ภาวะโลกร้อนแผ่อานุภาพไปทั่วโลก ดูเหมือนว่า จะเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยา อาจตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุสว่าโลกจะแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ได้หมายความว่าแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ จะพัง เพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มนุษย์อยู่อย่างลำบาก ประกอบกับจำนวนประชากรของโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน จำนวนผู้บริโภคมากขึ้นทำให้โลกยิ่งร้อน ซึ่งมีคนคิดถึงทางออกของปัญหานี้ไว้แล้ว
ขณะนี้ องค์การการนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคาร เพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯ มีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ในเบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศก่อน ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสะสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่างๆ และการขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์เจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก นาซ่าจะสร้างฐานบนดวงจันทร์เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้ พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ในการขับเคลื่อนกับยานต่างๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมันอีกต่อไป องค์การนาซ่าวางแผนไว้ว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคารในอนาคต อาจไปไม่หมด เพราะโลกวิกฤติมนุษย์อยู่ลำบากขึ้น. การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กหลายเมือง ในเมืองจะมีคนอยู่ 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่า เพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อนไปในอวกาศได้ การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทน เพราะมีอยู่เหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่มาก รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลก เพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง
องค์การนาซาได้วางแผนไว้ว่าในปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรก เพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษา เก็บข้อมูลเเละอยู่ที่นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่ทุก2 ปี 80000 คน สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลมๆ คนสามารถเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว
ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าบนโลกของเรามาก ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ ต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับมนุษย์ได้
เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้น อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้น แต่ตรงนั้นไม่ต้องห่วง เพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้นร้อนขึ้น
ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานที่อวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ
ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอน บางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ดร อาจองชุมสายไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี
"เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่า ประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคน ไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้าง เพื่อที่เราจะได้มีประสบการณ์ได้เรียนรู้ ตอนนี้ญี่ปุ่น เริ่มส่งคนเป็นอาสาสมัครขึ้นไป. มีทั้งจีน. เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย คนตะวันออกกลาง คนไทยยังไม่มีใครสมัครไป ดร.อาจองกล่าวทิ้งท้าย
ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว
http://board.palungjit.org/f2/บริษัทรับอาสาสมัครปีละ2หมื่นคนไปอยู่ดาวอังคาร-ไปแล้วไปเลยไม่มีขากลับ-520486.html
บริษัทรับอาสาสมัครปีละ2หมื่นคนไปอยู่ดาวอังคาร ไปแล้วไปเลยไม่มีขากลับ
ขณะนี้ องค์การการนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคาร เพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯ มีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ในเบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศก่อน ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสะสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่างๆ และการขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์เจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก นาซ่าจะสร้างฐานบนดวงจันทร์เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้ พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ในการขับเคลื่อนกับยานต่างๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมันอีกต่อไป องค์การนาซ่าวางแผนไว้ว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคารในอนาคต อาจไปไม่หมด เพราะโลกวิกฤติมนุษย์อยู่ลำบากขึ้น. การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กหลายเมือง ในเมืองจะมีคนอยู่ 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่า เพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อนไปในอวกาศได้ การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทน เพราะมีอยู่เหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่มาก รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลก เพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง
องค์การนาซาได้วางแผนไว้ว่าในปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรก เพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษา เก็บข้อมูลเเละอยู่ที่นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่ทุก2 ปี 80000 คน สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลมๆ คนสามารถเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว
ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าบนโลกของเรามาก ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ ต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับมนุษย์ได้
เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้น อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้น แต่ตรงนั้นไม่ต้องห่วง เพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้นร้อนขึ้น
ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานที่อวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ
ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอน บางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ดร อาจองชุมสายไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี
"เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่า ประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคน ไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้าง เพื่อที่เราจะได้มีประสบการณ์ได้เรียนรู้ ตอนนี้ญี่ปุ่น เริ่มส่งคนเป็นอาสาสมัครขึ้นไป. มีทั้งจีน. เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย คนตะวันออกกลาง คนไทยยังไม่มีใครสมัครไป ดร.อาจองกล่าวทิ้งท้าย
ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว
http://board.palungjit.org/f2/บริษัทรับอาสาสมัครปีละ2หมื่นคนไปอยู่ดาวอังคาร-ไปแล้วไปเลยไม่มีขากลับ-520486.html