ตอน 2 :
หลังจากนั้น หมอก็บอกต่อว่า การรักษาโรคนี้ ซึ่งไม่สามารถหายขาดได้ ความหมายคือ ต้องอยู่เป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต
ทีนี้เรากับหม่าม๊าก็หันมามองหน้ากัน แล้วก็ถามหมอว่า โรคนี้เกิดจากอะไร คำตอบคือ ปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร อาจจะเป็นความเครียด พักผ่อนน้อย อากาศ(ร้อน) ซึ่งความหมายก็คือ ยังสรุปไม่ได้นั่นเอง
ทีนี้หมอก็บอกว่า ถ้าดูจากอาการตอนนี้คือหมอคิดว่าเป็นโรคนี้ แต่ถ้าจะให้แน่นอน ก็ต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอีกครั้ง
แต่ที่แน่ๆ หมอมั่นใจ 90% ว่าเป็นโรค MS สรุปหมอก็บอกว่าการรักษา ตอนนี้คือต้องใหัสเตียรอยด์ก่อน ประมาณ 3-5 วัน แล้วก็กินยา Methlypennisolone (หรือสเตียรอยด์แบบอ่อน สำหรับทาน นั่นแหละ) ต่ออีกประมาณ 2 อาทิตย์
หมอบอกว่า "แต่ที่แน่ๆคือ คุณต้องกินยาตลอดชีวิต ซึ่งค่ายาสำหรับโรคนี้แพงมาก"
หมอเลยถามถึงประกันสุขภาพ หรือประกันสังคมว่ามีหรือเปล่า พร้อมกับแนะนำให้ใช้จะดีกว่า หมอบอกว่า เหตุผลคือค่ายาแพง และคุณต้องกินไปตลอดชีวิต หมอก็ถามว่ามีประกันสังคมที่ไหน พร้อมกับเขียนรายละเอียดการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรค MS พร้อมกับบอกให้เอากลับไปให้โรงพยาบาลที่มีประกันสังคมอยู่ แล้วเดี๋ยวทางนั้นเค้าต้องสั่งทำ MRI อีกที แต่ปัญหาคือ โรงพยาบาลต้นสังกัดเนี่ย ไม่มี MRI ก็เลยถามหมอ หมอบอกว่าถ้าเค้าไม่มี เค้าต้องส่งตรวจข้างนอก หรือถ้าเค้าไม่มีหมอทางด้านนี้ เค้าก็ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง เค้าจะเก็บคนไข้ไว้ไม่ได้ หมอก็บอกว่าแต่ถ้าคุณไม่มั่นใจ จะรักษากับหมอที่นี่ก็ได้
(อิอิ.....ต้องขอขอบคุณหมอท่านนี้จริงๆที่ไม่เก็บคนไข้ไว้ หมอบอกว่า คุณจะรักษาที่นี่ก็ได้ หมอไม่ได้ไล่ เพียงแต่ยากให้ใช้สิทธิที่มีอยู่ เพราค่ารักษาพยาบาลและค่ายาแพงมาก)
สรุป หมอบกว่าให้กลับไปที่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม แล้วเอา Memo การวินิจฉัยของหมอไปให้กับหมอที่เคยหา ซึ่งทางนั้นจะต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอักที
อ้อ....คุณหมอยังเอาผ้าปิดตาให้ด้วยเพราะ อาการที่เป็นเนี่ย ทำให้เห็นภาพซ้อน แล้วก็ทำให้ปวดศีรษะด้วย แล้ววันนั้นจำได้ว่าค่าหมอก็แค่ประมาณ 700 กว่าบาท (คุณหมอน่ารักมาก ขอบคุณมากนะคะ)
สรุป ก็เลยกลับมาที่โรงพยาบาลทีมีประกันสังคม และหาหมอท่านเดิม พอกลับไปหาหมอท่านเดิม เมื่อหมอเห็นอาการว่าตาดำข้างขวาเขออกไปด้านข้างปุ๊บ หมอก็เริ่มรู้แระ แล้วเราก็เอา Memo การวินิจฉัยจากหมออีกโรงพยาบาลให้กับคุณหมอ แกก็อ่านพร้อมทั้งทำหน้าเครียด เพราะที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอทางด้านนี้ และไม่มี MRI แต่หมอก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังไงทางนี้เค้าต้องส่งตัวไปทำ MRI แล้วก็ส่งตัวคุณไม่รักษากับโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทางอีกที
หมอก็เลยรีบทำเรื่องส่งตัว ให้กับฝ่ายประกันสังคม ทางห้องประกันสังคมก็ต้องใช้เวลาในการทำเรื่อง และออกเอกสารใบส่งตัว ก็เลยนัดให้มารับอีกทีวันรุ่งขึ้น เรากับหม่าม๊าก็กลับบ้าน โดยแวะทานข้าวระหว่างทาง เพราะตั้งแต่ออกมายังไม่ได้ทานอะไรเลย ระหว่างทานข้าวทางห้องประกันสังคมก็โทรเข้ามา บอกให้เข้าไปรับจดหมายส่งตัว ซึ่งปกติทางโรงพยาบาลมี contract กับทางรพ.ราชวิถี
แต่หมอที่เป็นคนดู case นี้บอกให้ส่งตัวไปศิริราช (เหตุผลคือหมอจบจากศิริราช เลยรู้ว่าที่นั่นมีคลินิกทางด้านนี้โดยเฉพาะ) แล้วหมอก็ยังเร่งให้ห้องประกันสังคมรีบทำจดหมายส่งตัวให้ด่วน
เฮ่อ.....นี่คือความโชคดีอย่างที่ 2 ที่ได้รับจากหมอทั้ง 2 โรงพยาบาล ต้องขอขอบคุณคุณหมอท่านนี้อีกเช่นกัน
เดี๋ยวมาดูตอนต่อไปกันนะคะ ว่าพอไปที่ศิริราชแล้วเป็นยังไง ^^
ตอน 2 : MS & NMO โรคปลอกหุ้มประสาทอักเสบ โรคที่ไม่มีใครรู้จัก (โรคที่ดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่ก็หนักหนาเอาการ)
หลังจากนั้น หมอก็บอกต่อว่า การรักษาโรคนี้ ซึ่งไม่สามารถหายขาดได้ ความหมายคือ ต้องอยู่เป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต
ทีนี้เรากับหม่าม๊าก็หันมามองหน้ากัน แล้วก็ถามหมอว่า โรคนี้เกิดจากอะไร คำตอบคือ ปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร อาจจะเป็นความเครียด พักผ่อนน้อย อากาศ(ร้อน) ซึ่งความหมายก็คือ ยังสรุปไม่ได้นั่นเอง
ทีนี้หมอก็บอกว่า ถ้าดูจากอาการตอนนี้คือหมอคิดว่าเป็นโรคนี้ แต่ถ้าจะให้แน่นอน ก็ต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอีกครั้ง
แต่ที่แน่ๆ หมอมั่นใจ 90% ว่าเป็นโรค MS สรุปหมอก็บอกว่าการรักษา ตอนนี้คือต้องใหัสเตียรอยด์ก่อน ประมาณ 3-5 วัน แล้วก็กินยา Methlypennisolone (หรือสเตียรอยด์แบบอ่อน สำหรับทาน นั่นแหละ) ต่ออีกประมาณ 2 อาทิตย์
หมอบอกว่า "แต่ที่แน่ๆคือ คุณต้องกินยาตลอดชีวิต ซึ่งค่ายาสำหรับโรคนี้แพงมาก"
หมอเลยถามถึงประกันสุขภาพ หรือประกันสังคมว่ามีหรือเปล่า พร้อมกับแนะนำให้ใช้จะดีกว่า หมอบอกว่า เหตุผลคือค่ายาแพง และคุณต้องกินไปตลอดชีวิต หมอก็ถามว่ามีประกันสังคมที่ไหน พร้อมกับเขียนรายละเอียดการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรค MS พร้อมกับบอกให้เอากลับไปให้โรงพยาบาลที่มีประกันสังคมอยู่ แล้วเดี๋ยวทางนั้นเค้าต้องสั่งทำ MRI อีกที แต่ปัญหาคือ โรงพยาบาลต้นสังกัดเนี่ย ไม่มี MRI ก็เลยถามหมอ หมอบอกว่าถ้าเค้าไม่มี เค้าต้องส่งตรวจข้างนอก หรือถ้าเค้าไม่มีหมอทางด้านนี้ เค้าก็ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง เค้าจะเก็บคนไข้ไว้ไม่ได้ หมอก็บอกว่าแต่ถ้าคุณไม่มั่นใจ จะรักษากับหมอที่นี่ก็ได้
(อิอิ.....ต้องขอขอบคุณหมอท่านนี้จริงๆที่ไม่เก็บคนไข้ไว้ หมอบอกว่า คุณจะรักษาที่นี่ก็ได้ หมอไม่ได้ไล่ เพียงแต่ยากให้ใช้สิทธิที่มีอยู่ เพราค่ารักษาพยาบาลและค่ายาแพงมาก)
สรุป หมอบกว่าให้กลับไปที่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม แล้วเอา Memo การวินิจฉัยของหมอไปให้กับหมอที่เคยหา ซึ่งทางนั้นจะต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอักที
อ้อ....คุณหมอยังเอาผ้าปิดตาให้ด้วยเพราะ อาการที่เป็นเนี่ย ทำให้เห็นภาพซ้อน แล้วก็ทำให้ปวดศีรษะด้วย แล้ววันนั้นจำได้ว่าค่าหมอก็แค่ประมาณ 700 กว่าบาท (คุณหมอน่ารักมาก ขอบคุณมากนะคะ)
สรุป ก็เลยกลับมาที่โรงพยาบาลทีมีประกันสังคม และหาหมอท่านเดิม พอกลับไปหาหมอท่านเดิม เมื่อหมอเห็นอาการว่าตาดำข้างขวาเขออกไปด้านข้างปุ๊บ หมอก็เริ่มรู้แระ แล้วเราก็เอา Memo การวินิจฉัยจากหมออีกโรงพยาบาลให้กับคุณหมอ แกก็อ่านพร้อมทั้งทำหน้าเครียด เพราะที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอทางด้านนี้ และไม่มี MRI แต่หมอก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังไงทางนี้เค้าต้องส่งตัวไปทำ MRI แล้วก็ส่งตัวคุณไม่รักษากับโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทางอีกที
หมอก็เลยรีบทำเรื่องส่งตัว ให้กับฝ่ายประกันสังคม ทางห้องประกันสังคมก็ต้องใช้เวลาในการทำเรื่อง และออกเอกสารใบส่งตัว ก็เลยนัดให้มารับอีกทีวันรุ่งขึ้น เรากับหม่าม๊าก็กลับบ้าน โดยแวะทานข้าวระหว่างทาง เพราะตั้งแต่ออกมายังไม่ได้ทานอะไรเลย ระหว่างทานข้าวทางห้องประกันสังคมก็โทรเข้ามา บอกให้เข้าไปรับจดหมายส่งตัว ซึ่งปกติทางโรงพยาบาลมี contract กับทางรพ.ราชวิถี
แต่หมอที่เป็นคนดู case นี้บอกให้ส่งตัวไปศิริราช (เหตุผลคือหมอจบจากศิริราช เลยรู้ว่าที่นั่นมีคลินิกทางด้านนี้โดยเฉพาะ) แล้วหมอก็ยังเร่งให้ห้องประกันสังคมรีบทำจดหมายส่งตัวให้ด่วน
เฮ่อ.....นี่คือความโชคดีอย่างที่ 2 ที่ได้รับจากหมอทั้ง 2 โรงพยาบาล ต้องขอขอบคุณคุณหมอท่านนี้อีกเช่นกัน
เดี๋ยวมาดูตอนต่อไปกันนะคะ ว่าพอไปที่ศิริราชแล้วเป็นยังไง ^^