานที่จะเข้าไปคุยกับ เจ้าของ ส่วน บี เราไม่คิดจะเข้าไปคุยด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่รู้ว่า ทั้งเอ และ บีมีความสัมพันธ์อะไรที่ลึกซึ้งหรือเปล่า เพราะเอ ชอบหายไปกับบี ตอนเย็นที่จะกลับบ้าน และบีชอบมาหาเอที่ห้องบ่อยๆ แต่บีมีครอบครัวแล้ว และเอเองก็มีแฟน
ปล. เอเป็นคนที่ โรคจิตนิดๆ คือชอบเปิดแอรฺเย็นมากๆๆ แต่ใส่เสื้อกันหนาว ชอบทำตัวเลียนแบบคนอื่น เราถามเพื่อนสนิทที่เคยอยู่ในกลุ่มเอมาก่อน บอกว่าเอเป็นคนที่ ไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก มาอยู่กับป้าที่กรุงเทพก็โดนป้ากลั่นแกล้ง และเอเป็นคนทะเยอทะยานมาก ชอบพูดจาทับถมคนอื่น ชอบพูดให้คนอื่นด้อยกว่าตัวเอง
ปล.2 เพื่อนที่ทำงานเก่าของเอ บอกว่า ที่เก่าไล่เอ ออกเพราะเอเป็นแบบนี้และรับมือกับเอไม่ไหว
เราอยากถามว่าเราควรทำยังไงกับเอดี ออกหาที่ทำงานใหม่ดีไหม ยิ่งเราอยู่ เราก็จะยิ่งประสาท ไม่ไหวกับคนแบบนี้จริงๆ เรารับไม่ได้กับการที่เอเป็นคนทำผิดแต่โยนความผิดให้คนอื่นหน้าตาเฉย เหยียบหัวคนอื่นเผื่อให้ตัวเองไปถึงจุดมุ่งหมายของตัวเอง
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน โดยที่ปัญหานั้นเราไม่ได้เป็นคนก่อ สืบเนื่องจาก เอ(นามสมมุติ) มาสมัครงานในตำแหน่งงานที่เพื่อนเราออกไป
ตอนมาสมัครและทำงานช่วงแรกๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เรารู้จัก เอ ดี เพราะว่า เรียนห้องเดียวกันมาก่อน จึงบอกพี่หัวหน้างานไป ว่านิสัยเอเนี่ย
ไม่ธรรมดานะ เป็นคนทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัวแบบสุดๆ ชอบลอกงานคนอื่นด้วย แต่ถ้าพี่จะรับ เพราะเห็นผลงานดี เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร คิดซะว่าต่างคนต่างอยู่คงไม่มีปัญหาอะไร
เอ เข้ามาเอก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหาอะไร เราก็ทำตัวปกติ ในช่วงแรก เอ ก็จะมีปัญหากระทบกระทั่ง กับหัวหน้างานบ้าง เพราะ เอ ป่วย ขอลางาน 2 อาทิตย์ เพราะเอ บอกว่า หมอให้ลางาน 2 อาทิตย์ เพราะว่าเป็นโรคเกี่ยวกับปอด ไม่แน่ใจในเรื่องรายละเอียดนะคะ ว่าอักเสษหรือติดเชื้อ เจ้าของบริษัทอนุมัติให้เอลางานได้ ดดยที่เอไม่ได้แจ้ง หัวหน้างานก่อน แต่ส่งเมลล์มาแจ้งทีหลัง เราก็ด้วยความอยากรู้เลยเข้าไปเฟชบุคของเอ ก็เห็นเอ ไปเที่ยวห้าง ทั้งที่ตอนลาบอกว่าหมอสั่งห้ามไปในที่ที่คนพุกพล่าน แต่เอออกไปห้างทุกวัน เช็คอินในเฟชบุคให้เห็นทุกวัน ออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะมาก เราก็เอารูปให้เพื่อนเราอีกคนดู แต่ไม่ได้บอกหัวหน้าเรา เพราะคิดว่าพูดไปคงไม่ดี
จนกระทั่งหัวหน้างานเราโทรไปตามงานกับเอ แต่เอไม่มีงานส่ง ถามอะไรก็พลัดไปเรื่อยและพูดจากำำกวมมาก วนไปวนมา จนหัวหน้างานเราสับสนเรื่องงาน แต่เราไม่รู้เรื่องรายละเอียดนะ รู้แต่ว่าหัวหน้างานเรามาบอกว่าเอพูดจาไม่รู้เรื่องและ ส่งงานไม่ทันตามกำหนด
และเอก็กลับมาทำงานตามปกติ ก็ทำงานตามปกติไม่มีปัญหาอะไร จน เอผ่านโปร ด้วยความที่เอเป็นคนที่ จะทำแต่งานที่ตัวเองชอบ เอเริ่มโยนงานมาให้เราทำ ขอร้องให้เราช่วยทำให้หน่อยเพราะว่า เอทำไม่ทัน เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าช่วยได้ก็ช่วย แต่กลับกลายเป็นว่า เราต้องมานั่งทำงานนั้นทุกๆ โปรเจค ทั้งๆทีไม่ใช่หน้าที่เราเลย
เอมีปัญหากับหัวหน้างานเรามาตลอด เพราะว่า เรื่องงานที่ไม่ลงตัว เอจะทำงานแต่งานที่เอชอบ ไม่ทำงานอื่นที่เป็นพาร์ทย่อยๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ
จนกระทั่งจุดพีคสุดๆ คือทั้งหัวหน้างานเรา และ ก็เอ มีปัญหางานกัน โดยเอ เนี่ยเป็นคนไม่ยอมคน หัวหน้างานเราก็จะไม่เอาไว้และ เพราะว่า ไม่เชื่อฟังและไม่ทำงานตามหน้าที่ เอ เข้าไปคุยกับเจ้าของบริษัท ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เป็นการคุยที่โยนความผิดให้กับทางหัวหน้าเราฝ่ายเดียว อันนี้เอ ออกมาเล่าให้พี่อีกแผนกนึงฟัง และพี่อีกแผนกนึงเป็นพี่ที่สนิทกับหัวหน้าเรา และก็เรา วันที่เอเข้าไปคุย หัวหน้าเราไม่ได้มาทำงาน เอเป็นคนที่เลือกจังหวะดีมากจะอาศัยจังหวะที่หัวหน้าเราไม่อยู่เข้าไปพูดเสมอ จนเจ้าของเรียกหัวหน้าเราเข้าไปบีบเรื่องงาน และให้เลือกว่าจะออกหรือจะอยู่ต่อ ถ้าจะอยู่ต่อให้มาทำงานเป็นแบบฟลูทาร์ม เพราะว่าพี่หัวหน้าเราจะทำงานคล้ายฟรีแลนซ์คือเข้าออฟฟิศแค่อาทิตย์ละ 3 วันเพื่อมาเคลียงาน นอกนั้นคือทำงานอยู่กที่บ้าน
และที่ทำงานเราแปลกอย่างนึงคือ ใครพูดก่อน คนนั้นถูกเสมอ ใครที่พูดที่หลัง ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเปล่า ก็จะเป็นฝ่ายผิด
จนเราคิดว่ามันไม่ใช่และ หัวหน้าเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมจะต้องมาโดนบีบให้ออกด้วย แต่หัวหน้าเราก็ออกเพราะว่าเค้าช่วยภรรยาเขาทำธุรกิจ จึงไม่สามารถมาทำงานตามเวลา ตามที่เจ้าของของได้
หลังจากนั้นพอหัวหน้าเราออก เอก็เริ่มเข้ามามีบทบาทกับการทำงานของเรามาขึ้นประหนึ่งว่าจะผลักดันตัวเองมาเป็นหัวหน้า โดยการโยนงานที่ตัวเองไม่อยากทำ หรือไม่ชอบทำมาให้เราทำ เราก็ไม่ยอม เราบอกกับเอดีๆ พูดกับเอดีๆ ว่าเรามีงานที่ต้องดูแลเหมือนกัน ท้งโปรเจคเราทำคนเดียวโดนไม่ได้โยนงานให้ใครทำ แต่เราต้องมารับภาระงานของเอ โดยเออ้างว่า งานเอเยอะ แต่งานเราก็เยอะเหมือนกัน
เราทนไม่ได้ เราก็เลยไปคุยกับเจ้าของ ท่านก็รับฟังเรา และให้เราทำตามหน้าที่เราต่อไป โดยงานก็เป็นโปรเจคใครโปรเจคมันรับผิดชอบ เราก็มาคุยกับเอ ว่างานที่เอให้เราทำทั้งหมด เอต้องเอากลับไปทำเอง เพราะเราแบ่งงานกันตามโปรเจคแล้ว เอก็ทำหน้าไม่พอใจเรา และก็ไม่ได้พูดอะไร ต่อมาเอก็รับงานมาเยอะจนทำไม่ทัน สุดท้ายงานก็ต้องมาลงที่เรา ทั้งๆ ที่งานของเราก็จะไม่ทัน เราจะวางแผนของเราไว้ แต่เราจะโดนงานของเอมาแทรกตลอด โดยเอจะไปคุยผ่าน บี (เป็นผู้บริหารคนนึง) และให้ บี พาร์ทงานมาให้เรา ซึ่งเรามาว่ามันไม่ยุติธรรมเลย เพราะว่างานที่ได้รับไปก็เท่าๆกัน แต่เอกลับทำไม่ทัน เพราะมัวแต่ นั่งเล่นคอม เฟชบุค ดูยูทูบ หรือไม่ก็ทำงานนอก ซึ่งเรารู้ เพราะเรานั่งโต๊ะติดกับเอ แต่เราพูดอะไรไม่ได้ เพราะ เราไม่มีหลักฐานที่จะเข้าไปคุยกับ เจ้าของ ส่วน บี เราไม่คิดจะเข้าไปคุยด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่รู้ว่า ทั้งเอ และ บีมีความสัมพันธ์อะไรที่ลึกซึ้งหรือเปล่า เพราะเอ ชอบหายไปกับบี ตอนเย็นที่จะกลับบ้าน และบีชอบมาหาเอที่ห้องบ่อยๆ แต่บีมีครอบครัวแล้ว และเอเองก็มีแฟน
ปล. เอเป็นคนที่ โรคจิตนิดๆ คือชอบเปิดแอรฺเย็นมากๆๆ แต่ใส่เสื้อกันหนาว ชอบทำตัวเลียนแบบคนอื่น เราถามเพื่อนสนิทที่เคยอยู่ในกลุ่มเอมาก่อน บอกว่าเอเป็นคนที่ ไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก มาอยู่กับป้าที่กรุงเทพก็โดนป้ากลั่นแกล้ง และเอเป็นคนทะเยอทะยานมาก ชอบพูดจาทับถมคนอื่น ชอบพูดให้คนอื่นด้อยกว่าตัวเอง
ปล.2 เพื่อนที่ทำงานเก่าของเอ บอกว่า ที่เก่าไล่เอ ออกเพราะเอเป็นแบบนี้และรับมือกับเอไม่ไหว
เราอยากถามว่าเราควรทำยังไงกับเอดี ออกหาที่ทำงานใหม่ดีไหม ยิ่งเราอยู่ เราก็จะยิ่งประสาท ไม่ไหวกับคนแบบนี้จริงๆ เรารับไม่ได้กับการที่เอเป็นคนทำผิดแต่โยนความผิดให้คนอื่นหน้าตาเฉย เหยียบหัวคนอื่นเผื่อให้ตัวเองไปถึงจุดมุ่งหมายของตัวเอง