ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน

กระทู้สนทนา
บทที่ 1 หมอกวิญญาณ
http://pantip.com/topic/31322833

บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน

    ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างนิ่งงัน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่มหาอำมาตย์กล่าวนั้นคืออะไร ยกเว้นหัวหน้าองครักษ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะพอเห็นทั้งหมดนิ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

    “ผลึกที่ว่านี่คือะไร ทำไมทุกคนถึงได้ทำมันเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว”

    “มันคือความชั่วร้ายต่างหากท่าโซลแดท” โหราจารย์เป็นผู้ตอบ “ผลึกวิญญาณมังกรเป็นผลพวงพลังเวทย์อันน่ากลัวที่สุดของเอ็มโบลเด็น ราชันย์เวทย์ผู้เรืองฤทธิ์ในอดีต เขารวบรวบรวมพลังเวทย์ด้านมืดทั้งหมดกักเก็บเอาไว้ในนั้นเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จเขาก็ถูกสังหารเสียก่อน ผลึกนั้นจึงตกไปอยู่ในมือของดรากูลที่แสนชั่วร้าย โชคดีที่ปฐมกษัตริย์ไมธีร่ากำจัดเขาได้เสียก่อน แต่โชคร้ายที่ก่อนตายดรากูลได้สาปแช่งพระองค์เอาไว้ และมาสัมฤทธิ์ผลในตอนนี้”

    “ฟังเหมือนผลึกที่ว่านี่จะนำความพินาศมาสู่เมืองของเรามากกว่า แล้วทำไมพวกท่านจึงบอกว่ามันคือหนทางเดียวที่ช่วยกษัตริย์วาเก็นได้”

    โซลแดทแย้ง โหราจารย์เตรียมอธิบายแต่คนตอบกลับเป็นมหาอำมาตย์ออร์เด็น

    “เพราะผลึกวิญญาณมังกรมีพลังซึบซับคำสาปทุกชนิด ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เราก็สามารถช่วยทั้งสองพระองค์ได้”

    “จริงหรือ” โซลแดทหันไปทางโหราจารย์ เขาผงกศีรษะรับ หัวหน้าองรักษ์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้ว

    “ถ้าเราเอาเจ้าผลึกที่ว่านี่มาได้ แล้ววิธีใช้มันละ” เขามองทุกคนในห้องและถอนใจอย่างแรงเมื่อทั้งหมดยืนอึ้ง โซลแดทเลิกคิ้วสูง “หมายความว่าพวกท่านไม่รู้”

    “ก็น่าจะมีอยู่คนหนึ่ง” ราเชนพูดพลางเลื่อนสายตาไปยังจอมเวทย์ชุดดำที่ยืนอยู่กลางห้อง “เจ้าใช้เวทย์ด้านมืดไม่ใช่หรืออาเซอร์บัส”

    “ถึงใช่ข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชันย์เวทย์หรือผลึกนั่น” อาเซอร์บัสตอบด้วยใบหน้านิ่ง ราเชนจึงขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับใช้คำถามเหมือนเจตนายั่ว

    “ไม่น่าเชื่อว่าจอมเวทย์ผู้รอบรู้ไปเสียทุกอย่างอย่างเจ้าจะไม่รู้วิธีใช้ผลึกมังกร”

“ข้าบอกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้นต่างหากราเชน” จอมเวทย์หนุ่มพูดเน้นเสียงทีละคำ “อีกอย่างเทนที่จะมามัวนั่งกังวลเรื่องวิธีใช้ พวกเจ้าน่าปรึกษากันว่าควรส่งใครไปเอามันมามากกว่า เพราะหุบเขาสีน้ำเงินไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปเดินเล่นได้ แม้จะเป็นองครักษ์เก่งกาจที่สุดก็ตาม”

ประโยคสุดท้ายเขาเน้นไปที่โซลแดทโดยตรง อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจทันที

“หมายความว่ายังไงท่านจอมเวทย์”    

“ไปก็ตายเปล่า” อาเซอร์บัสตอบสั้นๆ หัวหน้าราชองครักษ์สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยความโมโห

“พูดแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ”    

“ข้ากล่าวตามความจริง เส้นทางสู่หุบเขาสีน้ำเงินไม่ได้มีแค่สัตว์ป่าหรือโจรเท่านั้น มันยังมีภูตผีปิศาจ จอมเวทย์ที่แสนชั่วร้ายกับอำนาจมืดแฝงอยู่ทุกที่”

“งั้นข้าจะนำท่านไปด้วย” โซลแดทกล่าว จอมเวทย์หนุ่มสั่นศีรษะ

“มีเพียงสายเลือดราชวงศ์ของไมธีร่าเท่านั้นที่แตะต้องผลึกวิญญาณมังกรได้”

คำพูดของเขาทำให้หัวหน้าราชองครักษ์หันขวับไปทางโหราจารย์ทันที “จริงหรือ”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“จริง”

“แต่เชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงเจ้าหญิงเบอร์ทิน่ากับมหาอำมาตย์ออร์เด็นเท่านั้น” โซลแดทกล่าวพร้อมกับมองหน้าอนุชาของกษัตริย์ไมธีร่าแน่วนิ่ง อีกฝ่ายระบายลมหายใจยาว

“งั้นข้าจะไปเอง”

ออร์เด็นกล่าวพลางขยับเสื้อคลุมให้กระชับกายแน่นขึ้นอันแสดงถึงความหวาดกลัวกับการตัดสินใจเช่นนั้น แต่โซลแดทกลับส่ายหน้า

“อายุอย่างท่านไม่มีทางไปถึงหุบเขาสีน้ำเงินแน่”

“งั้นก็เหลือแต่เบอร์ทิน่า” โหราจารย์กล่าว “แต่นางเป็นเจ้าหญิง จะให้เดินทางไปในที่อันตรายแบบนั้นเพียงลำพังได้ยังไง”

ทุกคนต่างพากันเงียบอีกครั้ง มหาอำมาตย์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องและถอนใจออกมาหลายครั้งเพราะจนปัญญา ส่วนโซแดทยืนเคาะดาบตัวเองเพื่อใช้ความคิดส่วน ในขณะที่โหราจารยย์นั่งก้มหน้ากอดอกเหมือนกำลังทบทวนเนื้อความบันทึกในปูม ราเชนบุตรชายเดินกลับไปกลับมาพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดชะงักและหันขวับไปทางอาเซอร์บัส

“เจ้าบอกว่าต้องใช้สายเลือดของราชวงศ์ใช่ไหม”

จอมเวทย์หนุ่มพยักหน้ารับ ในขณะที่ทุกคนมองตรงมาที่ราเชนด้วยความสงสัย

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ราเชน” โหราจารย์ถาม เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจกับความคิดของตัวเองที่ผุดขึ้นมาสดๆร้อนๆ

“ถ้าใช้แค่เลือดล่ะ”

“หมายความว่าอะไร” คราวนี้มหาอำมาตย์ถามขึ้นมาบ้าง ราเชนยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมาและจุ๊ปากเบาๆ

“เรื่องแบบนี้จะต้องมาคิดให้กลุ้มทำไม เราก็เอาเลือดของราชวงศ์คนใดคนหนึ่งใส่กระบอกแล้วส่งทหารสักกองออกไป พอถึงหุบเขาสีน้ำเงินก็เอาเลือดนั่นชโลมบนผลึกมังกร แค่นี้ก็หยิบมาได้แล้ว”

“เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยสักนิด” อาเซอร์บัสกล่าว “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะหลุดออกมาจากหัวของลูกชายโหราจารย์ผู้ปราดเปรื่องแห่งไมธีร่า”

คำพูดดูแคลนของจอมเวทย์หนุ่มทำให้ราเชนฉุนกึก เพราะสิ่งที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง แต่ก็ไม่วายเถียงข้างๆคูๆ

“เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าให้ใช้สายเลือดของราชวงศ์”

คราวนี้อาเซอร์บัสเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนต้องการมองคนดันทุรังให้เต็มตา

“อย่าบอกนะว่าเจ้าตีความหมายของมันออกมาแบบนั้น”        

“ข้ารู้ความหมายของมันดี” ราเชนตอบพร้อมกับกระแทกลมหายใจ “ก็แค่อยากหาทางออกอื่นเลยช่วยเสนอความคิดให้”

สิ่งที่หลุดจากปากของบุตรชายทำให้โหราจารย์ต้องกุมขมับและนวดเบาๆเพื่อคลายความเครียดก่อนกล่าวเชิงตำหนิ

“พอเถอะราเชน”    

เด็กหนุ่มฮึดฮัดแต่ก็ยอมหยุดโต้เถียงแต่โดยดีและทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้แต่ต้องดีดตัวลุกพรวดขึ้นเมื่อเบอร์ทิน่าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับประกาศก้อง

“ข้าจะไปที่นั่นเอง”

โซลแดทอ้าปากค้างในขณะที่โหราจารย์นั่งตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าหญิงจะก้าวพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ส่วนอาเซอร์บัสทำแค่หมุนศีรษะไปมองเด็กสาวเท่านั้น มีเพียงมหาอำมาตย์ที่เอ่ยถาม

“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรเบอร์ทิน่า”
นางหันมาทางออร์เด็นพร้อมกับตอบ

“ข้ากำลังพูดถึงการไปเอาของวิเศษมาช่วยท่านพ่อกับท่านแม่”

“เหลวไหลไร้สาระ ไม่มีของอย่างที่เจ้าว่าหรอก” มหาอำมาตย์รีบบ่ายเบี่ยงเพราะรู้นิสัยหลานสาวคนนี้ดีว่าหากตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว จะต้องลงมือจนสำเร็จ แต่ดูเหมือนผลจะไม่เป็นไปตามคาดเพราะเบอร์ทิน่าก้าวมายืนกลางห้องพร้อมกับจ้องหน้าผู้เป็นอาเขม็ง

“ของที่ว่านั่นคือผลึกวิญญาณมังกร ในหุบเขาสีน้ำเงิน และผู้ที่สามารถนำมันมาได้คือบุคคลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ไมธีร่าเท่านั้น” นางกล่าวเสียงดังฟังชัดก่อนกวาดตามองไล่ไปทีละคนและหยุดไว้ที่อาเซอร์บัส “ข้าพูดถูกไหม”  

จอมเวทย์หนุ่มผงกศีรษะ เด็กสาวจึงยิ้มก่อนหันไปทางออร์เด็น

“ตอนนี้สายเลือดราชวงศ์มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้น เมื่อท่านอาไปไม่ไหว ข้าก็ขอเป็นผู้ไปเอง”

“แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าหญิง ซ้ำยังไม่มีเวทย์มนต์อะไร จะเดินทางไปยังดินแดนที่น่ากลัวนั่นได้อย่างไรเบอร์ทิน่า”

มหาอำมาตย์แย้งด้วยความเป็นห่วงแต่เด็กสาวกลับยักไหล่และล้วงเข้าไปในอกเสื้อดึงเหรียญโลหะชิ้นหนึ่งออกมาชูให้ทุกคนดู

“เหรียญตราแห่งแอรีส” โหราจารย์พึมพำ “หรือว่าองค์หญิงสามารถใช้เวทย์แห่งดวงดาวได้”

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ ปากพร่ำมนต์ออกมาบทหนึ่งส่วนมือทั้งสองข้างประสานกันไว้เหนือศีรษะ เหรียญที่กำลังหมุนอยู่กลางอากาศนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าและแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาราทอประกายระยิบระยับวนรอบตัวนาง ทุกคนยกเว้นอาเซอร์บัสต่างมองอย่างตื่นตะลึง ราเชนนั้นทั้งตื่นเต้นและทึ่งกับความสามารถของเจ้าหญิงจนถึงขนาดหลุดปากพูดออกมา

“สุดยอด ไม่เคยรู้เลยนะว่าเจ้าก็ใช้เวทย์มนต์เป็น”

“คนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้าง” เบอร์ทิน่าพูดพลางคลายมือทั้งสองข้างออกเพื่อรับเหรียญที่ตกลงมา นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยขณะชำเลืองตาไปทางจอมเวทย์หนุ่มเหมือนต้องการจะบอกว่า ของง่ายๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหมือนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงของเด็ก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่