ม็อคค่าปาท่องโก๋ : คุยกับคนอวดผี (ตอนจบ) {สัมภาษณ์ผกก.โอ๋ GTH}

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1123


      เมื่อสอง-สามตอนที่แล้ว “ม็อคค่า ปาท่องโก๋” พาท่านผู้อ่าน “เนชั่นสุดสัปดาห์” ไปมุดรั้วงาน Event ยักษ์ประจำเทศกาล Halloween ของสิงคโปร์ โดยมีตัวชูโรงคือ “บ้านผีสิง” ฝีมือการสร้างสรรค์โดยค่ายหนังไทยชั้นนำอย่าง GTH

      ได้รับเกียรติจากผู้สร้าง “บ้านผีสิง” สองท่าน คือ “กอล์ฟ” ปวีณ ภูริจิตปัญญา ผู้กำกับบอดี้ศพ #19  / 4 แพร่ง (ยันต์สั่งตาย) / 5 แพร่ง (หลาวชะโอน) และ รัก 7 ปี ดี 7 หน (14) ควงแขน “โอ๋” ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับชัตเตอร์กดติดวิญญาณ / แฝด / 4 แพร่ง (เที่ยวบิน 224) และ 5 แพร่ง  (รถมือสอง) มาเปิดใจถึงโครงการดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      เรายังเหลือประเด็นตกค้างจาก “บ้านผีสิง” พระเอกประจำ Halloween ของสิงคโปร์ประจำปีนี้ อีกหลากหลายเรื่องราว จึงขออนุญาตนำท่านผู้อ่าน “เนชั่นสุดสัปดาห์” ไปฟังทัศนะของคุยกันต่อกับผู้กำกับหนังผีไทยชื่อดังของ GTH “โอ๋” ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ...

Mr. Coffee : ความรู้สึกที่มีต่อค่าใช้จ่ายของประชาชนในการออกไปดูหนังในโรง

โอ๋ : ผมเข้าใจเรื่องที่ว่าตั๋วหนังมันต้องขึ้นราคา แต่ผมรู้สึกว่ามันถี่เกินไปที่จะขึ้นราคาไปเรื่อยๆ ครับ และบางทีมันก็มีเหตุผลที่ไร้สาระในการขึ้นราคา เช่น อย่างที่รู้ๆ กัน พอมีหนัง Block buster เข้า ต้นทุนสูง ก็เลยขึ้นราคา หรือฉายด้วยระบบนี้ชัดกว่า แล้วก็เพิ่มเงิน ซึ่งบางทีในความจริงอาจจะลดต้นทุนด้วยซ้ำ ระบบการฉายไม่ต้องใช้ฟิล์มแล้ว ยิ่งต้นทุนต่ำลง ผมว่ามันไม่ Make sense และราคาของบางอย่างก็สูงเกินไป ตอนสมัยที่จะมีหน่วยงานมาตรวจสอบราคา ผมก็ดีใจ เพราะก็คิดว่ามันแฟร์สำหรับผู้บริโภคจริงๆ หรือไม่ แล้วก็เห็นเงียบหายไป

Mr. Coffee :  ความหรูหราของโรงหนังมากเกินความจำเป็น

โอ๋ : คือจริงๆ ผมก็ไม่ติดที่จะพัฒนาให้โรงหนังมันมีระดับ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า ทางเลือกเราไม่มีครับ เราจำเป็นต้องดู ก็ตามระบบทุนนิยมทั่วไป ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าเป็นช่วงที่ใส่ไม่ยั้ง ตั้งแต่ที่ผมเข้าโรงหนังครั้งแรก พวกโรงหนังมัลติเพล็กซ์ ค่าตั๋วหนังก็อยู่ที่ 70 บาท ช่วงที่ค่าตั๋วหนังจาก 70 บาท กว่าจะขึ้นมาถึง 100 บาทใช้เวลานานมาก แต่จาก 100 บาท ขึ้นไปถึง 200 บาท นี่มันเร็วมากครับ วิธีการแบ่งที่นั่งในโรงหนังก็เริ่มสลับซับซ้อน เพราะรู้ว่าคนจะชอบนั่งตรงไหน แบ่งแบ่งมาจนจะกลายเป็นผังละครเวทีอยู่แล้ว

Mr. Coffee :  ค่ายหนังไม่แฮปปี้หรือ ที่ว่าจะได้ส่วนแบ่งจากราคาตั๋วหนังที่มากขึ้น

โอ๋ : คือโดยส่วนตัวผมเอง มองว่าราคาตั๋วหนังก็ควรจะยุติธรรมครับ ไม่ได้มองในแง่ว่าราคาตั๋วแพงขึ้น ค่ายหนังจะได้เงินมากขึ้น ผมอยากได้จำนวน Volume ของคนดูเพิ่มขึ้นมากกว่าครับ อยากให้คนได้ดูเยอะๆ มากกว่าการได้รายได้ต่อหัวเยอะ อยากให้หนังกระจายไปสู่คนให้ได้มากๆ สำหรับความคิดเห็นในมุมมองของคนทำหนังอย่างผมเองนะครับ

Mr. Coffee :  เหมือนคำดูถูกกลายๆ ที่คนชอบพูดว่าเอะอะหนังไทยก็มีแค่ผี-ตลก-รักวัยรุ่น

โอ๋ : ที่จริงแล้ว คำพูดนี้ไม่ชอบเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันไร้สาระ มันเป็นปกติของโลกอยู่แล้ว มันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ใช่ว่าประเทศเราจะขนาดแคลนคนทำหนังอินดี้ หนังอิสระมันก็มีอยู่เรื่อยๆ รางวัลจากเมืองคานส์ เราก็เคยได้ แน่นอนครับว่าบางแนวมันทำไม่ได้ด้วยเงินทุน เช่น หนัง Action ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำด้วย แต่มันเป็นข้อจำกัด พอมันเป็นข้อจำกัด ผมก็ย้อนกลับไปว่า ถ้าผมจะทำหนัง Action สักเรื่อง ด้วยเงินทุนแค่นี้ ด้วยคนดูแค่นี้ มันจะทำได้ยังไง ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะทำครับ

Mr. Coffee :  ได้ยินว่ามีแผนที่จะทำหนังชีวประวัติของ สอ เสถบุตร

โอ๋ : ผมคงบอกเป็นเวลาที่เป๊ะๆ ไม่ได้ครับ เป็นโปรเจคต์ ที่ทำไหลๆ แล้วล่ะครับ ณ วันไหนที่มันพร้อม และไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ต้องแก้อะไรแล้ว และพอใจกันทุกฝ่ายแล้ว ก็จะเกิดขึ้นให้เห็นครับ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยู่ในจุดที่ถึงขนาดว่าจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ทำหรือไม่ทำ แต่ยังอยู่ในจุดที่พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ คนทำยังไม่ถึงขนาดถอดใจเลิกทำ แต่ว่าอาจจะถอดใจก็ได้ หรืออาจจะเห็นก็ได้ มันเกิดได้ทั้ง 2 ทางเลยครับ คือทำแล้วมันต้องตอบโจทย์คนทำอย่างมากว่า ทำไปเพื่ออะไร เพราะอะไร และทำออกไปแล้วมันจะดีพอที่เราจะโอเคกับมันหรือเปล่า  เพราะว่ามันก็ไม่ใช่แนวที่จะมีคนเข้ามาดูเยอะขนาดนั้นอยู่แล้ว ก็เลยต้องเคี่ยวกันสักนิด

Mr. Coffee :  หนังแนวนี้ของ GTH เอง อย่าง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน ก็ยังอาจจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีมากนัก เมื่อเทียบกับหนังแนวอื่นของ GTH เอง

โอ๋ : ผมมองว่าเป็นทางของคนดูหนังทั่วโลก ทั่วไปล่ะครับ เป็นอย่างนี้กันหมดครับ

Mr. Coffee : ในอนาคตสำหรับหนังที่จะทำ มีแนวโน้มที่จะทำเป็น 3D หรือไม่ครับ

โอ๋ : ก็มีครับ แต่ไม่ใช่จุดสำคัญที่จะไปเน้น มาเคาะโต๊ะกัน โครม! แล้วบอกว่า 3D กันเถอะ ยกเว้นว่าเราทำเนื้อหา ทำบท แล้วเรามองเห็นว่า มันต้อง 3D ก็จะค่อยทำ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นหลักว่ามาทำ 3D กัน  ไม่ขนาดนั้นครับ

Mr. Coffee : ปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้เห็นหนัง 3D จาก GTH

โอ๋ : เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ Point ของการทำหนัง และรู้สึกว่า คนก็ไม่ใช่เห็น 3D แล้วตื่นเต้น อยากไปดูกัน ผมว่ามันเป็นส่วนประกอบครับ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

Mr. Coffee :  อยากให้ยกตัวอย่างหนังไทยที่ชอบ

โอ๋ : ที่จริงผมดูได้หมดล่ะครับ แต่ผมชอบหนัง Sci-Fi มาก ชอบหนัง Thriller มาก แนวนี้ครับ เป็นหนังที่ผมเลือกดูก่อน ส่วนหนังไทยที่ชอบ มีเยอะมากเลยครับ ถ้าหนังสมัยก่อนก็ เช่น รักน้อยนิดมหาศาล ของพี่ต้อม เป็นเอก ชอบมากเลยครับ ถ้าสมัยใหม่ขึ้นมา ผมก็ชอบ ลัดดาแลนด์ ครับ เพราะเป็นหนังผีที่มองมุมใหม่ เห็นบทผมยังงงเลยว่า บ้านผีมันจะน่าทำตรงไหน ผีในบ้าน มันช่างดุ Basic และผมเป็นคนทำหนังผี ผมฟังแล้วผมไม่เข้าใจ จนเขาทำออกมาแป็นหนังแล้วผมถึงเห็นว่า อ๋อ หนังมันไม่ใช่ต้องการแค่ว่า ตอนจบต้องหักมุม ต้องกลัวสุดขีด แต่มันกลับหันไปเล่าเรื่องครอบครัว เรื่องสังคมได้ ผมรู้สึกว่าอันนี้ใหม่ ใหม่มากๆ สำหรับผม ผมก็ชื่นชมมากครับ อีกเรื่องที่ชอบคือ รัก 7 ปี ดี 7 หน ตอน 42.195 ของพี่เก้ง จิระ ผมชอบมากครับ ผมดูแล้วรู้สึกว่า จับใจมาก นานๆ ครั้ง ผมดูหนังไทยแล้วจะรู้สึกแบบนี้ออกจากโรง มันตราตรึง

Mr. Coffee : นอกจากหนังผี อยากทำหนังแบบอื่นบ้างไหม

โอ๋ : นอกจากแนวที่ทำอยู่ ผมก็มีความคาดหวังที่อยากจะทำเป็นหนัง Drama บ้าง หนัง Thriller บ้าง

Mr. Coffee : หนัง Drama นี่ประมาณไหนครับ

โอ๋ : แนวครอบครัว แนวความรักความสัมพันธ์ อะไรประมาณนั้น อยากจะทำหนังที่ไม่มีผีอยู่ในเรื่องบ้างครับ (หัวเราะ) พยายามอยู่ครับ แต่ไม่ใช่เลิกทำหนังผีนะครับ ผมก็ยังชอบแนวนี้อยู่เหมือนเดิม

Mr. Coffee :   แล้วหนัง Thriller ล่ะครับ เพราะหนังแนวนี้ในประเทศไทย มีตัวเลือกค่อนข้างน้อย

โอ๋ : เป็นหนังแนวที่ท้าทายครับ เพราะว่าเป็นแนวที่มองโดยภาพรวม ยังไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ และส่วนใหญ่ทำออกมา ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักแต่เป็นแนวที่ท้าทายและน่าทำครับ

Mr. Coffee :  ลักษณะอย่างเรื่อง Countdown หรือเปล่าครับ

โอ๋ : ครับ Countdown หรือ “เฉือน” แนวๆ นั้น ค่อนข้างยากที่จะทำในเมืองไทย ผมว่ามันก็ท้าทายนะ อยากเห็น แต่สำหรับคนไทย พอจะ Thriller มันจะต้องไป ผี เลยครับ คนไทยถึงจะดู ถ้าดึงกลับมาหน่อยเป็น Thriller คนไทยจะไม่ค่อยดูกันแล้ว จะไม่ค่อย Get แล้วว่ามันคืออะไร ที่ผมว่าที่ทำๆไปแล้ว มันล้ำเกินไปหรืออะไรหรือเปล่า ก็ต้องมาคิดกันดู

Mr. Coffee :  หนังต่างประเทศที่ชอบล่ะครับ

โอ๋ : ล่าสุดก็ Gravity ครับ สุดๆ ผมชอบมาก สุดยอดบันเทิง ผมตั้งความหวังด้วยนะ ดูจบแล้วฟิน ความที่ผมชอบดูหนังอวกาศ อย่าง Star War หรือ 2001: A Space Odyssey ผมว่าก็ล้ำแล้วนะครับ แต่ผมมักจะได้ยินคนพูดกันว่า อวกาศจริงๆ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ได้ระเบิดแบบนี้ ก็มีแต่คนพูด แต่ไม่เคยเห็นใครทำจริงสักคน จนมาเรื่องนี้ กล้าทำ Sound Effect แบบนี้ ระเบิดโดยที่ไม่มีไฟ ใช้หลักการทางฟิสิกส์ ผมเปลี่ยนมุมมองไปเลยครับ เมื่อก่อนดูหนังอวกาศเหมือนเราอยู่ไกลๆ แต่ดูเรื่องนี้เหมือนผมไปอยู่ติดหน้าต่าง น่าดูมากครับ ด้วย Concept ที่มีความเวอร์ แต่เป็นความเวอร์ที่อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เรายังรับได้

Mr. Coffee :  ทำอย่างไรคนไทยถึงจะหันมาดูหนังไทยเพิ่มขึ้น

โอ๋ : ส่วนตัวผมว่า วิธีคิดแบบนี้ มันไม่ควรจะเกิดขึ้น เราไม่ควรจะไปปรับอะไรคนดูเลย หรือไปโทษคนดูว่า ทำไมคนดูหนังไทยถึงไม่ฉลาดพอ ทำไมถึงเลือกดูหนังแบบนี้ ผมว่ารู้สึกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของคนดู หน้าที่นั้นควรจะเป็นของคนทำหนังมากกว่า ทำอะไรใหม่ๆ แล้วเขาก็อยากจะจ่ายเงินไปดู ไปรับความบันเทิงแบบนั้นครับ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องชวนเขาเข้าไป ผมไม่เคยไปโทษคนดูที่คนดูไม่ดู หรือว่าจะทำหนังอาร์ต แล้วติดที่คนดู ไม่เคยคิดเลยครับ ถ้าจะทำ ทำไปเลย แล้วไปดูว่าคนดูจะตอบรับกับสิ่งที่เราทำอย่างไร เชื่อว่าคนดูจะเข้ามา พยายามพัฒนาสิ่งนี้ให้เขาเห็น แต่ถ้าเขาไม่เห็นไปโทษเข้าไม่ได้ ผมไม่เคยโทษคนดูหนังไทยแม้แต่นิดเดียวครับ

Mr. Coffee :  ถ้าทำหนังได้ถูกใจคนดู คนดูก็พร้อมที่จะออกมาดู

โอ๋ : ใช่ครับ ไม่ต้องมาเสียเวลาด่ากันหรอกครับว่า ค่ายนี้ทำไมทำหนังแต่แนวนี้ พวกนี้ก็อินดี้ ใครจะทำอะไรก็ทำไป จะมา กระแนะกระแหน กันในวงกรที่มันเล็กขนาดนี้ทำไม

Mr. Coffee :   ที่จริงแล้ววงการหนังไทยถือว่าเล็กมากใช่ไหมครับ

โอ๋ : ใช่ครับ ที่จริงแล้วมันไม่เรียกว่าอุตสาหกรรมด้วย มันเรียกว่าอาชีพผู้กำกับหนังไม่ได้ด้วยซ้ำในความจริง ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยอาชีพนี้ครับ ผมไปสอนหนังสือ ไม่กล้าบอกเด็กว่ามันเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูเราได้ จนเราแก่ ไม่ใช่ขายข้าวมันไก่ ที่ทำไปได้เรื่อยๆ พอหนังเรื่องหนึ่ง เราก็ต้องไปเริ่มใหม่ สำหรับผม เรียกว่าอาชีพไม่ได้ มีนักลงทุนคนไหนบ้างที่จะสบายใจกับการลงทุนทำหนังไทยถ้าไม่ใช่ใจรัก  ใจรักต้อง 50% ขึ้นไป เรื่องลงทุนต้องน้อยกว่านั้น ถ้าคิดแต่เรื่องลงทุน ต้องไปทำอย่างอื่น ลงทุน 20-30 ล้าน ทำอย่างอื่นอาจจะอยู่ได้เป็น 10 ปี แต่อันนี้สามารถหายไปได้ในคืนเดียวด้วยซ้ำครับ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่