การทำประกันรถยนต์เหมือนหรือต่างกับประกันชีวิตหรือเปล่าค่ะ

ดิฉันทำประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพบุคคลที่กรุงเทพประกันภัย ที่มีวงเงินชดเชย 800,000 บาท
และต่ออายุมาก็หลายปีแล้ว เพราะเริ่มทำตั้งแต่ปี 2006 บางปีเบี้ยประกันเพิ่มตามอายุที่มากขึ้นก็จ่ายโดยไม่อิดออด
บางปีมีการเจ็บป่วยก็ต้องเพิ่มเบี้ยประกันขึ้นอีกดิฉันก็จ่าย.. ปี 2010 ดิฉันเครมไปในวงเงินที่สูงพอสมควร
เพราะป่วยด้วยหลายโรคแต่ประกันก็ขึ้นค่าเบี้ยและเก็บมาอีก 2 ปี ซึ่งดิฉันก็จ่ายมาตลอดอีกเช่นกัน
จนกระทั่งถึงปีนี้ 2013 ที่จะต่อประกัน ทางบริษัทประกันแจ้งว่ากรมธรรม์ดิฉันใกล้จะหมดอายุ  ดิฉันก็จ่ายเช่นทุกปี
พอจ่ายเสร็จมีกรมธรรม์ส่งมาทางไปรษณีย์ ดิฉันก็เปิดออกดูเพื่อจะเก็บบัตรใส่กระเป๋า ปรากฎว่าในบัตรถูกเปลี่ยนแผนประกันจาก
G104 เป็น S505 (ซึ่งดิฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า S505 เป็นแบบไหน คืออะไร) และวงเงินชดเชยจาก 800,000 เหลือ 400,000 บาท

ดิฉันโทรไปถามที่บริษัทประกัน ได้คำตอบว่า เป็นนโยบายของบริษัทที่พิจารณาตามค่าชดเชยของลูกค้าแต่ละราย ดิฉันเลยถามไปว่า “นั่นหมายความว่า ถ้าลูกค้าคนไหนป่วยบ่อย บริษัทประกันก็จะไม่รับล่ะ” ทางประกันก็บอกว่า “เป็นนโยบายของทางบริษัทฯ ซึ่งเหมือนประกันภัยรถยนต์อ่ะคะ ถ้ารถที่มีการชนมาก ซ่อมบ่อยเราก็เพิ่มเบี้ยประกันหรือไม่ต่อประกันให้ลูกค้า แต่กรณีของคุณเราไม่ได้ยกเลิกนะคะ” แค่เปลี่ยนโดยไม่บอกให้รู้ เนียนๆไปเท่านั้นเอง เผื่อลูกค้าไม่สังเกตก็แล้วไป งั้นเรื่องนี้จะสอนดิฉันว่าอะไรเหรอคะ อย่าป่วย หรือ อย่าให้ประกันมันหลอก

ถ้าคุณมีนโยบายแบบนี้ ทำไมไม่แจ้งลูกค้าตั้งแต่แรกจะได้ไม่ทำ แถมยังมาเพิ่มเบี้ยให้จ่ายต่ออีก 2 ปี พอคิดว่าคุ้มแล้วก็เปลี่ยนแผนมันซะเลยงั้นเหรอ เสียความรู้สึกกับบริษัทฯนี้มาก ทำงานอะไรก็ช้า เอกสารก็ผิดทุกปี ความจริงดิฉันทำประกันทั้งที่อยู่อาศัย รถยนต์ และสุขภาพไว้กับที่นี่หมด แต่ต้นปีที่ผ่านมา ดิฉันก็ยกเลิกเรื่องประกันที่อยู่อาศัยเพราะเจ้าหน้าที่ที่แจ้งเบี้ยแต่ละรอบ แจ้งไม่เท่ากัน สุดท้ายไม่รู้จะให้จ่ายอะไร เท่าไหร่ ดิฉันเลยบอกยกเลิกเลยล่ะกัน งานแค่นี้เองส่วนงานภายในของคุณทำงานไม่ประสานกันเลย.. จากนั้นประกันก็หักค่าประกันวันต่อวันไป แล้วคืนที่เหลือมาให้ดิฉัน บอกว่าจากวันนั้นจนถึงวันที่ดิฉันยกเลิกได้มีการคุ้มครองไปแล้ว ดิฉันก็ช่างเถอะ เงินไม่กี่ตังค์ ไร้สาระ แต่นี่มาเรื่องใหม่อีกแล้ว ประกันสุขภาพอีก ก็ขอเตือนเพื่อนๆไว้นะคะ ว่าการทำประกันใดๆก็ตามขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทฯนั้นๆด้วย อย่าป่วยบ่อย จะได้จ่ายค่าประกันไปเรื่อยๆ และไม่ต้องมาปวดหัวหรือเสียความรู้สึกเหมือนดิฉัน..

ต่อไปก็ไปทำประกันชีวิตเลยน่าจะดีกว่านะ.. จะได้ไม่ต้องมายกเลิกกันง่ายๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่