American Hustle (2013)
Genre: Crime, Drama
Director: David O. Russell
Writers: Eric Singer, David O. Russell
ไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ ว่า American Hustle เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมประจำปี 2013 อย่างแน่นอน จนถึงตอนที่กำลังเขียนอยู่นี้หนังก็ติด 1 ใน 10 หนังยอดเยี่ยมของสถาบัน AFI, มีชื่อเข้าชิงหนังยอดเยี่ยมเวทีลูกโลกทองคำ และเชื่อขนมกินได้เลยว่ามันจะต้องมีชื่อเข้าชิงหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์แน่ ๆ อีกอย่างก็คือมันอาจจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของตัวเขาเองด้วย
American Hustle บอกตั้งแต่เริ่มเรื่องว่ามีเพียงแค่บางส่วนที่มาจากเรื่องจริง หนังเล่าเรื่องของเออร์วิ่ง (Christian Bale) นักต้มตุ๋นมืออาชีพที่พลาดท่าถูกริชชี่ (Bradley Cooper) เจ้าหน้าที่ FBI จับได้ เพื่อแลกกับอิสรภาพของเขาและแฟนสาวชื่อซิดนี่ย์ (Amy Adams) เขาจึงยอมร่วมแผนการกับริชชี่ในการหลอกล่อจับกุมนักการเมืองทุจริต โดยเหยื่อของเขาก็คือนายกเทศมนตรีคาร์ไมน์ (Jeremy Renner) นักการเมืองคอนเนคชั่นดีผู้มีความตั้งใจในการพัฒนาเมืองแม้จะต้องยอมมือสกปรกบ้างก็ตาม
ผมอยากจะนิยามว่ามันเป็น The Sting แห่งยุค 2000 (The Sting คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปี 1974 เกี่ยวกับแก๊งต้มตุ๋น) ผมอาจจะพูดเกินจริงไปสักนิดเพราะ The Sting มันขึ้นหิ้งระดับคลาสสิกของคลาสสิกและผ่านการพิสูจน์ด้วยกาลเวลาไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ American Hustle แม้จะเป็นหนังต้มตุ๋นที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่พิสูจน์ฝีมือในการเขียนบทและกำกับของรัสเซลล์ แต่มันก็เพิ่งจะออกจากไข่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยเวลา กระนั้นผมก็ยังขอยกย่องว่ามันมีสไตล์ในการต้มตุ๋นเป็นของตัวเอง ซึ่งนับว่าดีสำหรับหนังต้มตุ๋นในยุค 2000
อยากจะขอชมเดวิด โอ รัสเซลล์ถึงแนวทางการทำหนัง 3 เรื่องหลังสุดของเขาด้วยว่า เขาเป็นผู้กำกับที่เก่งมาก ๆ ในการดึงศักยภาพนักแสดง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาให้ความสำคัญกับน้ำหนักบทบาทตัวละคร ตัวละครไม่ว่าจะตัวหลักหรือตัวรองจะต้องได้เล่นหลากหลายอารมณ์ ได้ปล่อยของในฉากของตัวเอง อย่าง
- เบลได้โชว์ความเป็นมืออาชีพลด-เพิ่มน้ำหนักจนคนยกย่องในความทุ่มเท (ออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมที่เบลคู่ควรจาก The Fighter และมาเรื่องนี้เพิ่มน้ำหนักจนลงพุง!) ส่วนการแสดงของเขาก็มอบให้ในระดับที่ดีตามมาตรฐานนั่นแหละครับ
- เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (รับบท โรซาลีน) หลังจากโชว์ความสามารถจนได้ออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Silver Lining Playbook มาครั้งนี้แม้จะได้บทสมทบเล็ก ๆ ปรากฎกายไม่มากแต่ทุกครั้งที่ปรากฎตัวเธอก็ยังมีทีเด็ดมาปล่อยอยู่เสมอ ทั้งแรด ทั้งเซ็กซี่ มีมุมเศร้า มีมุมน่าเห็นใจ บทเธอนี่พิเศษอย่างที่รัสเซลล์บอกไว้ว่า "เขียนขึ้นมาให้เจนโดยเฉพาะ!"
- เอมี่ อดัมส์ อีกหนึ่งนักแสดงระดับคุณภาพที่มีชื่อบนเวทีออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง!! ซึ่งผมเชื่อว่าเธอคงจะได้เข้าชิงออสการ์สาขาการแสดงเป็นครั้งที่ 5 แน่ ๆ แม้จะอายุ 39 แล้วแต่ยังสวยเซ็กซี่ชนิดเจนนิเฟอร์ที่ว่าแน่ยังต้องแพ้เธอเลยครับ แล้วการแสดงของเธอก็ได้บทส่งด้วยส่วนหนึ่ง เอาแค่การแสดงออกถึงความรักของเธอก็ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีเรื่องสำเนียงการพูดอีก!
- แบรดลี่ย์ คูเปอร์ ถ้าเลือกรับงานหนังสายล่ารางวัลเรื่อย ๆ แบบนี้คงมีสักวันที่เป็นของเขาครับ ตอน Silver Linings Playbook นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ และในครั้งนี้ก็ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังมีของให้ได้โชว์อีก! คูเปอร์ทำให้คนดูเชื่อว่าเขาคือ FBI หนุ่มผู้มีความทะเยอทะยานอย่างมาก ฉากที่ต้องเล่นกับอารมณ์ตัวละครเขาก็ทำได้ดี น่าจะมีชื่อบนเวทีออสการ์อีกครั้งครับ
- เจเรมี่ เรนเนอร์ คนนี้ผมอยากพูดถึงเป็นพิเศษ เขาเป็นนักแสดงที่เล่นบทสมทบขึ้นมากกกก (เล่นบ่อยกว่านี้อาจจะเหมือนซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ฮ่าๆๆ) ลืมภาพนักเลงใน The Town, ลืมภาพหน่วยกู้ระเบิดไม่กลัวตายใน The Hurt Locker, สลัดภาพสายลับใน MI-4 มาเป็นนักการเมืองสีเทาที่สร้างสีสันให้หนังเป็นอย่างมาก แล้วยิ่งทรงผมกับการแต่งตัวของเฮียเรนเนอร์นี่ช่วยสลัดภาพบทบาทเก่า ๆ ไปได้เลย หะหะ ในส่วนของการแสดงเขาก็ทำได้ดี มีได้โชว์ของนิดหน่อยด้วยครับ
และก็ขอชมรัสเซลล์อีกอย่างว่าเขาทำหนังแนวดราม่าคอเมดี้ได้ดีแฮะ (Three Kings, Silver Lining Playbook) เขาคุมสมดุลระหว่างคอเมดี้กับดราม่าได้ดี อย่างใน American Hustle ตัวหนังเป็นแนวต้มตุ๋นที่ออกจะดราม่า แต่มันก็ยังมีอารมณ์ขันแทรกมาได้ตลอดโดยไม่ทำลายความเป็นหนังที่มีโทนจริงจัง
แม้จะเป็นหนังที่มีสเกลใหญ่คือเรื่องการต้มตุ๋นจับกุมนักการเมืองทุจริต แต่ American Hustle ก็ให้ความสำคัญกับตัวละครมากทีเดียวครับ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแนบแน่นชนิดแยกออกจากกันไม่ได้ ความรัก/เครื่องมือ ระหว่างเออร์วิ่งกับซิดนี่ย์โดยมีริชชี่เป็นตัวแทรก, ทิ้งไม่ได้/ไม่อยากทิ้ง ข้อพิสูจน์ของเออร์วิ่งต่อโรซาลีนโดยมีซิดนี่ย์จับตาดู, มิตรภาพระหว่างเออร์วิ่งกับคาร์ไมน์ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Donnie Brasco ที่เมื่อพัวพันกับเหยื่อมาก ๆ ก็เกิดความเคารพ เข้าใจมุมมอง, การแข่งขันกันเป็นผู้คุมเกมของเออร์วิ่งกับริชชี่ หนังที่เล่นกับอะไรหลาย ๆ อย่างแบบนี้แล้วจะทำได้ "ไม่เละ" แบบนี้มีไม่มากหรอกครับ
ถึงตอนนี้อาจจะเรียกรัสเซลล์ว่าเป็นผู้กำกับขวัญใจออสการ์แล้วก็ว่าได้ เพราะหนังสามเรื่องหลังสุดของเขาล้วนมีชื่อเข้าชิงออสการ์ไม่ต่ำกว่า 6 รางวัล! ถึงกระนั้นในสายตาของผมยังมองว่าหนังของเขายังไม่พีคสักเรื่อง สามเรื่องหลังสุดของเขาอยู่ในระดับที่เรียกว่า "ดี" แต่ยังไม่ถึงกับ "ว้าว" แฮะ แม้กระทั่ง American Hustle ก็เถอะ
อย่างไรก็ตามต้องขอย้ำอีกครั้งว่า American Hustle คือหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมของปี 2013 อย่างแน่นอน
9/10
ถ้าชอบกันก็ติดตามกันได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms นะครับ มีมากกว่าแค่รีวิวหนังครับ
ขอบคุณครับ
[รีวิวไม่สปอล์] American Hustle หนังต้มตุ๋นที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องและตัวละครที่โปรยเสน่ห์ชนิดไม่ยอมกันเลย!!
Genre: Crime, Drama
Director: David O. Russell
Writers: Eric Singer, David O. Russell
ไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ ว่า American Hustle เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมประจำปี 2013 อย่างแน่นอน จนถึงตอนที่กำลังเขียนอยู่นี้หนังก็ติด 1 ใน 10 หนังยอดเยี่ยมของสถาบัน AFI, มีชื่อเข้าชิงหนังยอดเยี่ยมเวทีลูกโลกทองคำ และเชื่อขนมกินได้เลยว่ามันจะต้องมีชื่อเข้าชิงหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์แน่ ๆ อีกอย่างก็คือมันอาจจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของตัวเขาเองด้วย
American Hustle บอกตั้งแต่เริ่มเรื่องว่ามีเพียงแค่บางส่วนที่มาจากเรื่องจริง หนังเล่าเรื่องของเออร์วิ่ง (Christian Bale) นักต้มตุ๋นมืออาชีพที่พลาดท่าถูกริชชี่ (Bradley Cooper) เจ้าหน้าที่ FBI จับได้ เพื่อแลกกับอิสรภาพของเขาและแฟนสาวชื่อซิดนี่ย์ (Amy Adams) เขาจึงยอมร่วมแผนการกับริชชี่ในการหลอกล่อจับกุมนักการเมืองทุจริต โดยเหยื่อของเขาก็คือนายกเทศมนตรีคาร์ไมน์ (Jeremy Renner) นักการเมืองคอนเนคชั่นดีผู้มีความตั้งใจในการพัฒนาเมืองแม้จะต้องยอมมือสกปรกบ้างก็ตาม
ผมอยากจะนิยามว่ามันเป็น The Sting แห่งยุค 2000 (The Sting คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปี 1974 เกี่ยวกับแก๊งต้มตุ๋น) ผมอาจจะพูดเกินจริงไปสักนิดเพราะ The Sting มันขึ้นหิ้งระดับคลาสสิกของคลาสสิกและผ่านการพิสูจน์ด้วยกาลเวลาไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ American Hustle แม้จะเป็นหนังต้มตุ๋นที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่พิสูจน์ฝีมือในการเขียนบทและกำกับของรัสเซลล์ แต่มันก็เพิ่งจะออกจากไข่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยเวลา กระนั้นผมก็ยังขอยกย่องว่ามันมีสไตล์ในการต้มตุ๋นเป็นของตัวเอง ซึ่งนับว่าดีสำหรับหนังต้มตุ๋นในยุค 2000
อยากจะขอชมเดวิด โอ รัสเซลล์ถึงแนวทางการทำหนัง 3 เรื่องหลังสุดของเขาด้วยว่า เขาเป็นผู้กำกับที่เก่งมาก ๆ ในการดึงศักยภาพนักแสดง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาให้ความสำคัญกับน้ำหนักบทบาทตัวละคร ตัวละครไม่ว่าจะตัวหลักหรือตัวรองจะต้องได้เล่นหลากหลายอารมณ์ ได้ปล่อยของในฉากของตัวเอง อย่าง
- เบลได้โชว์ความเป็นมืออาชีพลด-เพิ่มน้ำหนักจนคนยกย่องในความทุ่มเท (ออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมที่เบลคู่ควรจาก The Fighter และมาเรื่องนี้เพิ่มน้ำหนักจนลงพุง!) ส่วนการแสดงของเขาก็มอบให้ในระดับที่ดีตามมาตรฐานนั่นแหละครับ
- เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (รับบท โรซาลีน) หลังจากโชว์ความสามารถจนได้ออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Silver Lining Playbook มาครั้งนี้แม้จะได้บทสมทบเล็ก ๆ ปรากฎกายไม่มากแต่ทุกครั้งที่ปรากฎตัวเธอก็ยังมีทีเด็ดมาปล่อยอยู่เสมอ ทั้งแรด ทั้งเซ็กซี่ มีมุมเศร้า มีมุมน่าเห็นใจ บทเธอนี่พิเศษอย่างที่รัสเซลล์บอกไว้ว่า "เขียนขึ้นมาให้เจนโดยเฉพาะ!"
- เอมี่ อดัมส์ อีกหนึ่งนักแสดงระดับคุณภาพที่มีชื่อบนเวทีออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง!! ซึ่งผมเชื่อว่าเธอคงจะได้เข้าชิงออสการ์สาขาการแสดงเป็นครั้งที่ 5 แน่ ๆ แม้จะอายุ 39 แล้วแต่ยังสวยเซ็กซี่ชนิดเจนนิเฟอร์ที่ว่าแน่ยังต้องแพ้เธอเลยครับ แล้วการแสดงของเธอก็ได้บทส่งด้วยส่วนหนึ่ง เอาแค่การแสดงออกถึงความรักของเธอก็ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีเรื่องสำเนียงการพูดอีก!
- แบรดลี่ย์ คูเปอร์ ถ้าเลือกรับงานหนังสายล่ารางวัลเรื่อย ๆ แบบนี้คงมีสักวันที่เป็นของเขาครับ ตอน Silver Linings Playbook นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ และในครั้งนี้ก็ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังมีของให้ได้โชว์อีก! คูเปอร์ทำให้คนดูเชื่อว่าเขาคือ FBI หนุ่มผู้มีความทะเยอทะยานอย่างมาก ฉากที่ต้องเล่นกับอารมณ์ตัวละครเขาก็ทำได้ดี น่าจะมีชื่อบนเวทีออสการ์อีกครั้งครับ
- เจเรมี่ เรนเนอร์ คนนี้ผมอยากพูดถึงเป็นพิเศษ เขาเป็นนักแสดงที่เล่นบทสมทบขึ้นมากกกก (เล่นบ่อยกว่านี้อาจจะเหมือนซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ฮ่าๆๆ) ลืมภาพนักเลงใน The Town, ลืมภาพหน่วยกู้ระเบิดไม่กลัวตายใน The Hurt Locker, สลัดภาพสายลับใน MI-4 มาเป็นนักการเมืองสีเทาที่สร้างสีสันให้หนังเป็นอย่างมาก แล้วยิ่งทรงผมกับการแต่งตัวของเฮียเรนเนอร์นี่ช่วยสลัดภาพบทบาทเก่า ๆ ไปได้เลย หะหะ ในส่วนของการแสดงเขาก็ทำได้ดี มีได้โชว์ของนิดหน่อยด้วยครับ
และก็ขอชมรัสเซลล์อีกอย่างว่าเขาทำหนังแนวดราม่าคอเมดี้ได้ดีแฮะ (Three Kings, Silver Lining Playbook) เขาคุมสมดุลระหว่างคอเมดี้กับดราม่าได้ดี อย่างใน American Hustle ตัวหนังเป็นแนวต้มตุ๋นที่ออกจะดราม่า แต่มันก็ยังมีอารมณ์ขันแทรกมาได้ตลอดโดยไม่ทำลายความเป็นหนังที่มีโทนจริงจัง
แม้จะเป็นหนังที่มีสเกลใหญ่คือเรื่องการต้มตุ๋นจับกุมนักการเมืองทุจริต แต่ American Hustle ก็ให้ความสำคัญกับตัวละครมากทีเดียวครับ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแนบแน่นชนิดแยกออกจากกันไม่ได้ ความรัก/เครื่องมือ ระหว่างเออร์วิ่งกับซิดนี่ย์โดยมีริชชี่เป็นตัวแทรก, ทิ้งไม่ได้/ไม่อยากทิ้ง ข้อพิสูจน์ของเออร์วิ่งต่อโรซาลีนโดยมีซิดนี่ย์จับตาดู, มิตรภาพระหว่างเออร์วิ่งกับคาร์ไมน์ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Donnie Brasco ที่เมื่อพัวพันกับเหยื่อมาก ๆ ก็เกิดความเคารพ เข้าใจมุมมอง, การแข่งขันกันเป็นผู้คุมเกมของเออร์วิ่งกับริชชี่ หนังที่เล่นกับอะไรหลาย ๆ อย่างแบบนี้แล้วจะทำได้ "ไม่เละ" แบบนี้มีไม่มากหรอกครับ
ถึงตอนนี้อาจจะเรียกรัสเซลล์ว่าเป็นผู้กำกับขวัญใจออสการ์แล้วก็ว่าได้ เพราะหนังสามเรื่องหลังสุดของเขาล้วนมีชื่อเข้าชิงออสการ์ไม่ต่ำกว่า 6 รางวัล! ถึงกระนั้นในสายตาของผมยังมองว่าหนังของเขายังไม่พีคสักเรื่อง สามเรื่องหลังสุดของเขาอยู่ในระดับที่เรียกว่า "ดี" แต่ยังไม่ถึงกับ "ว้าว" แฮะ แม้กระทั่ง American Hustle ก็เถอะ
อย่างไรก็ตามต้องขอย้ำอีกครั้งว่า American Hustle คือหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมของปี 2013 อย่างแน่นอน
9/10
ถ้าชอบกันก็ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms นะครับ มีมากกว่าแค่รีวิวหนังครับ
ขอบคุณครับ