-- เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยๆซ้ำๆ หลังจากผมตอบคำถามใครหลายคนว่า “ปลายปีนี้ผมจะไปฉลองปีใหม่ที่แม่ฮ่องสอน” … สำหรับผม ถ้าสิ่งไหนที่ผมรัก หรือ ชอบไปแล้ว มันไม่มีคำว่า “เบื่อ” หรอกครับ ถึงจะเคยไปหลายครั้ง แต่สมาชิกผู้ร่วมทริป หรือ ยานพาหนะที่ใช้พาไปนั้น มันก็ไม่เคยซ้ำกันสักที ซึ่งอรรถรสก็ต่างกันไปล่ะครับ
-- ทริปนี้ จะพิเศษกว่าทริปก่อนๆสักหน่อย ตรงที่ต้องเริ่มต้นเดินทางจาก อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี และมีน้องๆที่ทำงาน 4 คน ไปด้วยครับ (แต่ขอลงอุตรดิสถ์ 1 คน)
29 ธันวาคม 2013 … ล้อหมุน หนีรถติด
-- ด้วยเหตุว่า มีน้องคนนึงขอติดรถไปลง จ.อุตรดิสถ์ ก็เลยจำต้องวิ่งผ่านจังหวัดพิษณุโลก ครับ ออกจากปราจีนเที่ยงคืนตรงเป๊ะ อยู่ๆน้องในรถก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ เราไม่มีเส้นไหน ที่เลี่ยงนครสวรรค์ได้เลยเหรอ จะได้ไม่เจอรถติด” เพราะ ณ ตอนนั้น เช็คทวีตเตอร์ของจส.100 ก็พบว่า สายเอเซีย ค่อนข้างแน่นเลยล่ะ
-- นึกไปนึกมา เอ… มีอยู่เส้นนึง เราเคยดูแผนที่นะ แต่มันยังมืดอยู่เลย จะไหวไหมเนี่ย … เอาฟะ วัดดวง ลองไฟหน้า HID ใหม่ด้วย เส้นทางก็คือ ปราจีนบุรี – นครนายก ตัดออกพหลโยธิน เข้า เลี่ยงเมือง ลพบุรี ลำนารายณ์ วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์ (ถนนเบอร์ 21) แล้วตัดออกถนนเบอร์ 225 ผ่านบึงสามพัน ไปตัดถนนเบอร์ 11 เส้นตากฟ้า – พิษณุโลก ครับ
-- ช่วงแรก ถนนเบอร์ 21 รถค่อนข้างเยอะ ชะลอตัวตามแยกไฟแดงครับ แต่ก็ไปได้เรื่อยๆระดับ 90 – 100 กม./ช.ม. ครับ ตามปั๊มน้ำมันรถเยอะมาก ทริคง่ายๆของผมก็คือ ผมมองหาปั๊มตรงข้ามครับ เจอปุ๊บ ก็ยูเทิร์นข้างหน้า เข้าไปเลย เงียบสงบ ไม่ต้องแย่งกับใคร แค่เสียเวลายูเทิร์นหน่อยเดียว จริงมะ???
-- ช่วงนี้ หน้าจอโชว์อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 12 องศาครับ เย็นยะเยือกเลย ลงจากรถมาร้องกันทุกคน … แต่โหดกว่านั้นก็คือ แอร์ของ CR-V G3 2.0S นี่สิ เย็นกว่าอีกครับ เปิดน้ำยา เปิดพัดลมน้อยสุดแล้วนะ … จะปิดก็ไม่ได้ ถ้าปิด ฝ้ามาทันที คนในรถ ณ ตอนนั้น เลยสภาพเหมือนอยู่ขั้วโลก ทั้งผ้าห่ม ผ้านวม เสื้อกันหนาว จัดเต็มกันทุกคน
-- จากพหลโยธิน เข้าถนนหมายเลข 21 มุ่งหน้าเพชรบูรณ์ หลังจากนั้น ตัดเข้าเส้น 225 สภาพถนนพอใช้ครับ ฝั่งมุ่งหน้านครสวรรค์ หลุมบ่อมีบ้าง ไม่ค่อยเจอหลุมลึกครับ แต่ฝั่งเข้าเพชรบูรณ์ถนนเสียหลายจุดเลยครับ พอมาตัดถนนเบอร์ 11 เส้นนี้ทางแย่มากครับ ขับเร็วไม่ได้เลย ครับ และบนถนนเส้นนี้ก็จัดการสุนัขไป 1 ตัวครับ อยู่ดีๆกระโดดตัดหน้าจากฝั่งตรงข้าม ระยะกระชั้นชิด ผมหักหลบแล้ว เบรคแล้ว แต่ไม่พ้น เฉี่ยวบั้นท้ายมันล้มลง แล้วทับครับ
-- เลยไปได้สักหน่อย มีป้อมตำรวจ เลยจอดรถลงไปดูรถตัวเองครับ … คนในรถก็งงกันว่า ลงไปทำไม พอบอกว่า ชนสุนัข แต่ละคนบอกว่า นึกว่า ตกหลุมเสียอีก .. เช็คสภาพเบื้องต้น รถไม่ได้รับความเสียหายใดๆครับ เข้าใจว่า ขับทับไม่ได้ชน น่ะครับ … งานนี้ไม่ได้ย้อนกลับไปดู แต่ทำบุญ ถวายสังฆทาน ขอขมา ไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
-- ผมถึง พิษณุโลก ตอน 6 โมงเช้าครับ แวะหาอะไรร้อนๆทานมื้อเช้าสักหน่อย แล้วแวะส่งน้องที่อุตรดิสถ์ตอน 8 โมงเช้า แล้วก็แวะเติมพลังให้รถกันสักหน่อยครับ เพราะจากนี้ไปหาปั๊มยากแล้วล่ะ
-- ราวๆ 9.30 น. หลังจากเลี้ยวซ้ายที่แยกเด่นชัยแล้ว จุดแวะ จุดแรกของเราก็คือ วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี ครับ สิ่งที่ประทับใจก็คือ ณ ตอนนั้น 9 โมงกว่าแล้ว แต่หมอกยังเต็มไปหมดเลยครับ
บรรยากาศดี แต่ถ่ายรูปไม่สวยเลยสิ
-- เดินเที่ยว ไหว้พระ กันอยู่เกือบๆชั่วโมงแหละ ก็เดินทางกันต่อครับ ถนนหมายเลข 11 นี้ ยังเป็นถนน 2 เลนสวนกันนะครับ แต่รถไม่เยอะเท่าไหร่ ไปได้เรื่อย ติดรถช้าเป็นบางจังหวะครับ และก็ยังย้ำว่า ใครจะผ่านเส้นนี้ เติมน้ำมันให้เต็มไว้ก่อนนะครับ เคยชะล่าใจ น้ำมันเหลือครึ่งถัง (Civic FD) กระทืบแซงๆๆๆไม่กี่ที ไฟโชว์เลย ลุ้นแทบแย่เลยล่ะ
ราวๆ 12.30 น. เราถึง วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน ครับ
-- ท้องร้องแล้วสิ มองนาฬิกา อ้าว บ่ายโมงแล้ว … อยากกินก๋วยเตี๋ยวลำใย ถามไถ่คนแถวนั้น ชี้ให้เดินทะลุ โซนขายของฝากฝั่งตรงข้ามวัดออกไป … เดินไปถึงร้านก็ตะลึง เพราะคนเยอะมาก ไม่มีที่นั่งอีกต่างหาก มองหน้ากัน แล้วก็ สรุปว่า ไปร้านอื่นก็ได้ฟะ (ไม่งั้นอาจมีหน้าลมใส่)
-- จากวัดพระธาตุหริภุญชัย เราย้อนออกมาทางเดิมครับ จนเจอไฟแดงแรก ให้เลี้ยวขวา เข้าถนนหมายเลข 116 -> 106 -> 108 เกาะป้ายดอยอินทนนท์ไปได้เลยครับ ทริปนี้คุยกันไว้ว่า ถ้าเวลาเหลือ ผมจะขึ้นไปเที่ยว สวนสนบ่อแก้ว แต่ถ้าเย็นมากแล้ว ผมจะขึ้นอินทนนท์เลี้ยวซ้ายที่ด่านสอง เพราะจุดหมายในคืนนี้เราคือ แม่แจ่ม ครับ
-- แต่ดูเวลาแล้ว เหลือเฟือครับ เลยวิ่งเส้น 108 ซึ่งตอนนี้กำลังขยายถนน สภาพถนนดีกว่าเดิมพอสมควรครับ ก่อนผ่านออบหลวง แวะเติมน้ำมันอีกสักรอบ ให้เต็มถังไว้ก่อนครับ ปลอดภัย ยิ่งช่วงหน้าเทศกาลแบบนี้ด้วย เราไม่รู้เลยว่า ที่แม่แจ่ม คนจะเยอะไหม จะต้องรอคิวนานไหม หรือจะมีปัญหาน้ำมันหมดไหม ดังนั้น เอาชัวร์ เติมไว้ก่อนดีกว่าครับ
-- เติมน้ำมันเสร็จ ก็ลุยกันต่อ ระหว่างทาง มีเหตุการณ์ระทึกใจ (จากความประมาทของผมเอง) นั่นคือ ช่วงเลยออบหลวงมา ก่อนถึง ทางแยกเข้าแม่แจ่ม ถนนสองเลนสวนกัน เป็นทางโค้งตลอด ซึ่งมีรถช้าตามกันอยู่ 3 – 4 คัน ผมตามมาพักนึงแล้ว รำคาญครับ เพราะขับช้า เบรคทุกโค้ง เสียจังหวะผมหมด ก็เลยตัดสินใจแซง … ซึ่งแน่ล่ะ เป็นการแซงทางโค้ง ซึ่งก็มองแล้วว่า ไม่มีรถสวนมา ก็เร่งขึ้นไปครับ จังหวะที่ผ่านรถคันที่สาม ปรากฎว่า มีรถสวนมาพอดี ความเร็วรถผม ณ ตอนนั้น น่าจะมี 80 – 100 กม./ช.ม. ครับ แน่ล่ะ … ผมหักหลบเข้าซ้ายทันที ปาดหน้ารถคันที่สามทันที ซึ่งคันที่สามก็ขับจี้คันที่สี่ค่อนข้างมาก ผมเข้าไปได้ ก็ต้องกระทืบเบรคสุดตัวครับ เพราะหน้ารถผมห่างจากท้ายรถคันหน้า ไม่ถึง 20 ซ.ม.
-- งานนี้ ก็ขอบคุณ ระบบเบรคของรถคันนี้แหละ กระทืบปุ๊บ อยู่ปั๊บ ไม่มีไหล ไม่มีแถมเลย … ไม่งั้น คงเรียบร้อย มิดท้ายหกล้อ ไปแล้วล่ะ เข็ดเลยยยย
ตัดภาพมาสวนสนบ่อแก้ว ดีกว่า สวย อากาศเย็นสบายยยยย
-- อยู่ได้แป้บเดียว ก็ต้องเผ่นละ เดี๋ยวจะถึง แม่แจ่ม มืดเกินไปครับ … คืนนี้แยกกันนอนครับ ผมนอน สวนป่าแม่แจ่ม ครับ แวะ check in ถ่ายรูป และ ทานมื้อเย็น กันก่อนที่นี่ครับ
-- ผมมา สวนป่าแม่แจ่ม เป็นปีที่สองละ ผมชอบบรรยากาศครับ เงียบสงบดี (ใครชอบเงียบๆ เลือกบ้าน โซน A นะครับ) ราคาที่พักคืนละ 500 บาท
อาหารเย็นคนละ 150 บาทครับ อาหารง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยเลยล่ะ ที่สำคัญให้มาแบบเต็มๆกินกันพุงกางเลยครับ
-- ทานมื้อเย็นกันเสร็จ ก็ต้องไปส่งสมาชิกผู้ร่วมเดินทาง ที่ โรงแรมแม่แจ่ม ไปกลับราวๆ 60 – 70 กม. ได้มังครับ ระยะทางไม่ไกล แต่ถนนค่อนข้างแย่ ทำให้บางช่วงต้องค่อยๆหยอดทีละหลุมครับ (ถึงหน้าตาจะเป็น SUV แต่ช่วงล่างมันรถเก๋งเน้อออ) กว่าจะกลับมาถึง สวนป่า ก็ 2 ทุ่มครึ่งล่ะครับ
-- ลืมบอกไปว่า ผมตื่นตั้งแต่ 6.30 น. ของวันที่ 28 ธันวา ไปทำงาน ตกเย็นกลับมา ได้นอนอยู่ 1 ช.ม.ครึ่ง ตอน 4 ทุ่มครึ่ง ถึง เที่ยงคืน แค่นั้นครับ ที่เหลือก็อยู่หลังพวงมาลัยตลอดครับ กับระยะทาง 1,001.9 กม. อึดดีเหมือนกันแฮะเรา (สังเกตอุณหภูมิ อยู่ที่ 12 องศาเซลเซียส ตอน 6 โมงเช้า ของวันที่ 30 ธันวาครับ)
-- ช่วงกลางคืน อากาศเย็นจับใจดีครับ ทีแรกยังสงสัยว่า เอ ทำไมเค้าต้องให้รองเท้า สำหรับใส่เดินในห้องพักมาด้วยหว่า พื้นก็เป็นไม้แล้วนี่นา พอตกดึกล่ะรู้คำตอบเลย … พื้นเย็นมากๆครับ
[CR] * * * “แม่ฮ่องสอน อีกแล้วเหรอ? ไม่เบื่อเหรอ?” * * *
-- ทริปนี้ จะพิเศษกว่าทริปก่อนๆสักหน่อย ตรงที่ต้องเริ่มต้นเดินทางจาก อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี และมีน้องๆที่ทำงาน 4 คน ไปด้วยครับ (แต่ขอลงอุตรดิสถ์ 1 คน)
29 ธันวาคม 2013 … ล้อหมุน หนีรถติด
-- ด้วยเหตุว่า มีน้องคนนึงขอติดรถไปลง จ.อุตรดิสถ์ ก็เลยจำต้องวิ่งผ่านจังหวัดพิษณุโลก ครับ ออกจากปราจีนเที่ยงคืนตรงเป๊ะ อยู่ๆน้องในรถก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ เราไม่มีเส้นไหน ที่เลี่ยงนครสวรรค์ได้เลยเหรอ จะได้ไม่เจอรถติด” เพราะ ณ ตอนนั้น เช็คทวีตเตอร์ของจส.100 ก็พบว่า สายเอเซีย ค่อนข้างแน่นเลยล่ะ
-- นึกไปนึกมา เอ… มีอยู่เส้นนึง เราเคยดูแผนที่นะ แต่มันยังมืดอยู่เลย จะไหวไหมเนี่ย … เอาฟะ วัดดวง ลองไฟหน้า HID ใหม่ด้วย เส้นทางก็คือ ปราจีนบุรี – นครนายก ตัดออกพหลโยธิน เข้า เลี่ยงเมือง ลพบุรี ลำนารายณ์ วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์ (ถนนเบอร์ 21) แล้วตัดออกถนนเบอร์ 225 ผ่านบึงสามพัน ไปตัดถนนเบอร์ 11 เส้นตากฟ้า – พิษณุโลก ครับ
-- ช่วงแรก ถนนเบอร์ 21 รถค่อนข้างเยอะ ชะลอตัวตามแยกไฟแดงครับ แต่ก็ไปได้เรื่อยๆระดับ 90 – 100 กม./ช.ม. ครับ ตามปั๊มน้ำมันรถเยอะมาก ทริคง่ายๆของผมก็คือ ผมมองหาปั๊มตรงข้ามครับ เจอปุ๊บ ก็ยูเทิร์นข้างหน้า เข้าไปเลย เงียบสงบ ไม่ต้องแย่งกับใคร แค่เสียเวลายูเทิร์นหน่อยเดียว จริงมะ???
-- ช่วงนี้ หน้าจอโชว์อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 12 องศาครับ เย็นยะเยือกเลย ลงจากรถมาร้องกันทุกคน … แต่โหดกว่านั้นก็คือ แอร์ของ CR-V G3 2.0S นี่สิ เย็นกว่าอีกครับ เปิดน้ำยา เปิดพัดลมน้อยสุดแล้วนะ … จะปิดก็ไม่ได้ ถ้าปิด ฝ้ามาทันที คนในรถ ณ ตอนนั้น เลยสภาพเหมือนอยู่ขั้วโลก ทั้งผ้าห่ม ผ้านวม เสื้อกันหนาว จัดเต็มกันทุกคน
-- จากพหลโยธิน เข้าถนนหมายเลข 21 มุ่งหน้าเพชรบูรณ์ หลังจากนั้น ตัดเข้าเส้น 225 สภาพถนนพอใช้ครับ ฝั่งมุ่งหน้านครสวรรค์ หลุมบ่อมีบ้าง ไม่ค่อยเจอหลุมลึกครับ แต่ฝั่งเข้าเพชรบูรณ์ถนนเสียหลายจุดเลยครับ พอมาตัดถนนเบอร์ 11 เส้นนี้ทางแย่มากครับ ขับเร็วไม่ได้เลย ครับ และบนถนนเส้นนี้ก็จัดการสุนัขไป 1 ตัวครับ อยู่ดีๆกระโดดตัดหน้าจากฝั่งตรงข้าม ระยะกระชั้นชิด ผมหักหลบแล้ว เบรคแล้ว แต่ไม่พ้น เฉี่ยวบั้นท้ายมันล้มลง แล้วทับครับ
-- เลยไปได้สักหน่อย มีป้อมตำรวจ เลยจอดรถลงไปดูรถตัวเองครับ … คนในรถก็งงกันว่า ลงไปทำไม พอบอกว่า ชนสุนัข แต่ละคนบอกว่า นึกว่า ตกหลุมเสียอีก .. เช็คสภาพเบื้องต้น รถไม่ได้รับความเสียหายใดๆครับ เข้าใจว่า ขับทับไม่ได้ชน น่ะครับ … งานนี้ไม่ได้ย้อนกลับไปดู แต่ทำบุญ ถวายสังฆทาน ขอขมา ไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
-- ผมถึง พิษณุโลก ตอน 6 โมงเช้าครับ แวะหาอะไรร้อนๆทานมื้อเช้าสักหน่อย แล้วแวะส่งน้องที่อุตรดิสถ์ตอน 8 โมงเช้า แล้วก็แวะเติมพลังให้รถกันสักหน่อยครับ เพราะจากนี้ไปหาปั๊มยากแล้วล่ะ
-- ราวๆ 9.30 น. หลังจากเลี้ยวซ้ายที่แยกเด่นชัยแล้ว จุดแวะ จุดแรกของเราก็คือ วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี ครับ สิ่งที่ประทับใจก็คือ ณ ตอนนั้น 9 โมงกว่าแล้ว แต่หมอกยังเต็มไปหมดเลยครับ
บรรยากาศดี แต่ถ่ายรูปไม่สวยเลยสิ
-- เดินเที่ยว ไหว้พระ กันอยู่เกือบๆชั่วโมงแหละ ก็เดินทางกันต่อครับ ถนนหมายเลข 11 นี้ ยังเป็นถนน 2 เลนสวนกันนะครับ แต่รถไม่เยอะเท่าไหร่ ไปได้เรื่อย ติดรถช้าเป็นบางจังหวะครับ และก็ยังย้ำว่า ใครจะผ่านเส้นนี้ เติมน้ำมันให้เต็มไว้ก่อนนะครับ เคยชะล่าใจ น้ำมันเหลือครึ่งถัง (Civic FD) กระทืบแซงๆๆๆไม่กี่ที ไฟโชว์เลย ลุ้นแทบแย่เลยล่ะ
ราวๆ 12.30 น. เราถึง วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน ครับ
-- ท้องร้องแล้วสิ มองนาฬิกา อ้าว บ่ายโมงแล้ว … อยากกินก๋วยเตี๋ยวลำใย ถามไถ่คนแถวนั้น ชี้ให้เดินทะลุ โซนขายของฝากฝั่งตรงข้ามวัดออกไป … เดินไปถึงร้านก็ตะลึง เพราะคนเยอะมาก ไม่มีที่นั่งอีกต่างหาก มองหน้ากัน แล้วก็ สรุปว่า ไปร้านอื่นก็ได้ฟะ (ไม่งั้นอาจมีหน้าลมใส่)
-- จากวัดพระธาตุหริภุญชัย เราย้อนออกมาทางเดิมครับ จนเจอไฟแดงแรก ให้เลี้ยวขวา เข้าถนนหมายเลข 116 -> 106 -> 108 เกาะป้ายดอยอินทนนท์ไปได้เลยครับ ทริปนี้คุยกันไว้ว่า ถ้าเวลาเหลือ ผมจะขึ้นไปเที่ยว สวนสนบ่อแก้ว แต่ถ้าเย็นมากแล้ว ผมจะขึ้นอินทนนท์เลี้ยวซ้ายที่ด่านสอง เพราะจุดหมายในคืนนี้เราคือ แม่แจ่ม ครับ
-- แต่ดูเวลาแล้ว เหลือเฟือครับ เลยวิ่งเส้น 108 ซึ่งตอนนี้กำลังขยายถนน สภาพถนนดีกว่าเดิมพอสมควรครับ ก่อนผ่านออบหลวง แวะเติมน้ำมันอีกสักรอบ ให้เต็มถังไว้ก่อนครับ ปลอดภัย ยิ่งช่วงหน้าเทศกาลแบบนี้ด้วย เราไม่รู้เลยว่า ที่แม่แจ่ม คนจะเยอะไหม จะต้องรอคิวนานไหม หรือจะมีปัญหาน้ำมันหมดไหม ดังนั้น เอาชัวร์ เติมไว้ก่อนดีกว่าครับ
-- เติมน้ำมันเสร็จ ก็ลุยกันต่อ ระหว่างทาง มีเหตุการณ์ระทึกใจ (จากความประมาทของผมเอง) นั่นคือ ช่วงเลยออบหลวงมา ก่อนถึง ทางแยกเข้าแม่แจ่ม ถนนสองเลนสวนกัน เป็นทางโค้งตลอด ซึ่งมีรถช้าตามกันอยู่ 3 – 4 คัน ผมตามมาพักนึงแล้ว รำคาญครับ เพราะขับช้า เบรคทุกโค้ง เสียจังหวะผมหมด ก็เลยตัดสินใจแซง … ซึ่งแน่ล่ะ เป็นการแซงทางโค้ง ซึ่งก็มองแล้วว่า ไม่มีรถสวนมา ก็เร่งขึ้นไปครับ จังหวะที่ผ่านรถคันที่สาม ปรากฎว่า มีรถสวนมาพอดี ความเร็วรถผม ณ ตอนนั้น น่าจะมี 80 – 100 กม./ช.ม. ครับ แน่ล่ะ … ผมหักหลบเข้าซ้ายทันที ปาดหน้ารถคันที่สามทันที ซึ่งคันที่สามก็ขับจี้คันที่สี่ค่อนข้างมาก ผมเข้าไปได้ ก็ต้องกระทืบเบรคสุดตัวครับ เพราะหน้ารถผมห่างจากท้ายรถคันหน้า ไม่ถึง 20 ซ.ม.
-- งานนี้ ก็ขอบคุณ ระบบเบรคของรถคันนี้แหละ กระทืบปุ๊บ อยู่ปั๊บ ไม่มีไหล ไม่มีแถมเลย … ไม่งั้น คงเรียบร้อย มิดท้ายหกล้อ ไปแล้วล่ะ เข็ดเลยยยย
ตัดภาพมาสวนสนบ่อแก้ว ดีกว่า สวย อากาศเย็นสบายยยยย
-- อยู่ได้แป้บเดียว ก็ต้องเผ่นละ เดี๋ยวจะถึง แม่แจ่ม มืดเกินไปครับ … คืนนี้แยกกันนอนครับ ผมนอน สวนป่าแม่แจ่ม ครับ แวะ check in ถ่ายรูป และ ทานมื้อเย็น กันก่อนที่นี่ครับ
-- ผมมา สวนป่าแม่แจ่ม เป็นปีที่สองละ ผมชอบบรรยากาศครับ เงียบสงบดี (ใครชอบเงียบๆ เลือกบ้าน โซน A นะครับ) ราคาที่พักคืนละ 500 บาท
อาหารเย็นคนละ 150 บาทครับ อาหารง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยเลยล่ะ ที่สำคัญให้มาแบบเต็มๆกินกันพุงกางเลยครับ
-- ทานมื้อเย็นกันเสร็จ ก็ต้องไปส่งสมาชิกผู้ร่วมเดินทาง ที่ โรงแรมแม่แจ่ม ไปกลับราวๆ 60 – 70 กม. ได้มังครับ ระยะทางไม่ไกล แต่ถนนค่อนข้างแย่ ทำให้บางช่วงต้องค่อยๆหยอดทีละหลุมครับ (ถึงหน้าตาจะเป็น SUV แต่ช่วงล่างมันรถเก๋งเน้อออ) กว่าจะกลับมาถึง สวนป่า ก็ 2 ทุ่มครึ่งล่ะครับ
-- ลืมบอกไปว่า ผมตื่นตั้งแต่ 6.30 น. ของวันที่ 28 ธันวา ไปทำงาน ตกเย็นกลับมา ได้นอนอยู่ 1 ช.ม.ครึ่ง ตอน 4 ทุ่มครึ่ง ถึง เที่ยงคืน แค่นั้นครับ ที่เหลือก็อยู่หลังพวงมาลัยตลอดครับ กับระยะทาง 1,001.9 กม. อึดดีเหมือนกันแฮะเรา (สังเกตอุณหภูมิ อยู่ที่ 12 องศาเซลเซียส ตอน 6 โมงเช้า ของวันที่ 30 ธันวาครับ)
-- ช่วงกลางคืน อากาศเย็นจับใจดีครับ ทีแรกยังสงสัยว่า เอ ทำไมเค้าต้องให้รองเท้า สำหรับใส่เดินในห้องพักมาด้วยหว่า พื้นก็เป็นไม้แล้วนี่นา พอตกดึกล่ะรู้คำตอบเลย … พื้นเย็นมากๆครับ