คงมีหลายคนตั้งคำถามกับการกระทำของ กปปส. ในการล้มระบอบประชาธิปไตย ว่ามันคุ้มแล้วหรือ อะไรเป็นสิ่งตอบแทนที่ กปปส. ต้องการจริงๆ คุณสุเทพบ้าไปแล้วหรือ
สำหรับผมการตื่นตัวของ ปชช ใน ตจว. เรื่อง ปชต. ในส่วนอื่น ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ พรรค ปชป ได้ถูกปลุกขึ้นจากการเข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างสูงของพรรคไทยรักไทยในยุคแรก ทำให้ ปชช ใน ตจว. ได้รับรู้ถึงคำว่า อำนาจในสิทธิ์ของตนในระบอบประชาธิปไตย ว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของพวกเขาได้อย่างไร และเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองกับผู้มีอำนาจเดิม ดังนั้น ปชต. ของคน ตจว. จึงมีการพัฒนามาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กับคน กทม. ที่เป็นปัญญาชน มีต้นทุนทางสังคมสูง กลับพบว่า มีการพัฒนาในเรื่อง ปชต. ล้าหลังเป็นอย่างมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเมือง ไม่มีอิทธิพลกับวิถีชีวิต ของคน กทม. เลย ข่าวการเมืองมีความสำคัญน้อยกว่าข่าวดาราคนไหนจะเป็นแฟนกันเสียอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการเมือง คน กทม. ก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ใครจะเป็น รบ. ก็ไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตพวกเขาเปลี่ยน การเจริญรุ่งเรืองขึ้นของประเทศไทย เป็นเพราะพวกเขาช่วยกันทำงานอย่างหนัก
แต่การที่อำนาจการต่อรองของคน ตจว. มีสูงขึ้นเรื่อยๆ จากระบอบประชาธิปไตย จนผู้กุมอำนาจเดิมรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงทางอำนาจอีกต่อไป และรู้ว่าลำพังพวกเขาคงไม่สามารถหยุดกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ พวกเขาจึงปลุกคน กทม. ที่ถูกแช่แข็งมานาน แต่มีความเชื่อว่าตนเองมีสถานะที่สูงกว่า ควรที่จะเป็นผู้นำทางความคิดให้กับสังคม และคน กทม. ก็สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคม และเมื่อชาว กทม. ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็พบความจริงที่ว่า คน กทม. มีแนวคิดในเรื่องระบอบการปกครองที่ล้าหลังเหมือนถูกแช่แข็งไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่มีรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ ทำให้ กปปส. สามารถปลุกระดมคน กทม. ให้มาร่วมเป่านกหวีด ขับไล่ระบอบประชาธิปไตยได้ ซึ่งผมเชื่อว่าคน กทม. ส่วนใหญ่ที่ไปร่วมกับ กปปส. ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า การถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตย มันมีความสำคัญในวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างไร
ดังนั้น ในจินตนาการของผม สำหรับคนที่กุมอำนาจอยู่เดิม ประชาธิปไตยที่เจริญงอกงามขึ้นเป็นสิ่งที่สมควรถูกหยุดยั้ง ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร เท่าไรก็คุ้ม และคุณสุเทพไม่ได้บ้า แต่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
เป้าหมายของ กปปส. และ ฯลฯ
สำหรับผมการตื่นตัวของ ปชช ใน ตจว. เรื่อง ปชต. ในส่วนอื่น ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ พรรค ปชป ได้ถูกปลุกขึ้นจากการเข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างสูงของพรรคไทยรักไทยในยุคแรก ทำให้ ปชช ใน ตจว. ได้รับรู้ถึงคำว่า อำนาจในสิทธิ์ของตนในระบอบประชาธิปไตย ว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของพวกเขาได้อย่างไร และเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองกับผู้มีอำนาจเดิม ดังนั้น ปชต. ของคน ตจว. จึงมีการพัฒนามาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กับคน กทม. ที่เป็นปัญญาชน มีต้นทุนทางสังคมสูง กลับพบว่า มีการพัฒนาในเรื่อง ปชต. ล้าหลังเป็นอย่างมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเมือง ไม่มีอิทธิพลกับวิถีชีวิต ของคน กทม. เลย ข่าวการเมืองมีความสำคัญน้อยกว่าข่าวดาราคนไหนจะเป็นแฟนกันเสียอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการเมือง คน กทม. ก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ใครจะเป็น รบ. ก็ไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตพวกเขาเปลี่ยน การเจริญรุ่งเรืองขึ้นของประเทศไทย เป็นเพราะพวกเขาช่วยกันทำงานอย่างหนัก
แต่การที่อำนาจการต่อรองของคน ตจว. มีสูงขึ้นเรื่อยๆ จากระบอบประชาธิปไตย จนผู้กุมอำนาจเดิมรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงทางอำนาจอีกต่อไป และรู้ว่าลำพังพวกเขาคงไม่สามารถหยุดกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ พวกเขาจึงปลุกคน กทม. ที่ถูกแช่แข็งมานาน แต่มีความเชื่อว่าตนเองมีสถานะที่สูงกว่า ควรที่จะเป็นผู้นำทางความคิดให้กับสังคม และคน กทม. ก็สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคม และเมื่อชาว กทม. ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็พบความจริงที่ว่า คน กทม. มีแนวคิดในเรื่องระบอบการปกครองที่ล้าหลังเหมือนถูกแช่แข็งไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่มีรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ ทำให้ กปปส. สามารถปลุกระดมคน กทม. ให้มาร่วมเป่านกหวีด ขับไล่ระบอบประชาธิปไตยได้ ซึ่งผมเชื่อว่าคน กทม. ส่วนใหญ่ที่ไปร่วมกับ กปปส. ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า การถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตย มันมีความสำคัญในวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างไร
ดังนั้น ในจินตนาการของผม สำหรับคนที่กุมอำนาจอยู่เดิม ประชาธิปไตยที่เจริญงอกงามขึ้นเป็นสิ่งที่สมควรถูกหยุดยั้ง ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร เท่าไรก็คุ้ม และคุณสุเทพไม่ได้บ้า แต่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง