ต้องเรียนแล้วคิดแล้วปฏิบัติจึงจะเกิดผล

พื้นฐานต่อไปที่เราจะต้องยอมรับความจริงก็คือ เราต้องเรียน (คือฟังหรืออ่าน) ก่อน แล้วนำสิ่งที่เรียนมานั้นมาคิดพิจารณาหาเหตุผล จนเกิดความเข้าใจ แล้วนำความเข้าใจนั้นมาทดลองปฏิบัติ จึงจะเกิดผลหรือเกิดความเห็นแจ้ง  ถ้าไม่ทำตามขั้นตอนนี้ก็จะไม่เกิดผลหรือไม่เกิดความเห็นแจ้งได้

หลักการศึกษาของพุทธศาสนานั้นมีลำดับการศึกษา ๓ ขั้นคือ

๑. ฟังหรืออ่านมาก่อนให้จำได้

๒. นำสิ่งที่จำได้นั้นมาคิดพิจารณาหาเหตุผลจนเกิดความเข้าใจ

๓.  นำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติจนเกิดเป็นความเห็นแจ้ง (หรือเห็นผลจริง)

หลัก ๓ ประการนี้ก็คือหลักในการสร้างปัญญา (ความรอบรู้) ของพุทธศาสนา คือการฟังหรืออ่านมานั้นก็เป็นปัญญาขั้นจำได้ ที่ยังไม่มีผลอะไร ต่อเมื่อนำสิ่งที่จำได้นั้นมาคิดวิเคราะห์หาเหตุหาผล จนเกิดความเข้าใจอย่างแจ้งชัด ก็จะเกิดเป็นปัญญาขั้นเข้าใจ ซึ่งปัญญาขั้นนี้ก็เริ่มจะมีผลขึ้นมาบ้างแล้ว (คือทำให้ความทุกข์ใจเบาบางลง) และเมื่อมีการนำเอาความเข้าใจนี้มาทดลองปฏิบัติ จนเกิดเป็นความเห็นแจ้งขึ้นมาเป็นความลดลงหรือดับลงของความทุกข์จริง ก็จะเรียกว่าเป็นปัญญาขั้นเห็นแจ้ง

ถ้าเรียนรู้มาแล้วถึงจะรู้มาถูกต้อง แต่ไม่นำมาคิดวิเคราะห์ ก็จะไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจแล้วมาปฏิบัติก็จะปฏิบัติผิด หรือไม่เรียนรู้เลยแล้วมาปฏิบัติ ก็จะปฏิบัติผิด แล้วผลก็จะไม่เกิด (คือทุกข์ไม่ลดลงหรือไม่ดับ) หรือไม่เกิดความเห็นแจ้ง ยิ่งถ้าเรียนรู้มาผิด ถึงจะนำสิ่งที่รู้มาผิดนั้นมาคิดวิเคราะห์ ก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดก็ได้หรือเกิดความไม่เข้าใจก็ได้ และถ้านำความเข้าใจผิดนั้นมาปฏิบัติ ก็จะเป็นการปฏิบัติที่ผิด แล้วก็จะไม่บังเกิดผลหรือเกิดผลที่ผิด (คือทุกข์ไม่ลดลงแต่อาจเพิ่มขึ้นได้)  แต่ถึงจะเรียนรู้มาถูกและนำมาคิดวิเคราะห์จนเกิดความเข้าใจแล้ว แต่ไม่นำมาปฏิบัติ ก็จะไม่บังเกิดผลอย่างสูงสุด (คือแค่เพียงทุกข์เบาบางลงเท่านั้น)

นี่คือพื้นฐานข้อที่ ๖ ที่เราจะต้องยอมรับความจริงว่า เราต้องเรียน (คือฟังหรืออ่าน) มาก่อน แล้วนำสิ่งที่เรียนมานั้นมาคิดพิจารณาหาเหตุผล จนเกิดความเข้าใจ แล้วนำความเข้าใจนั้นมาทดลองปฏิบัติ จึงจะเกิดเป็นความเห็นแจ้ง  ถ้าไม่ทำตามขั้นตอนนี้ก็จะไม่เกิดผลหรือไม่เกิดความเห็นแจ้งได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่