ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
http://www.youtube.com/watch?v=KQQUeeAjJes
สำหรับคนที่คิดว่าตนเองเป็น คอการเมือง
ลองฟัง สศจ. แล้วจับประเด็นของเรื่องราวดูว่า .. ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ?
เกษียร ในคำพูดของ สศจ. หมายถึง เกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความกลัว .. สร้างผลผลิตเป็นความเท็จ
คนทุกคนเกิดจากพ่อแม่ของตน .. เมื่อคนเรารักผูกพันเทิดทูนพ่อแม่ตนเอง .. นั่นย่อมสมเหตุสมผลและเป็นความจริงของโลกมนุษย์
แต่ ..
หากคนคนนั้นไม่เคยให้เงินเราใช้ ไม่เคยเลี้ยงดูเรา ไม่เคยปลอบใจยามเราทุกข์ใจ ไม่เคยพบเจอ เห็นแต่รูปในสื่อต่างๆ เหมือนดารา นักร้อง นักการเมือง .. แล้วมาบอกว่ารัก เทิดทูน ยอมตายแทนได้ เกิดชาติไหนจะขอเกิดอยู่ใต้ขี้ตีนไปทุกชาติ .. อย่างนี้ขอยืนยันได้ว่า เป็นคำพูด มดเท็จ 100% ไม่มียกเว้นแม้แต่คนเดียว !
ทำไมคนเราถึงต้องปกป้องสิ่งที่ตนเองรัก ตนเองชอบ ?
หรือ ทำไมคนเราถึงต้องการกำจัด ทำลาย สิ่งที่ตนเองเกลียด ชิงชัง ไม่ชอบใจ ?
เพราะมันเป็นธรรมชาติของความเป็นคนที่ยังเขลาอยู่ ..
ที่มองสิ่งที่รัก ชอบ ว่าเป็นของตน เป็นพวกตน
และมองที่เกลียด ที่ชัง ว่าเป็นพวกอื่น
แล้วยึดมั่น ถือมั่น
แล้วเข้าข้าง ยกยอ สรรเสริญ .. หรือ ถ่มทุ๋ย เหยียดหยาม
สืบเนื่องมาจากความเป็นไทย .. พฤติกรรมแบบไทยๆ ที่หน้าไหว้หลังหลอก .. แม้ใจไม่ได้คิดแต่สามารถพูดออกมาได้ในสิ่งซึ่งจะเป็นผลดีแก่ตนเอง ซึ่งแต่ล้วนเป็นคำพูดสวยๆงามๆ ไพเราะ แบบมธุรสวาที ซึ่งบ่อยครั้งที่ค่อนข้างเกินพอดีไปมาก จนสามารถเทียบได้กับคำว่า"สอพลอ" !
และในความเป็นไทยที่เป็นชาติพันธุ์โดยรวม .. แม้จะร่ำเรียนมามากจนเป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นสื่อสารมวลชน เป็นนักวิพากย์สังคม นักวิพากย์ทางการเมือง ก็ตาม .. ก็หาได้มีความซื่อสัตย์ทั้ง 100% ในจิตวิญญาณที่จะพูดความจริงตามที่คิด หรือ ไม่พูดเสียยังดีกว่า ที่จะพูดเท็จ พูดสอพลอ พูด TOR-LAE อย่างที่ดังกลบหูหัวอยู่ในสังคมในระยะหลัง 7-8 ปีมานี้
จึงต้องพูด .. ว่า
ไม่มีความถูกต้องใดเป็นสากล และเป็นอกาลิโก (ไม่ขึ้นกับช่วงเวลา) .. ยกตัวอย่างเช่น การทูตยุคเรือปืน การล่าอาณานิคม ที่ทำกันแพร่หลายในกลุ่มชนผิวขาวชาวยุโรป ก็เป็นความถูกต้องของยุคสมัย 100-200 ปีที่ผ่านมาโดยที่ไม่เคยมีการประณามเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ที่จนปัจจุบันยังคงมีความขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากยุคอาณานิคมนั้น เช่น กรณีเขาพระวิหาร กรณีแคว้นจัมปูแคสเมียร์ในอินเดีย .. ที่การขีดเส้นแผนที่ของชนชาติที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ในยุโรปสามารถมีผลทำให้ประเทศขี้ข้าเก่าต้องมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้นจนบัดนี้ ..
เมื่อยุคประชาธิปไตยมาถึง มันก็เริ่มที่ยุโรปก่อนอีกนั่นแหละ .. ที่ได้ตั้งมาตรฐานความคิดเป็นกรอบไว้ให้ทั้งผิวดำ ผิวเหลือง ผิวแดง คอย"ท่อง"ตาม และพยายามช่วยให้เปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นแบบที่ฝรั่งผิวขาวเป็น
สมัยนี้หากมีการใช้กำลังทหารเข้ายึดดินแดนประเทศอื่น ก็จะถูกต่อต้านประณามจากคนทั้งโลก เหมือนอย่างกรณี เวียดนามยึดเขมรหลังเขมรแดงยึดประเทศได้เพียง 3 ปี หรือ ยิวยึดดินแดน อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน ในสงคราม 6 วันเป็นต้น
ฝรั่งเศส ยึดลาว เวียดนาม เขมร ไว้เป็นขี้ข้าเป็นร้อยปี ก็ไม่มีใครด่าว่าประณาม .. แต่พอเวียดนามยึดเขมรบ้างกลับถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วง ทั้งฝ่ายจีนที่ถึงขนาดทำสงครามสั่งสอน ทั้งฝ่ายตะวันตกที่หนุนเขมรสามฝ่ายขึ้นมาต่อกร ...
ตรงนี้บอกอะไร ?
บอกว่าบริบทของโลกเปลี่ยนไป ..
เพราะโลกหมุนไปข้างหน้าทุกวินาที .. โลกถึงเปลี่ยนแปลง
การปกครองในโลกก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยเป็นธรรมดา .. ตามหลัก อนิจจัง
ตามกฎอนิจจัง .. ทุกสิ่งย่อมหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไป อันสอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) ทางชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) อันเป็นแม่บทของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งหลาย
เป็นต้นว่า ..
Auguste Comte (ค.ศ. 1798 – 1857) เสนอว่า สังคมมนุษย์มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ (Knowledge) ผ่าน 3 ขั้นตอนตามลำดับ คือ ..
- จากขั้นเทววิทยา (Theological stage)
- ไปสู่ขั้นอภิปรัชญา (Metaphysical stage)
- และไปสู่ขั้นวิทยาศาสตร์ (Positivistic stage)
ที่เมื่อมามองโลกแห่งความเป็นจริง ..
เมื่อสัก 200 ปีที่แล้ว ทั้งโลกแทบทุกประเทศย่อมปกครองด้วยระบบกษัตริย์ .. ในยุคที่
- วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ .. ผู้คนยังโง่งมงายอยู่กับภูตผีปีศาจ การบวงสรวงอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
- การแพทย์ยังไม่เจริญ .. คนเป็นเพียงไข้หวัด หรือ มีดบาดเป็นบาดทะยักตายเอาง่ายๆ
- การศึกษายังไม่ทั่วถึง .. การเรียนรู้วิทยาการต่างๆมีไม่มากนัก แค่อ่านออกเขียนได้ ร่ำเรียนเรื่องราวทางวรรณคดี ภาษา ศาสนา เป็นหลักใหญ่ใจความ จึงไม่สามารถคิดอ่านเรื่องราวให้สลับซับซ้อนได้มากนัก
- สังคมเป็นแบบสังคมเดี่ยว มีประชากรน้อย ไม่มีความสลับซับซ้อนในความสัมพันธ์กันของผู้คน
ฯลฯ
ลองเปรียบเทียบกับปัจจุบันดู ในแต่ละข้อที่กล่าวมาเปลี่ยนแปลงมาเป็นปัจจุบันได้อย่างไร ?
แล้วมองไปรอบบ้าน ว่า อะไรที่ยังเหมือนเดิมบ้าง ?
พม่า ยังเกณฑ์ทัพมาเปิดศึกยามหมดหน้าฝนเหมือนก่อนไหม ?
ผู้คนติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันทางไหน ? .. ขี่ช้าง ม้า วัว ควาย ไปซื้อหาข้าวของริมแม่น้ำ ?
แล้วทำไมถึงยังโหยหารูปแบบชีวิตแบบเก่าอยู่ ทั้งๆที่เพิ่งเกิดมาดูโลกยังไม่ถึง 70 ปีแทบทั้งหมด (เกิน 70 หากยังมาอ่านอะไรในเนตได้ ใช้คอมได้ .. ก็ต้องคารวะแล้ว 5555)
หากเป็นคนในยุคใหม่ แต่กลับไปโหยหาวิถีชีวิตแบบเก่า .. นั่นแปลว่า หลง จากการถูกสุมเรื่องราวใส่หัว แบบที่คนเกาหลีเหนือโดนนั่นเอง .. แล้วแม้จนโตขึ้นก็ยังไม่อาจคิดได้เอง .. เราอาจแยกแยะได้เป็น
- มึน แยกแยะเรื่องราวที่ผิดไปจากธรรมชาติไม่ออก
- พื้นฐานของจิตใจเป็นคนขาดเหตุผล ..
- โมหะจริต ศรัทธาจริต วิตกจริต สูงในตัวตนนั้นๆ
ความรักในสิ่งที่ห่างไกลกับสถานภาพตนเอง เทิดทูนบูชาดุจรูปเคารพ .. เกิดจากการรับรู้ซ้ำๆ ด้านเดียว(เฉพาะด้านดี) มาตลอดชีวิตตั้งแต่เกิด จึงมีปฏิสัมพันธ์กับ "รูปเคารพ" นั้นแบบตามห้อยตามแห่ อย่างมืดบอด เพราะตอบตนเองไม่ได้ว่า ..
.. ความรัก การเทิดทูน บูชานั้นเกิดจากอะไร ?
.. มีเหตุผลอะไรที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น ?
.. มีความรู้สึกจริงจังกับความรู้สึกเช่นนั้นเพียงไหน ?
.. หรือเป็นไปได้ว่าไม่รู้สึกจริงจังอะไร เป็นเพียงวิธีพูดที่สามารถพูดได้ด้านเดียวคือ ด้านบวกเท่านั้น
อะไรทำให้พูดได้เฉพาะด้านดีด้านเดียว ?
ดังนั้น การพูดด้านดีได้ด้านเดียว สำหรับรูปเคารพของสังคม เนื่องจากถูกควบคุมด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในกรอบคิดที่อนุญาติให้พูดได้านดีด้านเดียวเท่านั้น ..
และเมื่อรูปเคารพของสังคมเป็นบุคคลสาธารณะ
จึงสามารถพิจารณาได้ว่า เสรีภาพในสังคมนี้ .. เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ทำไมจึงยอมให้พูดแต่ด้านดีเท่านั้น ?
เพราะหากพูดได้ทุกด้าน .. สรรพสิ่งในโลกที่มีทั้งด้านดี และด้านไม่ดี ก็จะถูกพูดถึง ตอกย้ำ ในด้านไม่ดีมากกว่าด้านดี .. จนรูปเคารพนั้นสามารถพังทลายลงได้ในเวลาอันไม่นานเลย ..
เพราะ .. No body perfect !
นี่คือความกลัว อันเป็นปฐมบท ของความกลัวทั้งปวง จึงเป็นที่มาของการไม่อนุญาติให้พูด เขียน ถึงในด้านลบ !
ความกลัวนี้จึงทำให้เกิดกระบวนคิดที่ "ยอมให้พูดแต่ด้านดี" เท่านั้น !
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกระบวนคิดนั้นย่อมไม่อาจปิดกั้น "ความคิดด้านไม่ดี" ได้เลยแม้แต่น้อย .. !
เพราะความคิดมันไม่มีรูปเป็นหลักฐานให้พิสูจน์ยืนยันได้ ..
แต่ถ่ายทอด ส่งผ่านกันได้ ..
การปิดกั้น การพูด จึงเป็นความโง่เขลาอย่างยิ่ง .. เพราะเป็นการป้องกันที่ปลายเหตุ .. เหมือนนกกระจอกเทศซุกหัวในทราย ด้วยคิดว่าเมื่อตัวเองไม่เห็นศัตรู ศัตรูย่อมต้องไม่เห็นตัวเองด้วย ทั้งๆที่ตัวทั้งตัวยืนโด่อยู่บนพื้นต่อหน้าสายตาศัตรูนั่นเอง 555
ความคิด .. จึงเป็นเสรีภาพที่แท้จริง แถมยังถ่ายทอดจากหนึ่งเป็นสองเป็นสาม ไม่มีที่สิ้นสุด .. โดยไม่ต้องพูด เขียน ให้เป็นหลักฐานมัดตัวก็ยังได้ ..
นั่นคือความกลัวจากการล่วงละเมิดด้วยคำพูดด้านลบ จากผู้อื่น จึงต้องปิดกั้นเสรีภาพของผู้อื่นทั้งการพูดการเขียน .. อันนี้เกิดขึ้นในตัวตนของรูปเคารพเอง
ทีนี้ความกลัวอย่างที่สองคือ ความกลัวที่เกิดกับบุคคลทั่วไปที่กลัวบุคคลอื่นจะได้ยินคำพูด ข้อเขียนของตนที่จะพูดถึงรูปเคารพในด้านลบ เพราะกฎหมายยอมให้พูดแต่ด้านบวก .. อันนี้เกิดขึ้นในแวดวงนักวิชาการ นักวิพากย์สังคมทั้งหลาย
ทั้งสองความกลัว เป็นรากฐานของความเท็จ ความสอพลอ ในสังคม TOR-LAE แห่งนี้
เมื่อบังคับให้พูดกันแต่ด้านดี ..
จึงเมื่อมีอะไรไม่ดี ประจักษ์ต่อการรับรู้ .. สองสิ่งที่จะปรากฎคือ .. ความนิ่งเงียบ กับการสอพลอสรรเสริญด้วยโวหารภาพพจน์ (การสร้างภาพให้ดูสวยงามด้วยคำพูดอันไพเราะ)
เพราะ ไม่อนุญาติให้พูดตำหนิ ก่นด่า ได้ .. ความนิ่งเงียบจึงใช้แทนกรณีไปโดยอัตโนมัติ .. หากไม่มืดบอดจนเกินไปก็สามารถ"ตีความ"อาการนิ่งเงียบว่า ตำหนิก็ได้ ก่นด่าก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์จับเข้าคุก เพราะไร้หลักฐาน
ส่วนคำสรรเสริญ นั้นก็สามารถแปลความได้เป็น 2 กรณี คือ .. เสแสร้ง กับจริงจัง ได้เช่นกัน ..
ในทางวิทยาศาสตร์
เรื่องแรง มีทฤษฎีว่า .. action force = reaction force
ในทางการเมือง
จึงเปรียบได้ว่า .. เมื่อคุณยุ่งกับการเมือง = การเมืองก็จะยุ่งกับคุณ
.
.
.
และเมื่อมองอย่างไตร่ตรองดูให้ถี่ถ้วนแล้ว .. รูปนามใดๆก็ตามที่มีกฎหมายคุ้มครองเป็นการเฉพาะเจาะจงพิเศษเหนือคนในสังคมแล้ว .. ย่อมเป็นภาวะของ "อภิสิทธิ์ชน" นั่นเอง ..
และจากจุดนี้เอง .. ที่จะเกิดภาวะของการอุปถัมภ์ค้ำชูพวกพ้องที่คิดเหมือนกัน ที่เชื่อเหมือนกัน .. ที่มีสถานภาพได้เปรียบในสังคมเหมือนกัน ..
อภิสิทธิ์ชน เป็นบ่อเกิดของการไม่ทำตามกฎหมายเหมือนคนทั่วไป ..
และเป็นสาเหตุของอีกหลากหลายความชั่วร้ายเลวทรามในสังคม
อุปถัมภ์ค้ำชู คือ การใช้เส้นสาย เพื่อได้สิทธิ์อันไม่ควรได้ ทำลายความโปร่งใส และธรรมาภิบาลทั้งปวง
อุปถัมภ์ค้ำชู คือ การทุจริต คอรัปชั่น ทางกฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติ .. จะนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นในงบประมาณแผ่นดิน .. ในที่สุด
อุปถัมภ์ค้ำชู ทำให้ได้คนเขลา ด้อยประสิทธิภาพมาทำงานพัฒนาประเทศ .. เราจึงยังด้อยพัฒนาจน พศ.นี้
ลองพิจารณาดูกันดีๆว่า ที่เราแย่กว่าสิงคโปร์ทุกวันนี้เพราะอะไร ... เหตุเริ่มต้นมาจากอะไร?
หรือ ที่สิงคโปร์เจริญก้าวหน้า ดีเด่นในแทบทุกด้านมากจากอำนาจสูงสุดอยู่ในมือที่มีประสิทธิภาพและ โปร่งใส ไม่คอรัปชั่น ใช่หรือไม่ ?
O ความเป็นเท็จของเสรีภาพ .. ในสังคมไทย ! O
http://www.youtube.com/watch?v=KQQUeeAjJes
สำหรับคนที่คิดว่าตนเองเป็น คอการเมือง
ลองฟัง สศจ. แล้วจับประเด็นของเรื่องราวดูว่า .. ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ?
เกษียร ในคำพูดของ สศจ. หมายถึง เกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความกลัว .. สร้างผลผลิตเป็นความเท็จ
คนทุกคนเกิดจากพ่อแม่ของตน .. เมื่อคนเรารักผูกพันเทิดทูนพ่อแม่ตนเอง .. นั่นย่อมสมเหตุสมผลและเป็นความจริงของโลกมนุษย์
แต่ ..
หากคนคนนั้นไม่เคยให้เงินเราใช้ ไม่เคยเลี้ยงดูเรา ไม่เคยปลอบใจยามเราทุกข์ใจ ไม่เคยพบเจอ เห็นแต่รูปในสื่อต่างๆ เหมือนดารา นักร้อง นักการเมือง .. แล้วมาบอกว่ารัก เทิดทูน ยอมตายแทนได้ เกิดชาติไหนจะขอเกิดอยู่ใต้ขี้ตีนไปทุกชาติ .. อย่างนี้ขอยืนยันได้ว่า เป็นคำพูด มดเท็จ 100% ไม่มียกเว้นแม้แต่คนเดียว !
ทำไมคนเราถึงต้องปกป้องสิ่งที่ตนเองรัก ตนเองชอบ ?
หรือ ทำไมคนเราถึงต้องการกำจัด ทำลาย สิ่งที่ตนเองเกลียด ชิงชัง ไม่ชอบใจ ?
เพราะมันเป็นธรรมชาติของความเป็นคนที่ยังเขลาอยู่ ..
ที่มองสิ่งที่รัก ชอบ ว่าเป็นของตน เป็นพวกตน
และมองที่เกลียด ที่ชัง ว่าเป็นพวกอื่น
แล้วยึดมั่น ถือมั่น
แล้วเข้าข้าง ยกยอ สรรเสริญ .. หรือ ถ่มทุ๋ย เหยียดหยาม
สืบเนื่องมาจากความเป็นไทย .. พฤติกรรมแบบไทยๆ ที่หน้าไหว้หลังหลอก .. แม้ใจไม่ได้คิดแต่สามารถพูดออกมาได้ในสิ่งซึ่งจะเป็นผลดีแก่ตนเอง ซึ่งแต่ล้วนเป็นคำพูดสวยๆงามๆ ไพเราะ แบบมธุรสวาที ซึ่งบ่อยครั้งที่ค่อนข้างเกินพอดีไปมาก จนสามารถเทียบได้กับคำว่า"สอพลอ" !
และในความเป็นไทยที่เป็นชาติพันธุ์โดยรวม .. แม้จะร่ำเรียนมามากจนเป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นสื่อสารมวลชน เป็นนักวิพากย์สังคม นักวิพากย์ทางการเมือง ก็ตาม .. ก็หาได้มีความซื่อสัตย์ทั้ง 100% ในจิตวิญญาณที่จะพูดความจริงตามที่คิด หรือ ไม่พูดเสียยังดีกว่า ที่จะพูดเท็จ พูดสอพลอ พูด TOR-LAE อย่างที่ดังกลบหูหัวอยู่ในสังคมในระยะหลัง 7-8 ปีมานี้
จึงต้องพูด .. ว่า
ไม่มีความถูกต้องใดเป็นสากล และเป็นอกาลิโก (ไม่ขึ้นกับช่วงเวลา) .. ยกตัวอย่างเช่น การทูตยุคเรือปืน การล่าอาณานิคม ที่ทำกันแพร่หลายในกลุ่มชนผิวขาวชาวยุโรป ก็เป็นความถูกต้องของยุคสมัย 100-200 ปีที่ผ่านมาโดยที่ไม่เคยมีการประณามเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ที่จนปัจจุบันยังคงมีความขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากยุคอาณานิคมนั้น เช่น กรณีเขาพระวิหาร กรณีแคว้นจัมปูแคสเมียร์ในอินเดีย .. ที่การขีดเส้นแผนที่ของชนชาติที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ในยุโรปสามารถมีผลทำให้ประเทศขี้ข้าเก่าต้องมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกันไม่จบไม่สิ้นจนบัดนี้ ..
เมื่อยุคประชาธิปไตยมาถึง มันก็เริ่มที่ยุโรปก่อนอีกนั่นแหละ .. ที่ได้ตั้งมาตรฐานความคิดเป็นกรอบไว้ให้ทั้งผิวดำ ผิวเหลือง ผิวแดง คอย"ท่อง"ตาม และพยายามช่วยให้เปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นแบบที่ฝรั่งผิวขาวเป็น
สมัยนี้หากมีการใช้กำลังทหารเข้ายึดดินแดนประเทศอื่น ก็จะถูกต่อต้านประณามจากคนทั้งโลก เหมือนอย่างกรณี เวียดนามยึดเขมรหลังเขมรแดงยึดประเทศได้เพียง 3 ปี หรือ ยิวยึดดินแดน อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน ในสงคราม 6 วันเป็นต้น
ฝรั่งเศส ยึดลาว เวียดนาม เขมร ไว้เป็นขี้ข้าเป็นร้อยปี ก็ไม่มีใครด่าว่าประณาม .. แต่พอเวียดนามยึดเขมรบ้างกลับถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วง ทั้งฝ่ายจีนที่ถึงขนาดทำสงครามสั่งสอน ทั้งฝ่ายตะวันตกที่หนุนเขมรสามฝ่ายขึ้นมาต่อกร ...
ตรงนี้บอกอะไร ?
บอกว่าบริบทของโลกเปลี่ยนไป ..
เพราะโลกหมุนไปข้างหน้าทุกวินาที .. โลกถึงเปลี่ยนแปลง
การปกครองในโลกก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยเป็นธรรมดา .. ตามหลัก อนิจจัง
ตามกฎอนิจจัง .. ทุกสิ่งย่อมหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไป อันสอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) ทางชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) อันเป็นแม่บทของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งหลาย
เป็นต้นว่า ..
Auguste Comte (ค.ศ. 1798 – 1857) เสนอว่า สังคมมนุษย์มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ (Knowledge) ผ่าน 3 ขั้นตอนตามลำดับ คือ ..
- จากขั้นเทววิทยา (Theological stage)
- ไปสู่ขั้นอภิปรัชญา (Metaphysical stage)
- และไปสู่ขั้นวิทยาศาสตร์ (Positivistic stage)
ที่เมื่อมามองโลกแห่งความเป็นจริง ..
เมื่อสัก 200 ปีที่แล้ว ทั้งโลกแทบทุกประเทศย่อมปกครองด้วยระบบกษัตริย์ .. ในยุคที่
- วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ .. ผู้คนยังโง่งมงายอยู่กับภูตผีปีศาจ การบวงสรวงอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
- การแพทย์ยังไม่เจริญ .. คนเป็นเพียงไข้หวัด หรือ มีดบาดเป็นบาดทะยักตายเอาง่ายๆ
- การศึกษายังไม่ทั่วถึง .. การเรียนรู้วิทยาการต่างๆมีไม่มากนัก แค่อ่านออกเขียนได้ ร่ำเรียนเรื่องราวทางวรรณคดี ภาษา ศาสนา เป็นหลักใหญ่ใจความ จึงไม่สามารถคิดอ่านเรื่องราวให้สลับซับซ้อนได้มากนัก
- สังคมเป็นแบบสังคมเดี่ยว มีประชากรน้อย ไม่มีความสลับซับซ้อนในความสัมพันธ์กันของผู้คน
ฯลฯ
ลองเปรียบเทียบกับปัจจุบันดู ในแต่ละข้อที่กล่าวมาเปลี่ยนแปลงมาเป็นปัจจุบันได้อย่างไร ?
แล้วมองไปรอบบ้าน ว่า อะไรที่ยังเหมือนเดิมบ้าง ?
พม่า ยังเกณฑ์ทัพมาเปิดศึกยามหมดหน้าฝนเหมือนก่อนไหม ?
ผู้คนติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันทางไหน ? .. ขี่ช้าง ม้า วัว ควาย ไปซื้อหาข้าวของริมแม่น้ำ ?
แล้วทำไมถึงยังโหยหารูปแบบชีวิตแบบเก่าอยู่ ทั้งๆที่เพิ่งเกิดมาดูโลกยังไม่ถึง 70 ปีแทบทั้งหมด (เกิน 70 หากยังมาอ่านอะไรในเนตได้ ใช้คอมได้ .. ก็ต้องคารวะแล้ว 5555)
หากเป็นคนในยุคใหม่ แต่กลับไปโหยหาวิถีชีวิตแบบเก่า .. นั่นแปลว่า หลง จากการถูกสุมเรื่องราวใส่หัว แบบที่คนเกาหลีเหนือโดนนั่นเอง .. แล้วแม้จนโตขึ้นก็ยังไม่อาจคิดได้เอง .. เราอาจแยกแยะได้เป็น
- มึน แยกแยะเรื่องราวที่ผิดไปจากธรรมชาติไม่ออก
- พื้นฐานของจิตใจเป็นคนขาดเหตุผล ..
- โมหะจริต ศรัทธาจริต วิตกจริต สูงในตัวตนนั้นๆ
ความรักในสิ่งที่ห่างไกลกับสถานภาพตนเอง เทิดทูนบูชาดุจรูปเคารพ .. เกิดจากการรับรู้ซ้ำๆ ด้านเดียว(เฉพาะด้านดี) มาตลอดชีวิตตั้งแต่เกิด จึงมีปฏิสัมพันธ์กับ "รูปเคารพ" นั้นแบบตามห้อยตามแห่ อย่างมืดบอด เพราะตอบตนเองไม่ได้ว่า ..
.. ความรัก การเทิดทูน บูชานั้นเกิดจากอะไร ?
.. มีเหตุผลอะไรที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น ?
.. มีความรู้สึกจริงจังกับความรู้สึกเช่นนั้นเพียงไหน ?
.. หรือเป็นไปได้ว่าไม่รู้สึกจริงจังอะไร เป็นเพียงวิธีพูดที่สามารถพูดได้ด้านเดียวคือ ด้านบวกเท่านั้น
อะไรทำให้พูดได้เฉพาะด้านดีด้านเดียว ?
ดังนั้น การพูดด้านดีได้ด้านเดียว สำหรับรูปเคารพของสังคม เนื่องจากถูกควบคุมด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในกรอบคิดที่อนุญาติให้พูดได้านดีด้านเดียวเท่านั้น ..
และเมื่อรูปเคารพของสังคมเป็นบุคคลสาธารณะ
จึงสามารถพิจารณาได้ว่า เสรีภาพในสังคมนี้ .. เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ทำไมจึงยอมให้พูดแต่ด้านดีเท่านั้น ?
เพราะหากพูดได้ทุกด้าน .. สรรพสิ่งในโลกที่มีทั้งด้านดี และด้านไม่ดี ก็จะถูกพูดถึง ตอกย้ำ ในด้านไม่ดีมากกว่าด้านดี .. จนรูปเคารพนั้นสามารถพังทลายลงได้ในเวลาอันไม่นานเลย ..
เพราะ .. No body perfect !
นี่คือความกลัว อันเป็นปฐมบท ของความกลัวทั้งปวง จึงเป็นที่มาของการไม่อนุญาติให้พูด เขียน ถึงในด้านลบ !
ความกลัวนี้จึงทำให้เกิดกระบวนคิดที่ "ยอมให้พูดแต่ด้านดี" เท่านั้น !
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกระบวนคิดนั้นย่อมไม่อาจปิดกั้น "ความคิดด้านไม่ดี" ได้เลยแม้แต่น้อย .. !
เพราะความคิดมันไม่มีรูปเป็นหลักฐานให้พิสูจน์ยืนยันได้ ..
แต่ถ่ายทอด ส่งผ่านกันได้ ..
การปิดกั้น การพูด จึงเป็นความโง่เขลาอย่างยิ่ง .. เพราะเป็นการป้องกันที่ปลายเหตุ .. เหมือนนกกระจอกเทศซุกหัวในทราย ด้วยคิดว่าเมื่อตัวเองไม่เห็นศัตรู ศัตรูย่อมต้องไม่เห็นตัวเองด้วย ทั้งๆที่ตัวทั้งตัวยืนโด่อยู่บนพื้นต่อหน้าสายตาศัตรูนั่นเอง 555
ความคิด .. จึงเป็นเสรีภาพที่แท้จริง แถมยังถ่ายทอดจากหนึ่งเป็นสองเป็นสาม ไม่มีที่สิ้นสุด .. โดยไม่ต้องพูด เขียน ให้เป็นหลักฐานมัดตัวก็ยังได้ ..
นั่นคือความกลัวจากการล่วงละเมิดด้วยคำพูดด้านลบ จากผู้อื่น จึงต้องปิดกั้นเสรีภาพของผู้อื่นทั้งการพูดการเขียน .. อันนี้เกิดขึ้นในตัวตนของรูปเคารพเอง
ทีนี้ความกลัวอย่างที่สองคือ ความกลัวที่เกิดกับบุคคลทั่วไปที่กลัวบุคคลอื่นจะได้ยินคำพูด ข้อเขียนของตนที่จะพูดถึงรูปเคารพในด้านลบ เพราะกฎหมายยอมให้พูดแต่ด้านบวก .. อันนี้เกิดขึ้นในแวดวงนักวิชาการ นักวิพากย์สังคมทั้งหลาย
ทั้งสองความกลัว เป็นรากฐานของความเท็จ ความสอพลอ ในสังคม TOR-LAE แห่งนี้
เมื่อบังคับให้พูดกันแต่ด้านดี ..
จึงเมื่อมีอะไรไม่ดี ประจักษ์ต่อการรับรู้ .. สองสิ่งที่จะปรากฎคือ .. ความนิ่งเงียบ กับการสอพลอสรรเสริญด้วยโวหารภาพพจน์ (การสร้างภาพให้ดูสวยงามด้วยคำพูดอันไพเราะ)
เพราะ ไม่อนุญาติให้พูดตำหนิ ก่นด่า ได้ .. ความนิ่งเงียบจึงใช้แทนกรณีไปโดยอัตโนมัติ .. หากไม่มืดบอดจนเกินไปก็สามารถ"ตีความ"อาการนิ่งเงียบว่า ตำหนิก็ได้ ก่นด่าก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์จับเข้าคุก เพราะไร้หลักฐาน
ส่วนคำสรรเสริญ นั้นก็สามารถแปลความได้เป็น 2 กรณี คือ .. เสแสร้ง กับจริงจัง ได้เช่นกัน ..
ในทางวิทยาศาสตร์
เรื่องแรง มีทฤษฎีว่า .. action force = reaction force
ในทางการเมือง
จึงเปรียบได้ว่า .. เมื่อคุณยุ่งกับการเมือง = การเมืองก็จะยุ่งกับคุณ
.
.
.
และเมื่อมองอย่างไตร่ตรองดูให้ถี่ถ้วนแล้ว .. รูปนามใดๆก็ตามที่มีกฎหมายคุ้มครองเป็นการเฉพาะเจาะจงพิเศษเหนือคนในสังคมแล้ว .. ย่อมเป็นภาวะของ "อภิสิทธิ์ชน" นั่นเอง ..
และจากจุดนี้เอง .. ที่จะเกิดภาวะของการอุปถัมภ์ค้ำชูพวกพ้องที่คิดเหมือนกัน ที่เชื่อเหมือนกัน .. ที่มีสถานภาพได้เปรียบในสังคมเหมือนกัน ..
อภิสิทธิ์ชน เป็นบ่อเกิดของการไม่ทำตามกฎหมายเหมือนคนทั่วไป ..
และเป็นสาเหตุของอีกหลากหลายความชั่วร้ายเลวทรามในสังคม
อุปถัมภ์ค้ำชู คือ การใช้เส้นสาย เพื่อได้สิทธิ์อันไม่ควรได้ ทำลายความโปร่งใส และธรรมาภิบาลทั้งปวง
อุปถัมภ์ค้ำชู คือ การทุจริต คอรัปชั่น ทางกฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติ .. จะนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นในงบประมาณแผ่นดิน .. ในที่สุด
อุปถัมภ์ค้ำชู ทำให้ได้คนเขลา ด้อยประสิทธิภาพมาทำงานพัฒนาประเทศ .. เราจึงยังด้อยพัฒนาจน พศ.นี้
ลองพิจารณาดูกันดีๆว่า ที่เราแย่กว่าสิงคโปร์ทุกวันนี้เพราะอะไร ... เหตุเริ่มต้นมาจากอะไร?
หรือ ที่สิงคโปร์เจริญก้าวหน้า ดีเด่นในแทบทุกด้านมากจากอำนาจสูงสุดอยู่ในมือที่มีประสิทธิภาพและ โปร่งใส ไม่คอรัปชั่น ใช่หรือไม่ ?