บทที่ 3 การปรากฏตัวของจอมเวทย์แมวป่า
http://pantip.com/topic/31341674
บทที่ 4 การประลองรอบแรก
การรับสมัครดำเนินต่อไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลดต่ำลงเรี่ยยอดไม้ เสียงระฆังแจ้งหมดเวลาจึงดังขึ้น จอมเวทย์ที่ลงชื่อไม่ทันต่างบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย หลายคนเดินทางออกจากเมืองทันทีเพราะผิดหวัง บางคนอาละวาดโวยวายอย่างไม่พอใจ หน่วยป้องกันจึงเพิ่มกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์
เสียงเอะอะดังลั่นเข้าไปถึงลานประลอง ราเชนซึ่งกำลังคุยกับเบอร์ทิน่าหันหน้าไปยังประตูทางเข้าหันไปมองด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงดังกันจัง”
“มีบางคนไม่พอใจ” อาเซอร์บัสตอบพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นและรวบนิ้วเข้าหากัน ราเชนมองท่าทางดังกล่าวอย่างฉงนแต่ยังไม่ทันได้ถาม เสียงร้องโหยหวนของใครบางคนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน จอมเวทย์ที่อยู่ในนั้นต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กพร้อมกับถามกันระงมว่า มีอะไร เด็กหนุ่มยืดคอชะเง้อมองไปทางโต๊ะรับสมัครและทันเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังดิ้นกระแด่วอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงไปกองกับพื้น พอหันกลับมาทางจอมเวทย์หนุ่ม ความข้องใจก็กระจ่างเมื่อเห็นเขาลดมือลง กระนั้นก็ยังอดถามไม่ได้
“ทำอะไรน่ะ”
“สั่งสอนพวกหัวดื้อนิดหน่อย” อาเซอร์บัสตอบ ราเชนหันไปมองชายเจ้าปัญหาอีกครั้ง พอเห็นทหารช่วยกันหอบร่างอ่อนปวกเปียกออกไปจากบริเวณนั้นแล้วเขาก็ส่ายหน้า
“ดูเหมือนจะไม่ได้แค่สั่งสอน แต่เอากันถึงตายมากกว่า”
“แค่เกือบเท่านั้น” จอมเวทย์หนุ่มพูดอย่างไม่สนใจนักและเหยียดยิ้มเมื่อเห็นนักเวทย์ที่อออยุ่หน้าประตูเมื่อครู่แยกย้ายหายไปหมด “ดูเหมือนจะจบเรื่องแล้ว”
เขาพูดเบาๆเป็นจังหวะเดียวกับกรรมการประจำงานประลองก้าวขึ้นไปยืนบนเวที ตอนแรกยังไม่มีใครสนใจนักแต่พอเสียงระฆังดังขึ้นทุกคนก็หยุดและหันไปมองคนกลางเวทีเป็นตาเดียว
“ขอต้อนรับจอมเวทย์ทุกท่านเข้าสู่การประลองอันยิ่งใหญ่ การแข่งขันในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าแห่งเวทย์เท่านั้น แต่เราต้องการบุคคลที่มีความสามารถสิบคนร่วมเดินทางกับท่านมหาอำมาตย์ไปยังทะเลแห่งทองคำที่หุบเขาสีน้ำเงิน เนื่องจากผู้เข้าสมัครมีเป็นจำนวนมาก เราจึงจำต้องทำการคัดเลือก ด้วยการแข่งขันห้ารอบ การประลองรอบแรกจะมีขึ้นในตอนเช้า เมื่อแสงตะวันจับขอบฟ้า ขอให้ทุกท่านมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งเพื่อรับหมายเลขประจำตัว ส่วนวิธีการประลอง เราจะแจ้งให้ทราบต่อไป ผู้ใดหิว เรามีโรงอาหารอยู่ด้านข้าง ห้องอาบน้ำและที่พักอยู่ทางด้านหลัง”
เขาเว้นระยะคำพูดและไล่สายตามองนักเวทย์ทุกคน “ตอนนี้ขอเชิญจอมเวทย์ทุกท่านพักผ่อนกันตามสบาย”
เสียงพูดคุยดังขึ้นมาทันทีเมื่อกรรมการพูดจบ เบอร์ทิน่าจึงเตรียมเดินไปยังที่พักแต่อาเซอร์บัสกลับเอ่ยถาม
“เจ้าจะไปไหน”
“ห้องพัก อาบน้ำ หาอะไรใส่ท้อง” เด็กสาวตอบเสียงห้วนและทำท่าจะเดิน จอมเวทย์หนุ่มคว้าแขนนางเอาไว้และรีบปล่อยอย่างเร็ว
“เจ้าต้องกลับเข้าวัง”
“ไม่” เบอร์ทิน่าปฏิเสธทันควัน อาเซอร์บัสนิ่วหน้าก่อนกล่าวด้วยเสียงเข้มกว่าเดิม
“กลับวังเดี๋ยวนี้เบอร์ทิน่า”
คราวนี้เด็กสาวหันไปจ้องหน้าเขาและกระชากเสียงถาม
“ทำไมข้าต้องกลับไปด้วย”
“ภาพลวงตาของข้าที่ทำให้ทุกคนเห็นสาวใช้เป็นเจ้ากำลังจะหมดฤทธิ์ ถ้าท่านออร์เด็นรู้ว่าเจ้าไม่อยู่ในห้อง ได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ อีกอย่างถึงสวมเกราะปิดบังใบหน้า แต่เวลากินอาหาร อาบน้ำ หรือเวลานอนจะทำยังไง เจ้าใส่เกราะอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หรอก”
เบอร์ทิน่าขยับจะเถียงแต่กลับนึกคำพูดอะไรไม่ออก เมื่อจนปัญญา เด็กสาวจึงหันไปทางราเชนเพราะคิดว่าต้องอยู่ข้างเดียวกับนางแน่ แต่ต้องผิดหวังเมื่อเด็กหนุ่มหน้าเคร่งขรึม
“ข้าเห็นด้วยกับอาเซอร์บัส”
“ทำไม” เบอร์ทิน่าถาม เด็กหนุ่มเหลือบมองจอมเวทย์หนุ่มด้วยหางตาก่อนตอบ
“ก็อย่างที่เขาพูด เจ้าสวมเกราะตลอดเวลาไม่ได้หรอก”
“ถ้าข้ากลับเข้าวังแล้วจะออกมานี่อีกได้ยังไง เข้าออกแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เบอร์ทิน่าแย้ง แต่ราเชนกลับยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าเขาต้องช่วยเจ้าแน่”
เบอร์ทิน่าเข้าใจดีว่า ‘เขา’ ของราเชนหมายถึงอาเซอร์บัส นางทำท่าอิดออดก่อนถามเสียงไม่ดังนัก
“แล้วเจ้าละ”
“ข้าจะกลับบ้าน ต้องช่วยท่านพ่อทำอะไรอีกเยอะแยะ” เด็กหนุ่มตอบและส่งยิ้มกว้างพร้อมกับวางมือบนไหล่เบอร์ทิน่า “กลับวัง พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เรามีศึกหนักรออยู่ เจ้ากับข้าจะต้องสู้และชนะด้วยกัน”
เบอร์ทิน่ายิ้มตอบแต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทน เมื่อเห็นเด็กสาวยอมทำตามคำแนะนำแล้ว ราเชนจึงหันไปถามอาเซอร์บัส
“คนเยอะแยะแบบนี้เจ้าจะพาเบอร์ทิน่ากลับเข้าวังได้ยังไง”
อาเซอร์บัสไม่ตอบแต่ดึงเบอร์ทิน่าเข้าไปในอ้อมแขน ราเชนเบิกตากว้างเพราะคิดไม่ถึงว่าจอมเวทย์หนุ่มจะกล้าทำอะไรอุกอาจเช่นนั้น เขาขยับปากเพื่อต่อว่าแต่ต้องอ้าค้างไว้แบบนั้นเมื่อหมอกสีดำผุดออกมาจากอณูอากาศปกคลุมร่างของคนทั้งสองไว้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มมองจุดที่บัดนี้มีเพียงพื้นดินว่างเปล่าและถอนใจ
“ไปด้วยวิธีนี้นี่เอง”
ขณะที่ราเชนกำลังพูดกับตัวเองอยู่นั้น อาเซอร์บัสกับเบอร์ทิน่าเข้าไปอยู่ในวังเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นห้องของตัวเอง เด็กสาวจึงสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขาและตวาดเสียงลั่น
“กล้าดียังไงถึงมากอดข้า”
“ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะพาเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง” จอมเวทย์หนุ่มตอบด้วยใบหน้าเฉยเมยและยิ้มมุมปากเมื่อเห็นนางโกรธจนหน้าแดง “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดอะไรกับเด็กอายุ 16 หรอก”
ประโยคนั้นทำให้ใบหน้าของเด็กสาวเข้มจัดมากยิ่งขึ้นและหันซ้ายหันขวาเหมือนอยากหาดาบสักเล่มหรือกระบองสักท่อนมาทุบคนตรงหน้าแต่สิ่งที่เห็นมีเพียงแจกันดอกไม้ นางจึงคว้ามาขว้างใส่จอมเวทย์หนุ่มทันที แต่เขากลับยกมือขึ้นรับอย่างง่ายดาย
“เสียแรงเปล่าน่าเจ้าหญิง แทนที่จะมาอาละวาดกับข้า สู้นั่งทบทวนเวทย์ที่จะต้องใช้พรุ่งนี้ และนอนพักผ่อนให้เต็มที่จะดีกว่า”
คำพูดของเขาทำให้เบอร์ทิน่าชะงัก ถูกของอาเซอร์บัส เพราะวันรุ่งขึ้นนางจะต้องประลองกับพวกจอมเวทย์ ซึ่งแต่ละคนคงมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ดังนั้นนางควรทบทวนพลังของดวงดาว รวมทั้งใช้เวลาอัญเชิญน้อยที่สุด เพราะการร่ายเวทย์ หากช้ากว่าคู่ต่อสู้แค่เพียงวินาทีเดียว อาจพบหายนะอันน่ากลัว เด็กสาวคิดพลางมองหน้าอาเซอร์บัสและเม้มปากแน่น ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม นางก็ยังโกรธเขาอยู่ดี
“ออกไป” เบอร์ทิน่าพูดสั้นๆ จอมเวทย์หนุ่มมองนางนิ่ง ความห่วงใยวิ่งผ่านเข้ามาในสายตาแวบหนึ่งและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินจากไป เมื่ออยู่ตามลำพังแล้ว เด็กสาวจึงปลดชุดเกราะออก และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลางนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด จริงอยู่ที่นางแอบฝึกเวทย์ดวงดาว แต่ต้องการแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องนำมาใช้ และเป็นการใช้ในการประลองเพื่อออกไปค้นหาของวิเศษยังดินแดนอันห่างไกลคิดพลางระบายลมหายใจยาวและหลับตาลงพร้อมกับรวบรวมสมาธิทำจิตใจให้สงบนิ่ง พอปัดเรื่องวุ่นวายออกจากหัวได้แล้วเด็กสาวจึงลุกจากเตียง วางเหรียญดวงดาวไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มฝึกการอัญเชิญให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่เป็นอุปสรรคตอนแข่งขัน ตอนแรกเบอร์ทิน่าตั้งใจจะทบทวนพลังของดวงดาวทั้งหมด แต่ความอ่อนล้าจากการอดนอนในคืนก่อนกับเรื่องวุ่นวายในวันนี้ทำให้เด็กสาวหลับไปโดยไม่รู้ตัว
อรุณรุ่งของวันใหม่คึกคักมากกว่าสามวันที่ผ่านมา การแข่งขันประลองเวทย์ที่ถูกจัดขึ้นทำให้ชาวไมธีร่าพลอยตื่นเต้นไปด้วย หลายคนรีบปฏิบัติภาระกิจประจำวันเพื่อจะได้ไปชมการประชันของเหล่าจอมเวทย์ พวกค้าขายก็จัดเตรียมของที่ระลึกหรือทำอาหารชุดเพื่อขายในงาน
เบอร์ทิน่าตื่นขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่พ้นขอบฟ้า เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายและรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงแสร้งทำเป็นนั่งเล่นอยู่ครู่ใหญ่เพื่อรอออร์เด็นซึ่งเข้ามาทักทายทุกเช้า พูดคุยกันเสร็จและรอจนมหาอำมาตย์ออกจากห้อง เด็กสาวจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมชุดเกราะ และรอกระทั่งอาเซอร์บัสเข้าไปหา เช่นเดียวกับวันก่อน เขาให้สาวใช้เข้ามาในห้องและใช้เวทย์ลวงตาให้ทุกคนคิดว่านางคือเบอร์ทิน่า จากนั้นจึงเตรียมตัวพาตัวจริงไปยังลานประลอง ก่อนที่เขาจะใช้เวทย์เคลื่อนย้าย เด็กสาวได้ยกมือห้ามพร้อมกับเตือนเขาอย่างจริงจัง
“ห้ามกอดข้า”
“ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะพาเจ้าออกไปได้ยังไง” อาเซอร์บัสถาม เบอร์ทิน่าจึงเมินหนีและตอบโดยไม่มองหน้า
“เจ้าเป็นจอมเวทย์ผู้เก่งกาจ อย่าบอกนะว่าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้”
จอมเวทย์หนุ่มถอนใจอย่างเอือมระอาพลางยื่นไม้เท้าไปข้างหน้าและพูดเสียงห้วน
“จับนี่ไว้”
“เพื่ออะไร” เด็กสาวย้อนถามและมองไม้เท้าสีดำสนิทอย่างไม่ไว้ใจนัก อีกฝ่ายมองนางอย่างเบื่อหน่ายกับความเจ้าปัญหาก่อนตอบ
“ถ้าไม่สัมผัสกับผู้ร่ายเวทย์ เจ้าก็เคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้”
เบอร์ทิน่ามีท่าทางลังเลแต่ก็ยอมจับไม้เท้าแต่โดยดี ทันทีที่แตะ ทั้งห้องก็มืดลง เด็กสาวรู้สึกวูบวาบเหมือนตกลงจากที่สูง พอแสงสว่างกลับมาอีกครั้งนางก็ยืนอยู่บนสนามหญ้า ในลานประลอง
“ลิงคซ” เสียงราเชนร้องทักและวิ่งเข้ามาหา “ทำไมมาช้านักละ” เขาถามพลางเหลือบตามองอาเซอร์บัสแวบหนึ่งและพูดต่อ “ตอนนี้เขากำลังแจกบัตรหมายเลขประจำตัว รีบไปกันเถอะ”
พูดจบก็ลากเด็กสาวตรงไปยังโต๊ะของกรรมการ ซึ่งมีโถใบใหญ่ตั้งอยู่ เหล่าจอมเวทย์ต่างเข้าแถวเพื่อล้วงหมายเลขที่ละคน จนกระทั่งถึงตาของเราเชนกับเบอร์ทิน่า เมื่อคลี่ออกมาดูแล้วเด็กหนุ่มก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าได้หมายเลข 199 แล้วเจ้าละ” เขาหันไปถามเด็กสาวที่ยืนหน้ามุ่ย
“พันห้า”
“โอ้ อันดับเกือบท้ายเลยนะนั่น” ราเชนพูดและลดเสียงลงมากระซิบ “ผู้สมัครทั้งหมด 1,115 คนน่ะ”
“เยอะขนาดนั้นเชียว” เบอร์ทิน่าพูดเหมือนคาดไม่ถึงและเหลือบมองอาเซอร์บัสด้วยหางตา สีหน้าเฉยเมยของเขาทำให้เดาไม่ออกเหมือนกันว่าได้อันดับที่เท่าไหร่ อันที่จริงเด็กสาวก็อยากรู้เหมือนกันแต่ด้วยทิฐิทำให้ไม่กล้าถามออกมาตามตรง ยกเว้นราเชน
“เจ้าได้หมายเลขอะไร”
“อยากรู้ไปทำไม” อีกฝ่ายย้อน เด็กหนุ่มจึงยืดตัวขึ้นพร้อมกับกอดอกในมาดของผู้รู้
“ข้าเป็นลูกชายของโหราจารย์ มีพลังหยั่งรู้ว่าเลขไหนนำโชค เลขไหนพาซวย”
“งั้นเจ้าควรดูตัวเอง” อาเซอร์บัสพูดด้วยสีหน้าเยาะเหมือนจะบอกว่า ‘เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ’ ราเชนยักไหล่
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปถึงรอบสุดท้ายแน่”
จอมเวทย์หนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยหางตาแต่ไม่ได้คำใดโต้ ทั้งหมดยืนรอจนกระทั่งผู้เข้าแข่งขันได้หมายเลขกันครบทุกคนแล้ว กรรมการจึงก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับประกาศ
“การแข่งขันรอบแรก เป็นการประชันความเร็วในการใช้เวทย์ โดยให้ขึ้นประลองครั้งละสิบคู่ ใครถูกทำให้ตกเวทีก่อนถือว่าตกรอบ ส่วนจอมเวทย์แต่ละท่านต้องจับคู่กับใครนั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้วบนกระดาน ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม และรอฟังสัญญาณให้ดี
สิ้นคำประกาศทุกคนต่างไปมุงดูกระดานที่มีชื่อกับหมายเลขของจอมเวทย์ทุกคนและคู่ที่ต้องต่อสู้ด้วย ราเชนมองหาหมายเลขของตัวเองและขมวดคิ้วเมื่อพบว่าตนต้องแข่งกับใคร แต่ยังไม่ทันได้ถาม เสียงอุทานด้วยความหวาดหวั่นก็ดังขึ้น
“ข้าต้องสู้กับอาเซอร์บัส”
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้ง ผมสั้นเกือบเกรียนติดหนังหัว ราเชนแอบอมยิ้มด้วยความขบขัน เพราะดูจากลักษณะแล้ว หมอนั่นเหมือนพวกจอมเวทย์ฝึกหัดมากกว่า แบบนี้ไม่ต้องประลองกันเสียเวลาหรอก แค่อาเซอร์บัสกระดิกนิ้ว เจ้าหนุ่มนี่ก็ปลิวไปไกลแล้ว ดูเหมือนหลายคนจะมีความคิดแบบเดียวกับเขา เพราะบางคนเตือนให้ชายคนนั้นถอนตัวออกจากการแข่งขัน แต่บางคนกลับทำปากดีร้องท้า ส่วนใหญ่แล้วมักทำเฉย ไม่รู้ไม่ชี้
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 4 การประลองรอบแรก
http://pantip.com/topic/31341674
บทที่ 4 การประลองรอบแรก
การรับสมัครดำเนินต่อไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลดต่ำลงเรี่ยยอดไม้ เสียงระฆังแจ้งหมดเวลาจึงดังขึ้น จอมเวทย์ที่ลงชื่อไม่ทันต่างบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย หลายคนเดินทางออกจากเมืองทันทีเพราะผิดหวัง บางคนอาละวาดโวยวายอย่างไม่พอใจ หน่วยป้องกันจึงเพิ่มกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์
เสียงเอะอะดังลั่นเข้าไปถึงลานประลอง ราเชนซึ่งกำลังคุยกับเบอร์ทิน่าหันหน้าไปยังประตูทางเข้าหันไปมองด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงดังกันจัง”
“มีบางคนไม่พอใจ” อาเซอร์บัสตอบพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นและรวบนิ้วเข้าหากัน ราเชนมองท่าทางดังกล่าวอย่างฉงนแต่ยังไม่ทันได้ถาม เสียงร้องโหยหวนของใครบางคนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน จอมเวทย์ที่อยู่ในนั้นต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กพร้อมกับถามกันระงมว่า มีอะไร เด็กหนุ่มยืดคอชะเง้อมองไปทางโต๊ะรับสมัครและทันเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังดิ้นกระแด่วอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงไปกองกับพื้น พอหันกลับมาทางจอมเวทย์หนุ่ม ความข้องใจก็กระจ่างเมื่อเห็นเขาลดมือลง กระนั้นก็ยังอดถามไม่ได้
“ทำอะไรน่ะ”
“สั่งสอนพวกหัวดื้อนิดหน่อย” อาเซอร์บัสตอบ ราเชนหันไปมองชายเจ้าปัญหาอีกครั้ง พอเห็นทหารช่วยกันหอบร่างอ่อนปวกเปียกออกไปจากบริเวณนั้นแล้วเขาก็ส่ายหน้า
“ดูเหมือนจะไม่ได้แค่สั่งสอน แต่เอากันถึงตายมากกว่า”
“แค่เกือบเท่านั้น” จอมเวทย์หนุ่มพูดอย่างไม่สนใจนักและเหยียดยิ้มเมื่อเห็นนักเวทย์ที่อออยุ่หน้าประตูเมื่อครู่แยกย้ายหายไปหมด “ดูเหมือนจะจบเรื่องแล้ว”
เขาพูดเบาๆเป็นจังหวะเดียวกับกรรมการประจำงานประลองก้าวขึ้นไปยืนบนเวที ตอนแรกยังไม่มีใครสนใจนักแต่พอเสียงระฆังดังขึ้นทุกคนก็หยุดและหันไปมองคนกลางเวทีเป็นตาเดียว
“ขอต้อนรับจอมเวทย์ทุกท่านเข้าสู่การประลองอันยิ่งใหญ่ การแข่งขันในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าแห่งเวทย์เท่านั้น แต่เราต้องการบุคคลที่มีความสามารถสิบคนร่วมเดินทางกับท่านมหาอำมาตย์ไปยังทะเลแห่งทองคำที่หุบเขาสีน้ำเงิน เนื่องจากผู้เข้าสมัครมีเป็นจำนวนมาก เราจึงจำต้องทำการคัดเลือก ด้วยการแข่งขันห้ารอบ การประลองรอบแรกจะมีขึ้นในตอนเช้า เมื่อแสงตะวันจับขอบฟ้า ขอให้ทุกท่านมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งเพื่อรับหมายเลขประจำตัว ส่วนวิธีการประลอง เราจะแจ้งให้ทราบต่อไป ผู้ใดหิว เรามีโรงอาหารอยู่ด้านข้าง ห้องอาบน้ำและที่พักอยู่ทางด้านหลัง”
เขาเว้นระยะคำพูดและไล่สายตามองนักเวทย์ทุกคน “ตอนนี้ขอเชิญจอมเวทย์ทุกท่านพักผ่อนกันตามสบาย”
เสียงพูดคุยดังขึ้นมาทันทีเมื่อกรรมการพูดจบ เบอร์ทิน่าจึงเตรียมเดินไปยังที่พักแต่อาเซอร์บัสกลับเอ่ยถาม
“เจ้าจะไปไหน”
“ห้องพัก อาบน้ำ หาอะไรใส่ท้อง” เด็กสาวตอบเสียงห้วนและทำท่าจะเดิน จอมเวทย์หนุ่มคว้าแขนนางเอาไว้และรีบปล่อยอย่างเร็ว
“เจ้าต้องกลับเข้าวัง”
“ไม่” เบอร์ทิน่าปฏิเสธทันควัน อาเซอร์บัสนิ่วหน้าก่อนกล่าวด้วยเสียงเข้มกว่าเดิม
“กลับวังเดี๋ยวนี้เบอร์ทิน่า”
คราวนี้เด็กสาวหันไปจ้องหน้าเขาและกระชากเสียงถาม
“ทำไมข้าต้องกลับไปด้วย”
“ภาพลวงตาของข้าที่ทำให้ทุกคนเห็นสาวใช้เป็นเจ้ากำลังจะหมดฤทธิ์ ถ้าท่านออร์เด็นรู้ว่าเจ้าไม่อยู่ในห้อง ได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ อีกอย่างถึงสวมเกราะปิดบังใบหน้า แต่เวลากินอาหาร อาบน้ำ หรือเวลานอนจะทำยังไง เจ้าใส่เกราะอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หรอก”
เบอร์ทิน่าขยับจะเถียงแต่กลับนึกคำพูดอะไรไม่ออก เมื่อจนปัญญา เด็กสาวจึงหันไปทางราเชนเพราะคิดว่าต้องอยู่ข้างเดียวกับนางแน่ แต่ต้องผิดหวังเมื่อเด็กหนุ่มหน้าเคร่งขรึม
“ข้าเห็นด้วยกับอาเซอร์บัส”
“ทำไม” เบอร์ทิน่าถาม เด็กหนุ่มเหลือบมองจอมเวทย์หนุ่มด้วยหางตาก่อนตอบ
“ก็อย่างที่เขาพูด เจ้าสวมเกราะตลอดเวลาไม่ได้หรอก”
“ถ้าข้ากลับเข้าวังแล้วจะออกมานี่อีกได้ยังไง เข้าออกแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เบอร์ทิน่าแย้ง แต่ราเชนกลับยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าเขาต้องช่วยเจ้าแน่”
เบอร์ทิน่าเข้าใจดีว่า ‘เขา’ ของราเชนหมายถึงอาเซอร์บัส นางทำท่าอิดออดก่อนถามเสียงไม่ดังนัก
“แล้วเจ้าละ”
“ข้าจะกลับบ้าน ต้องช่วยท่านพ่อทำอะไรอีกเยอะแยะ” เด็กหนุ่มตอบและส่งยิ้มกว้างพร้อมกับวางมือบนไหล่เบอร์ทิน่า “กลับวัง พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เรามีศึกหนักรออยู่ เจ้ากับข้าจะต้องสู้และชนะด้วยกัน”
เบอร์ทิน่ายิ้มตอบแต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทน เมื่อเห็นเด็กสาวยอมทำตามคำแนะนำแล้ว ราเชนจึงหันไปถามอาเซอร์บัส
“คนเยอะแยะแบบนี้เจ้าจะพาเบอร์ทิน่ากลับเข้าวังได้ยังไง”
อาเซอร์บัสไม่ตอบแต่ดึงเบอร์ทิน่าเข้าไปในอ้อมแขน ราเชนเบิกตากว้างเพราะคิดไม่ถึงว่าจอมเวทย์หนุ่มจะกล้าทำอะไรอุกอาจเช่นนั้น เขาขยับปากเพื่อต่อว่าแต่ต้องอ้าค้างไว้แบบนั้นเมื่อหมอกสีดำผุดออกมาจากอณูอากาศปกคลุมร่างของคนทั้งสองไว้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มมองจุดที่บัดนี้มีเพียงพื้นดินว่างเปล่าและถอนใจ
“ไปด้วยวิธีนี้นี่เอง”
ขณะที่ราเชนกำลังพูดกับตัวเองอยู่นั้น อาเซอร์บัสกับเบอร์ทิน่าเข้าไปอยู่ในวังเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นห้องของตัวเอง เด็กสาวจึงสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขาและตวาดเสียงลั่น
“กล้าดียังไงถึงมากอดข้า”
“ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะพาเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง” จอมเวทย์หนุ่มตอบด้วยใบหน้าเฉยเมยและยิ้มมุมปากเมื่อเห็นนางโกรธจนหน้าแดง “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดอะไรกับเด็กอายุ 16 หรอก”
ประโยคนั้นทำให้ใบหน้าของเด็กสาวเข้มจัดมากยิ่งขึ้นและหันซ้ายหันขวาเหมือนอยากหาดาบสักเล่มหรือกระบองสักท่อนมาทุบคนตรงหน้าแต่สิ่งที่เห็นมีเพียงแจกันดอกไม้ นางจึงคว้ามาขว้างใส่จอมเวทย์หนุ่มทันที แต่เขากลับยกมือขึ้นรับอย่างง่ายดาย
“เสียแรงเปล่าน่าเจ้าหญิง แทนที่จะมาอาละวาดกับข้า สู้นั่งทบทวนเวทย์ที่จะต้องใช้พรุ่งนี้ และนอนพักผ่อนให้เต็มที่จะดีกว่า”
คำพูดของเขาทำให้เบอร์ทิน่าชะงัก ถูกของอาเซอร์บัส เพราะวันรุ่งขึ้นนางจะต้องประลองกับพวกจอมเวทย์ ซึ่งแต่ละคนคงมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ดังนั้นนางควรทบทวนพลังของดวงดาว รวมทั้งใช้เวลาอัญเชิญน้อยที่สุด เพราะการร่ายเวทย์ หากช้ากว่าคู่ต่อสู้แค่เพียงวินาทีเดียว อาจพบหายนะอันน่ากลัว เด็กสาวคิดพลางมองหน้าอาเซอร์บัสและเม้มปากแน่น ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม นางก็ยังโกรธเขาอยู่ดี
“ออกไป” เบอร์ทิน่าพูดสั้นๆ จอมเวทย์หนุ่มมองนางนิ่ง ความห่วงใยวิ่งผ่านเข้ามาในสายตาแวบหนึ่งและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินจากไป เมื่ออยู่ตามลำพังแล้ว เด็กสาวจึงปลดชุดเกราะออก และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลางนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด จริงอยู่ที่นางแอบฝึกเวทย์ดวงดาว แต่ต้องการแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องนำมาใช้ และเป็นการใช้ในการประลองเพื่อออกไปค้นหาของวิเศษยังดินแดนอันห่างไกลคิดพลางระบายลมหายใจยาวและหลับตาลงพร้อมกับรวบรวมสมาธิทำจิตใจให้สงบนิ่ง พอปัดเรื่องวุ่นวายออกจากหัวได้แล้วเด็กสาวจึงลุกจากเตียง วางเหรียญดวงดาวไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มฝึกการอัญเชิญให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่เป็นอุปสรรคตอนแข่งขัน ตอนแรกเบอร์ทิน่าตั้งใจจะทบทวนพลังของดวงดาวทั้งหมด แต่ความอ่อนล้าจากการอดนอนในคืนก่อนกับเรื่องวุ่นวายในวันนี้ทำให้เด็กสาวหลับไปโดยไม่รู้ตัว
อรุณรุ่งของวันใหม่คึกคักมากกว่าสามวันที่ผ่านมา การแข่งขันประลองเวทย์ที่ถูกจัดขึ้นทำให้ชาวไมธีร่าพลอยตื่นเต้นไปด้วย หลายคนรีบปฏิบัติภาระกิจประจำวันเพื่อจะได้ไปชมการประชันของเหล่าจอมเวทย์ พวกค้าขายก็จัดเตรียมของที่ระลึกหรือทำอาหารชุดเพื่อขายในงาน
เบอร์ทิน่าตื่นขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่พ้นขอบฟ้า เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายและรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงแสร้งทำเป็นนั่งเล่นอยู่ครู่ใหญ่เพื่อรอออร์เด็นซึ่งเข้ามาทักทายทุกเช้า พูดคุยกันเสร็จและรอจนมหาอำมาตย์ออกจากห้อง เด็กสาวจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมชุดเกราะ และรอกระทั่งอาเซอร์บัสเข้าไปหา เช่นเดียวกับวันก่อน เขาให้สาวใช้เข้ามาในห้องและใช้เวทย์ลวงตาให้ทุกคนคิดว่านางคือเบอร์ทิน่า จากนั้นจึงเตรียมตัวพาตัวจริงไปยังลานประลอง ก่อนที่เขาจะใช้เวทย์เคลื่อนย้าย เด็กสาวได้ยกมือห้ามพร้อมกับเตือนเขาอย่างจริงจัง
“ห้ามกอดข้า”
“ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะพาเจ้าออกไปได้ยังไง” อาเซอร์บัสถาม เบอร์ทิน่าจึงเมินหนีและตอบโดยไม่มองหน้า
“เจ้าเป็นจอมเวทย์ผู้เก่งกาจ อย่าบอกนะว่าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้”
จอมเวทย์หนุ่มถอนใจอย่างเอือมระอาพลางยื่นไม้เท้าไปข้างหน้าและพูดเสียงห้วน
“จับนี่ไว้”
“เพื่ออะไร” เด็กสาวย้อนถามและมองไม้เท้าสีดำสนิทอย่างไม่ไว้ใจนัก อีกฝ่ายมองนางอย่างเบื่อหน่ายกับความเจ้าปัญหาก่อนตอบ
“ถ้าไม่สัมผัสกับผู้ร่ายเวทย์ เจ้าก็เคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้”
เบอร์ทิน่ามีท่าทางลังเลแต่ก็ยอมจับไม้เท้าแต่โดยดี ทันทีที่แตะ ทั้งห้องก็มืดลง เด็กสาวรู้สึกวูบวาบเหมือนตกลงจากที่สูง พอแสงสว่างกลับมาอีกครั้งนางก็ยืนอยู่บนสนามหญ้า ในลานประลอง
“ลิงคซ” เสียงราเชนร้องทักและวิ่งเข้ามาหา “ทำไมมาช้านักละ” เขาถามพลางเหลือบตามองอาเซอร์บัสแวบหนึ่งและพูดต่อ “ตอนนี้เขากำลังแจกบัตรหมายเลขประจำตัว รีบไปกันเถอะ”
พูดจบก็ลากเด็กสาวตรงไปยังโต๊ะของกรรมการ ซึ่งมีโถใบใหญ่ตั้งอยู่ เหล่าจอมเวทย์ต่างเข้าแถวเพื่อล้วงหมายเลขที่ละคน จนกระทั่งถึงตาของเราเชนกับเบอร์ทิน่า เมื่อคลี่ออกมาดูแล้วเด็กหนุ่มก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าได้หมายเลข 199 แล้วเจ้าละ” เขาหันไปถามเด็กสาวที่ยืนหน้ามุ่ย
“พันห้า”
“โอ้ อันดับเกือบท้ายเลยนะนั่น” ราเชนพูดและลดเสียงลงมากระซิบ “ผู้สมัครทั้งหมด 1,115 คนน่ะ”
“เยอะขนาดนั้นเชียว” เบอร์ทิน่าพูดเหมือนคาดไม่ถึงและเหลือบมองอาเซอร์บัสด้วยหางตา สีหน้าเฉยเมยของเขาทำให้เดาไม่ออกเหมือนกันว่าได้อันดับที่เท่าไหร่ อันที่จริงเด็กสาวก็อยากรู้เหมือนกันแต่ด้วยทิฐิทำให้ไม่กล้าถามออกมาตามตรง ยกเว้นราเชน
“เจ้าได้หมายเลขอะไร”
“อยากรู้ไปทำไม” อีกฝ่ายย้อน เด็กหนุ่มจึงยืดตัวขึ้นพร้อมกับกอดอกในมาดของผู้รู้
“ข้าเป็นลูกชายของโหราจารย์ มีพลังหยั่งรู้ว่าเลขไหนนำโชค เลขไหนพาซวย”
“งั้นเจ้าควรดูตัวเอง” อาเซอร์บัสพูดด้วยสีหน้าเยาะเหมือนจะบอกว่า ‘เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ’ ราเชนยักไหล่
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปถึงรอบสุดท้ายแน่”
จอมเวทย์หนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยหางตาแต่ไม่ได้คำใดโต้ ทั้งหมดยืนรอจนกระทั่งผู้เข้าแข่งขันได้หมายเลขกันครบทุกคนแล้ว กรรมการจึงก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับประกาศ
“การแข่งขันรอบแรก เป็นการประชันความเร็วในการใช้เวทย์ โดยให้ขึ้นประลองครั้งละสิบคู่ ใครถูกทำให้ตกเวทีก่อนถือว่าตกรอบ ส่วนจอมเวทย์แต่ละท่านต้องจับคู่กับใครนั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้วบนกระดาน ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม และรอฟังสัญญาณให้ดี
สิ้นคำประกาศทุกคนต่างไปมุงดูกระดานที่มีชื่อกับหมายเลขของจอมเวทย์ทุกคนและคู่ที่ต้องต่อสู้ด้วย ราเชนมองหาหมายเลขของตัวเองและขมวดคิ้วเมื่อพบว่าตนต้องแข่งกับใคร แต่ยังไม่ทันได้ถาม เสียงอุทานด้วยความหวาดหวั่นก็ดังขึ้น
“ข้าต้องสู้กับอาเซอร์บัส”
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้ง ผมสั้นเกือบเกรียนติดหนังหัว ราเชนแอบอมยิ้มด้วยความขบขัน เพราะดูจากลักษณะแล้ว หมอนั่นเหมือนพวกจอมเวทย์ฝึกหัดมากกว่า แบบนี้ไม่ต้องประลองกันเสียเวลาหรอก แค่อาเซอร์บัสกระดิกนิ้ว เจ้าหนุ่มนี่ก็ปลิวไปไกลแล้ว ดูเหมือนหลายคนจะมีความคิดแบบเดียวกับเขา เพราะบางคนเตือนให้ชายคนนั้นถอนตัวออกจากการแข่งขัน แต่บางคนกลับทำปากดีร้องท้า ส่วนใหญ่แล้วมักทำเฉย ไม่รู้ไม่ชี้