+++ วีรบุรุษประชาธิปไตย “กี้ร์ อริสมันต์”ยก“ฮุนเซน”เทียบพ่อบังเกิดเกล้า “หนี้ชีวิต“ช่วยหนีตายปี 53 เผยความลับฝ่าทหาร +++

กระทู้สนทนา
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

"ผมติดหนี้บุญคุณ ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน พูดง่าย ๆ ว่าผมเรียกเขาว่าพ่อโดยไม่กระดากใจ เพราะถ้าไม่มีท่านผมคงตาย ไม่มีประเทศกัมพูชาผมคงตายด้วย"

"เชื่อไหม ผมบอก ไม่ได้หรอก ถ้าผมแพ้ ประชาชนจะแพ้หมด ฉะนั้นเราต้องเหลือไว้ ออกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ให้โดนจับ"

หนึ่งในคำบอกเล่าระหว่างหลบหนีการไล่ล่าจับกุมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ขณะถูกทหารล้อมปราบสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ในเดือนพฤษภาคม 2553 จากปากคำของ "กี้ร์ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง" อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ของ "แดงฮาร์ดคอร์" ที่ยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจใครหลายคนว่า "อริสมันต์" ฝ่า "มวลมหาทหาร ตำรวจ" ที่ล้อมปราบอยู่ในช่วงเวลานั้นออกมาได้อย่างไร? ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการหลบหนีครั้งนี้บ้าง?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอถ่ายทอดวินาทีระทึกในช่วงหลบหนีการจับกุมจากปากคำของ "กี้ร์ อริสมันต์" ฉบับละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน พร้อมความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ช่วงที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กัมพูชา ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

"วันนั้นผมอยู่กันสามคน ผม ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) จตุพร (พรหมพันธุ์) คือเรียกว่ามือกอดคอกันหัวระดมกัน ก็คือตอนนั้นมีคนเสียชีวิตค่อนข้างเยอะแล้ว แล้วเป้าหมายที่เขาจะเอาคือผม เอาชีวิตแน่นอน ทั้งณัฐวุฒิ และจตุพร เขาก็พยายามให้ผมมอบตัวด้วยความรักในความเป็นเพื่อน

"พี่เชื่อผมถ้าอยู่ในฝูงชนเรามีโอกาสรอด แต่ถ้าพี่ออกไปข้างนอกแล้วไปเจอพวกนั้นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง" ณัฐวุฒิพูดด้วยความเป็นห่วงผม

ท้ายสุดก็คือว่าถึงแม้ว่าเราจะแถลงข่าวไปเมื่อคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 แต่ดูสถานการณ์พวกเขาคงไม่เก็บพวกเราไว้แน่ ถ้าเราต่อสู้ขัดขืนเราอาจต้องเสียชีวิตมากกว่านี้ สุดท้ายต้องตัดสินใจ

"ผมบอกว่า อยู่ก็อาจจะตาย ไปอาจจะตายเหมือนกัน แต่เราจะขอกำลังส่วนหนึ่งออกไปสู้ จะนำมวลชนไปจุดหนึ่ง ความเห็น 2 ต่อ 1 ณัฐวุฒิเลยขึ้นเวทีแถลงว่าจะสลายการชุมนุมกับจตุพร"

ผมก็นั่งตรงด้านขวา ตรงหน้านั้นเป็นหน้าของพระพรหม ฟังแถลงการณ์จนจบ เห็นทุกภาพ สุดท้ายก็พามวลชนเข้ามอบตัว ในขณะที่มอบตัว เสียงปืนก็ดัง แล้วทหารก็วิ่งเข้ามา เพื่อที่จะเคลียร์พื้นที่ ผมก็ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี และสุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่า ต้องออก

"คนขายผ้า เขาบอก พี่ ยอมแพ้เถอะ ผมก็มอง ไอ้นี่เป็นใครวะ เป็นตำรวจหรือเปล่า บอกให้ยอมแพ้ได้ไง"

"เชื่อไหม ผมบอก ไม่ได้หรอก ถ้าผมแพ้ ประชาชนจะแพ้หมด ฉะนั้นเราต้องเหลือไว้ ออกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ให้โดนจับ คนขายเสื้อเพิ่งรู้ว่าชื่อปราโมทย์ก็บอก เอา โอเค ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน"

"เสร็จแล้ว เขาบอก พี่ เปลี่ยนรองเท้าเถอะ ผมก็ถอดรองเท้า แล้วใส่รองเท้าเขา เปลี่ยนเสื้อด้วย ผมก็เปลี่ยน แล้วก็ทำผมกระเซอะกระเซิงหน่อย และใส่แว่น และเดินกอดคอไปกับเขา ด้านซ้ายผมบังเอิญมีร้านขายบุหรี่ พวกฮอลล์ ยาหม่อง ผมก็เลยสั่งบุหรี่ 10 มวน ไฟแช็กด้วย ผมก็เดินสูบบุหรี่ แล้วก็สูบแบบเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้"

ขณะที่กำลังจะเดิน มีหลวงพ่อโทรมา เราก็งงว่า เอ๊ะรู้จักเบอร์เราได้อย่างไร บริเวณนั้นสัญญาณถูกตัดหมด หลวงพ่อให้คาถาพรางตัว เราบอกอย่ามาพูดเล่นกับเรานะ ยิงกันขนาดนี้ มันไม่ได้แล้ว เราก็มีพระเนรศวร 1 องค์ หลวงพ่อฉุย 1 องค์ เราจึงขอพรจากหลวงพ่อให้ช่วย ให้พรางตาให้ด้วย

"พอท่องคาถาเสร็จปั๊บผมก็เดินออก เชื่อไหม ทหารตำรวจวิ่งสวนมาเป็นร้อย ไม่เห็นเรา"

เดินมาจนถึงหน้าบิ๊กซี ผมเลี้ยวขวา คราวนี้เหมือนเจอกองทัพ ก็เดินเข้าไป ตัดสินใจเอาวะ เห็นรถฮัมวี่ รถยีเอ็มซี จอดอยู่ ทหารเยอะ อารมณ์นั้นคิดว่าไม่รอด คนขายผ้าก็บอกว่า พี่ ยอมแพ้เถอะ หรือไม่ก็เข้าไปหลบบ้านเพื่อนผมก่อนตรงตีนสะพาน ผมบอก ไม่ได้หรอก คนขายผ้าก็ขาสั่น พี่ผมไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายมันก็ฮึด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอส่งวีรบุรุษให้ถึงที่หน่อย เราก็เดินไป

ระหว่างเดินเสียงปืนก็ดังตลอด บนตึกมีทหารสไนเปอร์ทุกหน้าต่าง ขณะที่กำลังเดินออกไป ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงมาจากในบ้าน บอกมีทหารแอบยิงคนอยู่บนตึก ตะโกนเสียงดัง ทหารก็หลบลงไป ผมเห็นทหารหลบ ผมก็วิ่งไปหลบใต้ตึก

พอเดินไปถึงตรงมิดไนท์ไก่ตอน สี่แยกไก่ตอน ลูกน้องที่เป็นหน่วยนำทางก็ตะโกน นาย มอเตอร์ไซค์พร้อมแล้ว ๆ ทหารก็จ้องเลย ผมก็ไม่กล้าขึ้นมอเตอร์ไซค์ ผมก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนั้นจะเป็นประตูน้ำคอมเพล็กซ์ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นไรไม่รู้ เดินกอดคอไปกับคนขายเสื้อ

"คุณเชื่อไหม ฝั่งตรงข้ามมันก็มีหน้าต่าง มีสไนเปอร์ส่องผม ส่องมาตลอดทาง ผมก็ไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่ชำเลือง แต่รู้ว่ามีแน่ ในใจยังคิดเลยว่า เม็ดไหนจะเป็นของเรา ฝังในหัวเรา"

อย่างไรก็ตามก็เดินผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้นเหนื่อยมาก ก็ไปแวะนั่งตรงหน้าตึกแห่งหนึ่ง มีเสาใหญ่ ๆ ขณะนั้นก็มีเสียงปืนดัง เราก็อยากจะรู้ว่าข้างบนเรามีอะไรบ้าง ผมก็ล้มตัวลงนอน เพื่อจะดูในตึกว่ามีอะไรหรือไม่ เสียงปืนดังพอดี คนก็ตะโกนว่ามีคนโดนยิง

"ทหารที่อยู่ฝั่งโน้นก็วิ่งถือถุงดำเข้ามาจะมาหาผม คนข้างหลังเห็นทหารวิ่งมาก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไป ผมก็คิดว่าจะวิ่งก็กลัวโดนยิงข้างหลัง ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา พอขณะที่จะเดินชนกันพอดี ผมเดินไปถึงศาลก่อน ผมก็กระโดดไปในศาลจีน ทำเป็นปัดกวาดเช็ดถู จนกระทั่งทหารไม่เห็นว่ามีคนตายเลยเดินกลับไป พวกทหารที่อยู่ในซอยก็เดินออกมา ผมเห็นทหารเดินออกมา ผมก็ขอพรจากศาลว่าขอให้รอด แล้วก็เดินหนีซอกแซกไปในซอย"

เดินไปจนเจอวินมอไซค์จอดอยู่กลางซอย ซึ่งวินมอเตอร์ไซค์คนนั้นไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร ผมบอกว่าให้ตามรถลูกน้องผมที่นำไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็ไปเจอด่านตำรวจ วินเขาไม่รู้ว่าอริสมันต์ซ้อนท้าย ก็รี่เข้าไปหาตำรวจ ตำรวจก็มองซ้ายมองขวามองแล้วมองอีก เขาคงคิดว่าทำไมอริสมันต์ดูโทรมจัง แล้วก็ปล่อยไป

"พอถึงด่านตำรวจที่ 2 ซึ่งยังไงก็ต้องออกด่านนี้ เพราะด้านซ้ายเป็นทางรถไฟมันก็ไม่มีทางไป ด้านขวาก็เป็นตึกเราก็คิดว่า เสร็จแน่ ทหารเป็นร้อย มันมี 2 ช่อง ช่องมีผู้โดยสาร กับไม่มีผู้โดยสาร วินก็ขับรี่เข้าไปหาทหาร ไปในช่องที่มีผู้โดยสาร ทหารพูดว่าไม่มีผู้โดยสารจะเข้ามาทำไม แต่ความจริงแล้วมีผมนั่งซ้อนท้ายมอไซค์อยู่"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่