บทที่ 4 การประลองรอบแรก
http://pantip.com/topic/31354997
บทที่ 5 การแข่งขันอันแสนหฤโหด
โซลแดทไม่ได้พูดเกินจริงไปสักนิด เรื่องกับดัก เพราะแค่เดินไปไม่กี่ก้าว พวกจอมเวทย์ก็พบกับกับดักอันตรายไม่ต่ำกว่าสี่หรือห้าประเภท ไม่ว่าจะเป็นหอกที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้ ท่อนซุงขนาดมหึมาที่เหวี่ยงลงมาจากยอดไม้ หรือหลุมขนาดใหญ่สามารถใส่คนลงไป 3-4 คน โชคดีที่ผู้เจอสามารถร่ายเวทย์แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน แต่พวกอ่อนหัดมักไม่รอด เพราะแค่เจอกับดักง่ายๆอย่างเช่นเชือกรัดข้อเท้าแล้วลากขึ้นไปห้อยบนต้นไม้หรือเข้าไปอยู่ในตาข่ายผืนใหญ่ ก็ไม่มีปัญญาแก้ไขสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอด ใครโดนกับดักจะถูกปรับแพ้ ความกลัวว่าจะต้องโดนขับออกจากการแข่งขัน เหล่านักเวทย์จึงก้าวเดินอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม
ครั้งแรกที่รู้ว่ามีกับดัก ราเชนพยายามออกนำเบอร์ทิน่าเพื่อไม่ให้นางได้รับอันตราย แต่เด็กสาวกลับไม่ยอมรับความหวังดีดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่า นางมาในฐานะจอมเวทย์ด้วยเหมือนกัน ความมุ่งมั่นของเจ้าหญิง ทำให้ราเชนจำต้องยอมตามใจแต่ก็คอยลอบมองด้วยความเป็นห่วง มีสองครั้งที่เด็กสาวเจอกับดัก เขาถลันจะเข้าไปช่วยแต่มันกลับถูกทำลายด้วยฝีมือของอาเซอร์บัส แม้จะโล่งใจที่เบอร์ทิน่าปลอดภัย แต่ในใจส่วนลึกแล้วราเชนกลับรู้สึกหงุดหงิดกับการช่วยเหลือของจอมเวทย์หนุ่ม ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปจึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยากแสดงให้เจ้าหญิงได้เห็นว่า เขาเองก็เข้มแข้งและมีพลังสามารถปกป้องนางได้
ก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เหล่าจอมเวทย์ที่รอดจากกับดักก็เข้าไปอยู่ในค่ายได้ครบทุกคน หลังจากได้รับคำแนะนำเรื่องห้องพัก กับโรงอาหารแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในวันต่อไป มีเพียงเบอร์ทิน่าเท่านั้น ที่ถูกอาเซอร์บัสบังคับให้ไปนอนในวัง และนำนางกลับมายังค่ายในเช้าวันต่อมา
รุ่งขึ้นทุกคนทุกปลุกด้วยเสียงระฆัง ซึ่งดังกว่าสัญญาณเวทีประลองในเมืองหลายเท่า ราเชนถึงกับบ่นงึมงำอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมลุกจากที่นอนแต่โดยดี เมื่ออาบน้ำล้างหน้าตาเพื่อเรียกความสดชื่นแล้วเขาจึงไปสมทบกับเบอร์ทิน่าที่ห้องอาหาร
“วันนี้มีอะไรกินบ้าง” ประโยคหลุดจากปากแทนคำทักทาย เด็กสาวค้อนขวับก่อนชี้มือไปยังหม้อที่วางเรียงเป็นแถวบนโต๊ะกลางห้อง
“ขนมปังกับซุป”
“อะไร แค่นี้เองเหรอ” พูดพลางใช้ช้อนคนสิ่งที่เบอร์ทิน่าเรียกว่าซุปแล้วเบ้หน้า “นี่มันน้ำต้มผักชัดๆ”
“นี่มันค่ายทหาร มีให้กินแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว” เสียงโซลแดทซึ่งมายืนอยู่ทางด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แทรกเสียงดัง ราเชนส่งสะดุ้งและหันไปส่งยิ้มแห้ง
“ข้ากำลังจะบอกว่ามันเป็นน้ำต้มผักที่น่ากินมาก” พูดพลางแสร้งเดินไปหยิบขนมปังใส่จานและฉวยชามติดมือมาสองใบ เขายื่นใบหนึ่งให้เบอร์ทิน่า “ของเจ้า”
“ขอบใจ” เด็กสาวตอบ โซลแดทยืนมองเด็กทั้งสองตักซุปใส่ชามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าชื่ออะไร”
“ลิงคซ” เบอร์ทิน่าตอบ แทนที่จะหายข้องใจ คิ้วของหัวหน้าองครักษ์ขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้น
“ข้ารู้สึกคุ้นเจ้ามาก เราเคยพบกันหรือเปล่า”
“ไม่” ราเชนเป็นคนตอบและรีบแก้เมื่อเห็นดวงตาดุจากโซลแดท “นางเพิ่งมาจากต่างเมือง จะรู้จักกับท่านได้ยังไง”
“มันก็จริง” หัวหน้าองครักษ์พูดพลางผงกศีรษะช้าๆแต่แล้วกลับส่ายหน้า “ยังไงข้าก็ยังคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเจ้ามาก่อนอยู่ดี”
เบอร์ทิน่ากับราเชนหันไปมองหน้ากันด้วยความกลัวว่าจะถูกโซลแดทจับได้ ขณะหาทางเลี่ยงอยู่นั้น อาเซอร์บัสก็เข้ามาแก้สถานการณ์
“การแข่งจะเริ่มในครึ่งชั่วโมงนี้แล้ว มัวทำอะไรอยู่”
หางตาชำเลืองไปทางหัวหน้าราชองครักษ์เหมือนตำหนิว่า เป็นต้นเหตุให้ผู้เข้าแข่งขันล่าช้า โซลแดทจึงหันไปก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวเป็นเชิงออกตัว
“ข้ามาดูแลความเรียบร้อย”
พูดจบเขาก็เดินออกจากห้อง จอมเวทย์หนุ่มจึงหันมาทางราเชน
“การแข่งวันนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อวาน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสู้พวกเขาได้”
“ทำไมถึงคิดว่าข้าสู้ไม่ได้”
“เพราะทุกคนไม่ใช่จอมเวทย์ธรรมดา” พูดพลางกวาดตามองรอบตัวอย่างเร็วและลดเสียงลงเล็กน้อย “บางคนเป็นนักล่า บางคนเป็นพวกนักล่าเงินรางวัล เขาไม่ออมมือให้พวกอ่อนหัดอย่างเจ้าแน่”
“ข้าก็ไม่ออมมือเช่นกัน” ราเชนพูด “ไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจว่ารับมือกับพวกเขาได้”
“ข้าไม่ได้ห่วงข้อนั้น” ดวงตาของอาเซอร์บัสชำเลืองไปทางเบอร์ทิน่าและลอบถอนใจออกมาเล็กน้อย “ยังไงก็ระวังตัวเอาไว้ด้วย”
ราเชนจ้องอาเซอร์บัสเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจอมเวทย์แห่งไมธีร่าผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเฉยชาจะรู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น เด็กหนุ่มตั้งใจจะบอกให้เขาระวังตัวเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกันแต่ยังไม่ทันได้พูด อีกฝ่ายก็เดินจากไปเสียก่อน ราเชนจึงหันไปทางเบอร์ทิน่าแต่นางกลับชิงพูด
“ข้าดูแลตัวเองได้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าและไม่พูดอะไร ทั้งสองรีบรับประทานอาหารเช้าและไปยืนรวมกับจอมเวทย์อื่นที่ลานกว้างกลางค่าย ที่นั่นคณะกรรมการการประลองกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด จนเสียงระฆังดังขึ้น กรรมการคนหนึ่งจึงเดินไปยืนกลางลานและประกาศเสียงดัง
“อรุณสวัสดิ์ หวังว่าทุกท่านคงพักผ่อนกันมาอย่างเพียงพอ เพราะวันนี้เราจะการประลองพร้อมกันถึงสองรอบ โดยรอบแรกจะเป็นการแข่งขันด้านความเร็ว ส่วนรอบที่สองเป็นการประลองพลัง”
เขาหยุดเว้นระยะและกวาดตามองไปรอบตัว เมื่อไม่มีใครสงสัยหรือซักถามอะไร จึงพูดต่อ
“รอบแรกเป็นการแข่งแบบง่ายๆ เพื่อคัดผู้รอบให้ได้ครั้งละหกคน วิธีก็คือให้จอมเวทย์เลือกใครก็ได้มาเป็นคู่ สถานที่แข่งขันคือสนามแห่งนี้เส้นสีขาวที่เห็นอยู่ด้านนั้นคือจุดเริ่มต้น” พูดพลางชี้ไปยังสุดขอบสนาม “ส่วนเขตสีเหลืองด้านตรงข้ามคือเส้นชัย ให้เข้าแข่งกันครั้งละห้าคู่ สามคู่แรกที่เข้าเส้นชัยถือว่าผ่านการคัดเลือก”
“อย่ามัวแต่อธิบาย รีบบอกมาเร็วว่าจะให้พวกเราทำอะไร” ใครคนหนึ่งตะโกนขัดขึ้นมา กรรมการบนสนามหันไปมองหน้าเพื่อนและกลืนน้ำลายลงคอเหมือนสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“การแข่งรอบแรกคือ” เขาหยุดเว้นระยะและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด “วิ่งสามขา”
ทั้งหมดเงียบกริบ กระทั่งชายร่างยักษ์ตะโกนขึ้นมา
“จะบ้าหรือไง พวกข้าเป็นจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำไมต้องมาแข่งกีฬาปัญญาอ่อนแบบนี้ด้วย”
เสียงฮือดังสนับสนุน กรรมการถอยหลังกรูดและส่งยิ้มแห้ง
“คือว่า...”
“มันเป็นกฏกติกา ใครไม่พอใจก็ออกไป”
เสียงโซลแดทโพล่งขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวเดินอาดๆไปยืนกลางสนาม สายตาคมกริบดุดัน
กวาดมองไปโดยรอบ ส่วนมือเลื่อนไปแตะดาบข้างเอวเหมือนพร้อมจะชักออกมาทุกเวลา
“ว่าไง จะแข่งกันหรือเปล่า”
ทุกคนมองหน้ากัน จอมเวทย์หญิงในชุดสีน้ำเงินคล้ายนักบวชก้าวไปยืนข้างหน้า มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ส่วนมืออีกข้างปัดผมที่ลงมาปรกหน้า นางมองโซลแดทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวหันกลับไปทางกลุ่มจอมเวทย์แล้วเอ่ยถาม
“ใครอยากวิ่งคู่กับข้า”
จอมเวทย์หนุ่มยกมือกันสลอน แต่นางกลับมองไปที่เบอร์ทิน่า
“เจ้ามีคู่แล้วหรือยัง”
เด็กสาวสั่นศีรษะ จอมเวทย์หญิงจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับกล่าวแนะนำตัว
“ข้าชื่อมุนดา”
“ลิงคซ” เบอร์ทิน่าตอบ มุนดาหันไปรับเชือกที่กรรมการนำมาแจกพลางถาม
“เจ้าวิ่งเร็วแค่ไหนลิงคซ”
“เร็วพอจะจับนกได้” เบอร์ทิน่าตอบ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนชี้ให้เด็กสาวนั่ง ระหว่างผูกขาของทั้งสองเข้าด้วยกัน มุนดาพูดโดยไม่เงยหน้า
“หวังว่าเจ้าจะไม่พาข้าล้มนะ”
เบอร์ทิน่ายิ้มกว้าง “เจ้าเองก็เช่นกัน”
ราเชนมองเบอร์ทิน่าด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นจอมเวทย์หญิงที่เด็กสาวจับคู่ด้วยพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะซ้ำมีมารยาทด้วยแล้ว เขาก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกและเริ่มมองหาคู่ของตัวเองบ้าง ตอนกำลังหันซ้ายหันขวาอยู่นั้นเด็กหนุ่มต้องสะดุ้งเมื่อมือใครบางคนตะปบลงบนไหล่ ยังไม่ทันได้หันไปดู อีกฝ่ายก็ก้มลงมากระซิบ
“เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนคิดการแข่งรอบนี้”
ราเชนแอบกลืนน้ำลายเพราะคนถามคืออาเซอร์บัส
“ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“เพราะโหราจารย์คงไม่คิดพิเรนทร์แบบนี้แน่” มือกระชับแน่นขึ้น “ตั้งใจจะทำอะไร หาเรื่องแกล้งข้าหรือต้องการเข้ารอบ”
“ทำไมข้าต้องแกล้งเจ้าด้วย” เด็กหนุ่มทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง จอมเวทย์หนุ่มทำเสียงคำรามในลำคอและยืดตัวขึ้น แต่มือยังคงยึดอีกฝ่ายเอาไว้
“เจ้าต้องคู่กับข้า”
การแข่งขันเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะจอมเวทย์ส่วนใหญ่มักวิ่งผิดจังหวะ บางคนล้มกลิ้งตั้งแต่ก้าวแรก บางคู่ไปได้ครึ่งทางก็สะดุดหกล้มเพราะคู่ที่วิ่งด้วยกันขยับขาผิดข้าง แต่ถึงอย่างนั้นการแข่งขันก็ยังดำเนินไปตามปรกติ ช่วงระหว่างรอกรรมการเรียก มุนดาและเบอร์ทิน่าฝึกซ้อมการเดินจนเข้าใจจังหวะของกันและกัน กระทั่งกรรมการเรียกทั้งสองไปเข้าประจำที่ ตอนยืนรอฟังสัญญาณอยู่ตรงจุดเริ่มต้น มุนดาขยับขาข้างที่ผูกไว้กับขาของเด็กสาว
“จำไว้ว่าเจ้าต้องก้าวขาขวาก่อน” นางย้ำ “นับจังหวะหนึ่ง สอง ตามที่นัดกัน และถ้าตอนกำลังวิ่งมีอะไรเกิดขึ้น ห้ามตกใจ ห้ามหยุดอย่างเด็ดขาด เข้าใจไหม”
ถึงไม่เข้าใจแต่เบอร์ทินาก็พยักหน้ารับ ช่วงระหว่างรอจอมเวทย์คู่อื่นเข้ามาสนามอยู่นั้น เสียงกรี๊ดของพวกจอมเวทย์สาวๆรวมถึงชาวบ้านที่เข้ามาดูก็ดังระงม หลายคนชะเง้อมองมาทางจุดเริ่มต้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทีแรกนางคิดว่าคงมีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้น พอหันไปมองเด็กสาวจึงรู้ว่าที่มาของอาการแปลกๆของสาวๆเหล่านั้น มาจากใคร
อาเซอร์บัสเดินลากราเชนเข้ามายืนตรงจุดเริ่มต้น มือข้างหนึ่งถือเชือกสำหรับมัดขาคู่วิ่งของตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกมือขยำไหล่ราเชนไม่ยอมปล่อย ที่แปลกไปจากทุกครั้งคือคราวนี้เขาปลดผ้าคลุมรุ่มร่ามที่สวมประจำออก ทุกคนจึงได้เห็นใบหน้าของจอมเวทย์หนุ่มชัดเต็มตา และเข้าใจว่าทำไมสาวๆถึงมีอาการแบบนั้น
ผมสีดำสนิทของอาเซอร์บัสเหยียดตรงยาวสยายจนถึงแผ่นหลัง ชุดที่สวมใส่ก็เป็นสีดำปักลวดลายสีเดียวกัน ที่น่าตื่นตะลึงกลับไม่ใช่เสื้อผ้า แต่เป็นใบหน้าที่หล่อเหลางดงาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบ คางกลมมน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูป ผิวกายแม้จะดูซีดกว่าคนทั่วไปแต่ดูสะอาดสะอ้านกว่าผู้ชายทุกคน
ถึงจะคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน แต่การเห็นใบหน้าเต็มตาเป็นครั้งแรกทำให้เด็กสาวอดใจเต้นไม่ได้ นางรีบหันหน้ากลับและรวมสมาธิให้มุ่งอยู่กับการแข่งขัน แต่ดูเหมือนจะทำได้ยาก กระทั่งมุนดาพูดขึ้น
“เขาดูน่ากลัวนะ”
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 5 การแข่งอันแสนหฤโหด
http://pantip.com/topic/31354997
บทที่ 5 การแข่งขันอันแสนหฤโหด
โซลแดทไม่ได้พูดเกินจริงไปสักนิด เรื่องกับดัก เพราะแค่เดินไปไม่กี่ก้าว พวกจอมเวทย์ก็พบกับกับดักอันตรายไม่ต่ำกว่าสี่หรือห้าประเภท ไม่ว่าจะเป็นหอกที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้ ท่อนซุงขนาดมหึมาที่เหวี่ยงลงมาจากยอดไม้ หรือหลุมขนาดใหญ่สามารถใส่คนลงไป 3-4 คน โชคดีที่ผู้เจอสามารถร่ายเวทย์แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน แต่พวกอ่อนหัดมักไม่รอด เพราะแค่เจอกับดักง่ายๆอย่างเช่นเชือกรัดข้อเท้าแล้วลากขึ้นไปห้อยบนต้นไม้หรือเข้าไปอยู่ในตาข่ายผืนใหญ่ ก็ไม่มีปัญญาแก้ไขสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอด ใครโดนกับดักจะถูกปรับแพ้ ความกลัวว่าจะต้องโดนขับออกจากการแข่งขัน เหล่านักเวทย์จึงก้าวเดินอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม
ครั้งแรกที่รู้ว่ามีกับดัก ราเชนพยายามออกนำเบอร์ทิน่าเพื่อไม่ให้นางได้รับอันตราย แต่เด็กสาวกลับไม่ยอมรับความหวังดีดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่า นางมาในฐานะจอมเวทย์ด้วยเหมือนกัน ความมุ่งมั่นของเจ้าหญิง ทำให้ราเชนจำต้องยอมตามใจแต่ก็คอยลอบมองด้วยความเป็นห่วง มีสองครั้งที่เด็กสาวเจอกับดัก เขาถลันจะเข้าไปช่วยแต่มันกลับถูกทำลายด้วยฝีมือของอาเซอร์บัส แม้จะโล่งใจที่เบอร์ทิน่าปลอดภัย แต่ในใจส่วนลึกแล้วราเชนกลับรู้สึกหงุดหงิดกับการช่วยเหลือของจอมเวทย์หนุ่ม ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปจึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยากแสดงให้เจ้าหญิงได้เห็นว่า เขาเองก็เข้มแข้งและมีพลังสามารถปกป้องนางได้
ก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เหล่าจอมเวทย์ที่รอดจากกับดักก็เข้าไปอยู่ในค่ายได้ครบทุกคน หลังจากได้รับคำแนะนำเรื่องห้องพัก กับโรงอาหารแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในวันต่อไป มีเพียงเบอร์ทิน่าเท่านั้น ที่ถูกอาเซอร์บัสบังคับให้ไปนอนในวัง และนำนางกลับมายังค่ายในเช้าวันต่อมา
รุ่งขึ้นทุกคนทุกปลุกด้วยเสียงระฆัง ซึ่งดังกว่าสัญญาณเวทีประลองในเมืองหลายเท่า ราเชนถึงกับบ่นงึมงำอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมลุกจากที่นอนแต่โดยดี เมื่ออาบน้ำล้างหน้าตาเพื่อเรียกความสดชื่นแล้วเขาจึงไปสมทบกับเบอร์ทิน่าที่ห้องอาหาร
“วันนี้มีอะไรกินบ้าง” ประโยคหลุดจากปากแทนคำทักทาย เด็กสาวค้อนขวับก่อนชี้มือไปยังหม้อที่วางเรียงเป็นแถวบนโต๊ะกลางห้อง
“ขนมปังกับซุป”
“อะไร แค่นี้เองเหรอ” พูดพลางใช้ช้อนคนสิ่งที่เบอร์ทิน่าเรียกว่าซุปแล้วเบ้หน้า “นี่มันน้ำต้มผักชัดๆ”
“นี่มันค่ายทหาร มีให้กินแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว” เสียงโซลแดทซึ่งมายืนอยู่ทางด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แทรกเสียงดัง ราเชนส่งสะดุ้งและหันไปส่งยิ้มแห้ง
“ข้ากำลังจะบอกว่ามันเป็นน้ำต้มผักที่น่ากินมาก” พูดพลางแสร้งเดินไปหยิบขนมปังใส่จานและฉวยชามติดมือมาสองใบ เขายื่นใบหนึ่งให้เบอร์ทิน่า “ของเจ้า”
“ขอบใจ” เด็กสาวตอบ โซลแดทยืนมองเด็กทั้งสองตักซุปใส่ชามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าชื่ออะไร”
“ลิงคซ” เบอร์ทิน่าตอบ แทนที่จะหายข้องใจ คิ้วของหัวหน้าองครักษ์ขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้น
“ข้ารู้สึกคุ้นเจ้ามาก เราเคยพบกันหรือเปล่า”
“ไม่” ราเชนเป็นคนตอบและรีบแก้เมื่อเห็นดวงตาดุจากโซลแดท “นางเพิ่งมาจากต่างเมือง จะรู้จักกับท่านได้ยังไง”
“มันก็จริง” หัวหน้าองครักษ์พูดพลางผงกศีรษะช้าๆแต่แล้วกลับส่ายหน้า “ยังไงข้าก็ยังคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเจ้ามาก่อนอยู่ดี”
เบอร์ทิน่ากับราเชนหันไปมองหน้ากันด้วยความกลัวว่าจะถูกโซลแดทจับได้ ขณะหาทางเลี่ยงอยู่นั้น อาเซอร์บัสก็เข้ามาแก้สถานการณ์
“การแข่งจะเริ่มในครึ่งชั่วโมงนี้แล้ว มัวทำอะไรอยู่”
หางตาชำเลืองไปทางหัวหน้าราชองครักษ์เหมือนตำหนิว่า เป็นต้นเหตุให้ผู้เข้าแข่งขันล่าช้า โซลแดทจึงหันไปก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวเป็นเชิงออกตัว
“ข้ามาดูแลความเรียบร้อย”
พูดจบเขาก็เดินออกจากห้อง จอมเวทย์หนุ่มจึงหันมาทางราเชน
“การแข่งวันนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อวาน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสู้พวกเขาได้”
“ทำไมถึงคิดว่าข้าสู้ไม่ได้”
“เพราะทุกคนไม่ใช่จอมเวทย์ธรรมดา” พูดพลางกวาดตามองรอบตัวอย่างเร็วและลดเสียงลงเล็กน้อย “บางคนเป็นนักล่า บางคนเป็นพวกนักล่าเงินรางวัล เขาไม่ออมมือให้พวกอ่อนหัดอย่างเจ้าแน่”
“ข้าก็ไม่ออมมือเช่นกัน” ราเชนพูด “ไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจว่ารับมือกับพวกเขาได้”
“ข้าไม่ได้ห่วงข้อนั้น” ดวงตาของอาเซอร์บัสชำเลืองไปทางเบอร์ทิน่าและลอบถอนใจออกมาเล็กน้อย “ยังไงก็ระวังตัวเอาไว้ด้วย”
ราเชนจ้องอาเซอร์บัสเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจอมเวทย์แห่งไมธีร่าผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเฉยชาจะรู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น เด็กหนุ่มตั้งใจจะบอกให้เขาระวังตัวเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกันแต่ยังไม่ทันได้พูด อีกฝ่ายก็เดินจากไปเสียก่อน ราเชนจึงหันไปทางเบอร์ทิน่าแต่นางกลับชิงพูด
“ข้าดูแลตัวเองได้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าและไม่พูดอะไร ทั้งสองรีบรับประทานอาหารเช้าและไปยืนรวมกับจอมเวทย์อื่นที่ลานกว้างกลางค่าย ที่นั่นคณะกรรมการการประลองกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด จนเสียงระฆังดังขึ้น กรรมการคนหนึ่งจึงเดินไปยืนกลางลานและประกาศเสียงดัง
“อรุณสวัสดิ์ หวังว่าทุกท่านคงพักผ่อนกันมาอย่างเพียงพอ เพราะวันนี้เราจะการประลองพร้อมกันถึงสองรอบ โดยรอบแรกจะเป็นการแข่งขันด้านความเร็ว ส่วนรอบที่สองเป็นการประลองพลัง”
เขาหยุดเว้นระยะและกวาดตามองไปรอบตัว เมื่อไม่มีใครสงสัยหรือซักถามอะไร จึงพูดต่อ
“รอบแรกเป็นการแข่งแบบง่ายๆ เพื่อคัดผู้รอบให้ได้ครั้งละหกคน วิธีก็คือให้จอมเวทย์เลือกใครก็ได้มาเป็นคู่ สถานที่แข่งขันคือสนามแห่งนี้เส้นสีขาวที่เห็นอยู่ด้านนั้นคือจุดเริ่มต้น” พูดพลางชี้ไปยังสุดขอบสนาม “ส่วนเขตสีเหลืองด้านตรงข้ามคือเส้นชัย ให้เข้าแข่งกันครั้งละห้าคู่ สามคู่แรกที่เข้าเส้นชัยถือว่าผ่านการคัดเลือก”
“อย่ามัวแต่อธิบาย รีบบอกมาเร็วว่าจะให้พวกเราทำอะไร” ใครคนหนึ่งตะโกนขัดขึ้นมา กรรมการบนสนามหันไปมองหน้าเพื่อนและกลืนน้ำลายลงคอเหมือนสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“การแข่งรอบแรกคือ” เขาหยุดเว้นระยะและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด “วิ่งสามขา”
ทั้งหมดเงียบกริบ กระทั่งชายร่างยักษ์ตะโกนขึ้นมา
“จะบ้าหรือไง พวกข้าเป็นจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำไมต้องมาแข่งกีฬาปัญญาอ่อนแบบนี้ด้วย”
เสียงฮือดังสนับสนุน กรรมการถอยหลังกรูดและส่งยิ้มแห้ง
“คือว่า...”
“มันเป็นกฏกติกา ใครไม่พอใจก็ออกไป”
เสียงโซลแดทโพล่งขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวเดินอาดๆไปยืนกลางสนาม สายตาคมกริบดุดัน
กวาดมองไปโดยรอบ ส่วนมือเลื่อนไปแตะดาบข้างเอวเหมือนพร้อมจะชักออกมาทุกเวลา
“ว่าไง จะแข่งกันหรือเปล่า”
ทุกคนมองหน้ากัน จอมเวทย์หญิงในชุดสีน้ำเงินคล้ายนักบวชก้าวไปยืนข้างหน้า มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ส่วนมืออีกข้างปัดผมที่ลงมาปรกหน้า นางมองโซลแดทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวหันกลับไปทางกลุ่มจอมเวทย์แล้วเอ่ยถาม
“ใครอยากวิ่งคู่กับข้า”
จอมเวทย์หนุ่มยกมือกันสลอน แต่นางกลับมองไปที่เบอร์ทิน่า
“เจ้ามีคู่แล้วหรือยัง”
เด็กสาวสั่นศีรษะ จอมเวทย์หญิงจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับกล่าวแนะนำตัว
“ข้าชื่อมุนดา”
“ลิงคซ” เบอร์ทิน่าตอบ มุนดาหันไปรับเชือกที่กรรมการนำมาแจกพลางถาม
“เจ้าวิ่งเร็วแค่ไหนลิงคซ”
“เร็วพอจะจับนกได้” เบอร์ทิน่าตอบ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนชี้ให้เด็กสาวนั่ง ระหว่างผูกขาของทั้งสองเข้าด้วยกัน มุนดาพูดโดยไม่เงยหน้า
“หวังว่าเจ้าจะไม่พาข้าล้มนะ”
เบอร์ทิน่ายิ้มกว้าง “เจ้าเองก็เช่นกัน”
ราเชนมองเบอร์ทิน่าด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นจอมเวทย์หญิงที่เด็กสาวจับคู่ด้วยพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะซ้ำมีมารยาทด้วยแล้ว เขาก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกและเริ่มมองหาคู่ของตัวเองบ้าง ตอนกำลังหันซ้ายหันขวาอยู่นั้นเด็กหนุ่มต้องสะดุ้งเมื่อมือใครบางคนตะปบลงบนไหล่ ยังไม่ทันได้หันไปดู อีกฝ่ายก็ก้มลงมากระซิบ
“เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนคิดการแข่งรอบนี้”
ราเชนแอบกลืนน้ำลายเพราะคนถามคืออาเซอร์บัส
“ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“เพราะโหราจารย์คงไม่คิดพิเรนทร์แบบนี้แน่” มือกระชับแน่นขึ้น “ตั้งใจจะทำอะไร หาเรื่องแกล้งข้าหรือต้องการเข้ารอบ”
“ทำไมข้าต้องแกล้งเจ้าด้วย” เด็กหนุ่มทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง จอมเวทย์หนุ่มทำเสียงคำรามในลำคอและยืดตัวขึ้น แต่มือยังคงยึดอีกฝ่ายเอาไว้
“เจ้าต้องคู่กับข้า”
การแข่งขันเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะจอมเวทย์ส่วนใหญ่มักวิ่งผิดจังหวะ บางคนล้มกลิ้งตั้งแต่ก้าวแรก บางคู่ไปได้ครึ่งทางก็สะดุดหกล้มเพราะคู่ที่วิ่งด้วยกันขยับขาผิดข้าง แต่ถึงอย่างนั้นการแข่งขันก็ยังดำเนินไปตามปรกติ ช่วงระหว่างรอกรรมการเรียก มุนดาและเบอร์ทิน่าฝึกซ้อมการเดินจนเข้าใจจังหวะของกันและกัน กระทั่งกรรมการเรียกทั้งสองไปเข้าประจำที่ ตอนยืนรอฟังสัญญาณอยู่ตรงจุดเริ่มต้น มุนดาขยับขาข้างที่ผูกไว้กับขาของเด็กสาว
“จำไว้ว่าเจ้าต้องก้าวขาขวาก่อน” นางย้ำ “นับจังหวะหนึ่ง สอง ตามที่นัดกัน และถ้าตอนกำลังวิ่งมีอะไรเกิดขึ้น ห้ามตกใจ ห้ามหยุดอย่างเด็ดขาด เข้าใจไหม”
ถึงไม่เข้าใจแต่เบอร์ทินาก็พยักหน้ารับ ช่วงระหว่างรอจอมเวทย์คู่อื่นเข้ามาสนามอยู่นั้น เสียงกรี๊ดของพวกจอมเวทย์สาวๆรวมถึงชาวบ้านที่เข้ามาดูก็ดังระงม หลายคนชะเง้อมองมาทางจุดเริ่มต้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทีแรกนางคิดว่าคงมีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้น พอหันไปมองเด็กสาวจึงรู้ว่าที่มาของอาการแปลกๆของสาวๆเหล่านั้น มาจากใคร
อาเซอร์บัสเดินลากราเชนเข้ามายืนตรงจุดเริ่มต้น มือข้างหนึ่งถือเชือกสำหรับมัดขาคู่วิ่งของตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกมือขยำไหล่ราเชนไม่ยอมปล่อย ที่แปลกไปจากทุกครั้งคือคราวนี้เขาปลดผ้าคลุมรุ่มร่ามที่สวมประจำออก ทุกคนจึงได้เห็นใบหน้าของจอมเวทย์หนุ่มชัดเต็มตา และเข้าใจว่าทำไมสาวๆถึงมีอาการแบบนั้น
ผมสีดำสนิทของอาเซอร์บัสเหยียดตรงยาวสยายจนถึงแผ่นหลัง ชุดที่สวมใส่ก็เป็นสีดำปักลวดลายสีเดียวกัน ที่น่าตื่นตะลึงกลับไม่ใช่เสื้อผ้า แต่เป็นใบหน้าที่หล่อเหลางดงาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบ คางกลมมน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูป ผิวกายแม้จะดูซีดกว่าคนทั่วไปแต่ดูสะอาดสะอ้านกว่าผู้ชายทุกคน
ถึงจะคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน แต่การเห็นใบหน้าเต็มตาเป็นครั้งแรกทำให้เด็กสาวอดใจเต้นไม่ได้ นางรีบหันหน้ากลับและรวมสมาธิให้มุ่งอยู่กับการแข่งขัน แต่ดูเหมือนจะทำได้ยาก กระทั่งมุนดาพูดขึ้น
“เขาดูน่ากลัวนะ”