]ก่อนที่จะตัดสินในเขียนเรื่องนี้คิดอยู่นานมาก แต่ได้อ่านหลายกระทู้ที่นี้และรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนี้น่าจะได้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากพี่ๆในที่นี้เพื่อนำไปใช้กับชีวิตที่ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีจุดหมายอะไรได้บ้าง ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคนที่ตั้งใจอ่านเรื่องราวยาวๆของเราค่ะ ก่อนจะเข้าเรื่องเราขอเล่าเรื่องราวในอดีตของเราเพื่อข้อแนะนำที่ตรงจุดที่สุดด้วยน่ะค่ะ เราไม่มีที่พึ่งอื่นแล้วอยากขอความเห็นจริงๆ
ก่อนอื่น แนะนำตัวก่อน เราอายุ 30 ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พ่อกับแม่แยกทางกัน โดยแม่มีคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตอยู่ตลอด จนเมื่อ ปี 2005 จุดเปลี่ยนในชีวิตก็ได้เกิดขึ้น แม่เราไปมีสามีใหม่เหมือนที่ผ่านๆมา แต่ครั้งนี้ตัดสินใจออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวและติดต่อไม่ได้ โดยทิ้งให้เราอยู่คนเดียวในบ้านสวน กับคุณตา ตอนนั้นเราเรียนอยู่ปี 4 สนสุดท้ายคุณตาย้ายไปอยู่ภาคใต้กับน้าชายที่บวชเป็นพระ เราเลยอยู่คนเดียว โดยช่วงที่เราอยู่คนเดียวนั้นแม่ได้เริ่มโอนสมบัติทั้งหมดเป็นชื่อสามีใหม่ และเลิกส่งเสียเราอย่างเป็นทางการ เราโกรธแม่มากที่ทำไมต้องทำแบบนั้นเพราะก่อนหน้าแม่ก็เคยมีผู้ชายเข้ามาเปลี่ยนหน้าตลอดแต่เราไม่เคยว่าอะไรเพราะเป็นความสุขของแม่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมากไปถึงขั้นทิ้งเราที่เป็นลูกสาวคนเดียวได้ ครั้งนั้นเราเลยตัดสินใจออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว
หลังจากออกมาได้ไม่นานแม่เรามีโทรกลับมา แต่ที่แย่กว่านั้น แม่โทรกลับมาเพื่อที่จะบอกว่า ผู้ชายคนนั้นกำลังจะฆ่าแม่ ให้รีบมาหา เรารีบไปบ้านผู้ชายคนนั้นแต่ไม่เจอแม่ จนสุดท้ายไปเจอแม่หนีไปซ่อนตัวอยู่ในสลัมแถวๆบ้าน โดยภาพที่ติดตาเราจนถึงวันนี้คือ แม่นั่งอยู่ใต้จักรเย็บผ้า กลัวตัวสั่น ร้องไห้ และที่สำคัญจำเราไม่ได้ เรารับแม่กลับมาอยู่ที่หอด้วย แต่พอรุ่งเช้าแม่ก็กลับไปพร้อมกับอาการปรกติและกลับไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นเหมือนเดิม
เราพยายามอยู่หลายปีให้แม่เลิกกับผู้ชายคนนั้นแล้วมาอยู่กับเรา แต่ความพยายามของเราก็ไม่เป็นผลจนท้ายที่สุดพยายามคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมและใช้ชีวิตต่อมาเรื่องๆโดยที่พยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อวันที่แม่กลับมาเราจะสามารถดูแลแม่ได้
เราเรียบจบและโชคดีมากที่ได้งานทันที เรียกว่าสอบเสร็จวันสุดท้ายปุ๊บได้งานปั๊บ โดยเปลี่ยนงานประมาณ 2 แห่งและการเปลี่ยนงานในครั้งที่ 3 ของเรานี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตอีกครั้ง
เราทำงานที่ ที่ 3 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 4 ปี ครึ่ง โดยตลอดระยะเวลาเราเป็นที่รักของ กรรมการผู้จัดการบริษัทมาก เข้าขั้นลูกรักเนื่องจากผลงานการทำงานของเราและผลกำไรที่เราทำให้กับองค์กรนั้นเอง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภรรยาเจ้าของบริษัทไม่พอใจ ( ทั้งคู่ทำงานที่เดียวกัน ) เพราะทางนายผู้หญิงรู้สึกว่าความเอ็นดูจากเจ้านายที่มีให้เราเข้าขั้น เมียน้อย โดยเราก็พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำงานและอดทนตลอดมา โดยพยายามยื่นใบลาออกทุกปีแต่นายก็ไม่ให้ออกและด้วยความเกรงใจจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไม่ได้สักที จนกระทั่งปลายปี 2009 จึงได้ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าออกเป็นออก
แล้วเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเราก็เริ่มต้นที่นี้ ก่อนออกจากงานเราถูกส่งไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัทที่เพิ่งเรียนจบและกลับมาทำงาน โดยเป็นการสอนงานในธุรกิจใหม่ของบริษัท เลยทำให้ตลอดการทำงาน 4 เดือนเรียกได้ว่าตัวติดกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ก่อนที่จะสนิทกันเราเองเคยคุยเล่นกัน เจอกัน อยู่บ่อยๆช่วงที่เค้าปิดเทอมและกลับมาเมืองไทย และ 4 เดือนนั้นทำให้เราตัดสินใจคบกัน โดยที่เราคิดว่าลองคบไปก่อนคุยกันแล้วสบายใจ คุยกันได้ทุกเรื่อง อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข โดยคิดว่าเดี๋ยวก็ลาออกแล้วอีกไม่กี่วันคงไม่มีใครรู้หรอก
แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น พ่อ แม่ เค้าซึ่งเป็นเจ้านายเรารู้เรื่องที่เกิดขึ้น และสั่งไม่ให้เราเข้าไปที่ออฟฟิคอีกเป็นอันขาดเพราะแม่เค้ารับไม่ได้ที่เราคบกัน เพราะเค้าเข้าใจมาโดยตลอดว่าเรามีเชิงชู้สาวกับนายผู้ชาย และในที่สุด นายผู้ชายก็นัดเราเพื่อไปคุยเรื่องนื้ โดยย้ำว่าไม่ให้ลูกชายเค้ารู้เรื่องเด็ดขาด ประเด็นในการพูดคุยเค้าขอร้องให้เราเลิกกับลูกเค้าซ่ะถ้ายังเคารพเค้าอยู่บ้าง และถามว่าเราไม่อายเหรอลูกเค้าอายุห่างกับเราตั้ง 7 ปี ตอนเริ่มคบกัน เรา 28 เค้า 21 เราบอกว่าจะนำไปพิจารณาและก็ไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัวเค้าอีกเลย
แต่เรื่องวุ่นวายก็ยังไม่จบ เราถูกทางบ้านแฟนกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริษัทไป 200000 บาทและบอกทางแฟนเราว่าถ้าไม่เลิกกันก็จะเอาตำรวจมาจับ โดยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความสะเพร่าของเราในการทำงานโดยยึดถือผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลักจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ โดยเราพยายามเข้าไปอธิบายเพราะเรื่องความโปร่งใสไม่เกี่ยวกับการที่เราคบกับลูกของเค้า แต่ทางเลขา ก็ไม่ให้เข้าพบและแจ้งว่าไม่มีประโยชน์เพราะอย่างไร นายเราเค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี เราจึงเงียบๆไปแต่โชคดีที่เรื่องนี้แฟนเรารู้เรื่องมาโดยตลอดและเชื่อในสิ่งที่เราบอกจึงไม่เป็นปัญหาต่อการคบกัน
หลังจากนั้นเราเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเริ่มส่งผลต่อร่างกายและจิตใจมาโดยตลอด เริ่มกินไม่ได้ นอนไม่ได้ ทำงานที่ใหม่ก็โดนเจ้านายดุ ด่า เวียนหัว ไม่อยากพบปะผู้คน สิ้นหวัง ไร้ค่า คิดว่าถ้าเราตายไปซ่ะก็ไม่ได้เดือนร้อนใครอยุ่แล้ว เพราะเราไม่มีใคร เราพยายามเข้ารับการรักษา มากกว่า 6 โรงพยาบาล แต่ก็ยังเป็นหนัก หลงลืม ไม่มีสติ หลายครั้งขับรถจะกลับบ้านไปโผล่อีกที ที่ต่างจังหวัด อยากลาออกจากงานแต่ต้องเลี้ยงดูตัวเองถ้าออกก็ไม่มีกิน ทนอยู่แบบนี้มาเป็นปี
จนเมื่อปี 2011 เราท้องโดยไม่รู้ตัวแต่เด็กไม่เจริญเติบโตต่อคุณหมอเลยให้เอาออกโดยคุณหมอเป็นคนจัดการให้ที่โรงพยาบาล จากนั้นให้หลังอีก 6 เดือนเราท้องอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดจากยาทางจิตเวชบางตัวที่เรากินมีผลต่อปะสิทธิภาพของยาคุม ในครั้งนี้เรากลุ้มใจมาก ปรึกษาเพื่อนทุกคนบอกให้เอาไว้ แต่ท้ายสุดแน่นอนเราต้องถามพ่อของเด็ก
หลังจากที่เรารู้ว่าท้องในครั้งนี้ 7 สัปดาห์กว่า แฟนเราไม่ได้พูดอะไร หายไปเลย 2 วัน กลับมาอีกครั้งก็ไม่ได้พูดอะไร เราเข้าใจและไม่อยากให้เค้าทุกข์ใจ เราเลยตัดสินใจเอาเด็กออกซึ่งการตัดสินใจในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเรา เราไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเราได้ เค้าเป็นผู้ชายคนแรกของเรา และเป็นพ่อของลุกเรา ( ก่อนหน้านี้คบทอมมาโดยตลอด )
เราเริ่มศึกษาเรื่องการทำแท้งเองและสุดท้ายก็สั่งยามาจากต่างประเทศ โดยผ่านองค์กร NGO แห่งหนึ่งที่มีคุณหมอคอยตอบคำถาม และเช็คเรื่องประวัติด้านสุขภาพ โดยเราทำแท้งที่บ้าน เนื่องด้วยเราไม่สามารถลางานได้เราเลยได้อยู่บ้านเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นและต้องดำเนินชีวิตตามปรกติ ขับรถไปทำงานไปกลับกว่า 100 โลทุกวัน อาการเจ็บปวดไม่ต้องพูดถึงเจ็บมากที่สุดในชีวิตเจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ เพื่อนๆก็ห่างเหินเพราะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ส่วนแฟนเราก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอด มาเยี่ยม มาหาแล้วก็กลับไป เป็นแบบนี้โดยตลอด แต่เจ็บกายไม่นานนักร่างกายก็ฟื้นตัวแต่ที่หนักที่สุดคือปัญหาด้านใจ
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เราปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้าเป็นหนักขึ้นมาก เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงลูกข้างๆหูอยู่ตลอด ฝันร้าย กินไม่ได้ อยู่คนเดียวไม่ได้ หยุดร้องไห้ไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าเราทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่อาจจะเป็นเพียงครอบครัวที่เราจะมีโอกาสมีครั้งเดียวในชีวิตได้อย่างไรกัน เราลาออกจากงานที่เก่าและเปลี่ยนงานอีก 2 ครั้งโดยตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นครั้งที่ 3 ชีวิตสับสนไปหมดไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
เราควรจัดการอย่างไรดีค่ะ ควรเลิกกับแฟนไปเลยไหมเพื่อตัดปัญหาแล้วกลับมาดูแลตัวเอง เพราะอย่างไรเราก็ไม่สามารถเข้าบ้านเค้าได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องงาน เราถือว่าอยู่ในระดับบนๆมาโดยตลอด พอเจอเรื่องนี้มากระทบ ซวนเซไปเลยค่ะ แอบไปนั่งซึมๆในห้องน้ำ ในรถ ที่ทำงานทุกวัน ยิ่งทำงานได้ไม่เต็มที่ก็ยิ่งเครียดค่ะ ฝากแนะนำด้วยน่ะค่ะ
เมื่อพ่อแฟนถามว่า ผู้หญิงสมัยนี้แปลกเนอะหน้าไม่อายเดินกับผู้ชายอายุน้อยกว่า
ก่อนอื่น แนะนำตัวก่อน เราอายุ 30 ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พ่อกับแม่แยกทางกัน โดยแม่มีคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตอยู่ตลอด จนเมื่อ ปี 2005 จุดเปลี่ยนในชีวิตก็ได้เกิดขึ้น แม่เราไปมีสามีใหม่เหมือนที่ผ่านๆมา แต่ครั้งนี้ตัดสินใจออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวและติดต่อไม่ได้ โดยทิ้งให้เราอยู่คนเดียวในบ้านสวน กับคุณตา ตอนนั้นเราเรียนอยู่ปี 4 สนสุดท้ายคุณตาย้ายไปอยู่ภาคใต้กับน้าชายที่บวชเป็นพระ เราเลยอยู่คนเดียว โดยช่วงที่เราอยู่คนเดียวนั้นแม่ได้เริ่มโอนสมบัติทั้งหมดเป็นชื่อสามีใหม่ และเลิกส่งเสียเราอย่างเป็นทางการ เราโกรธแม่มากที่ทำไมต้องทำแบบนั้นเพราะก่อนหน้าแม่ก็เคยมีผู้ชายเข้ามาเปลี่ยนหน้าตลอดแต่เราไม่เคยว่าอะไรเพราะเป็นความสุขของแม่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมากไปถึงขั้นทิ้งเราที่เป็นลูกสาวคนเดียวได้ ครั้งนั้นเราเลยตัดสินใจออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว
หลังจากออกมาได้ไม่นานแม่เรามีโทรกลับมา แต่ที่แย่กว่านั้น แม่โทรกลับมาเพื่อที่จะบอกว่า ผู้ชายคนนั้นกำลังจะฆ่าแม่ ให้รีบมาหา เรารีบไปบ้านผู้ชายคนนั้นแต่ไม่เจอแม่ จนสุดท้ายไปเจอแม่หนีไปซ่อนตัวอยู่ในสลัมแถวๆบ้าน โดยภาพที่ติดตาเราจนถึงวันนี้คือ แม่นั่งอยู่ใต้จักรเย็บผ้า กลัวตัวสั่น ร้องไห้ และที่สำคัญจำเราไม่ได้ เรารับแม่กลับมาอยู่ที่หอด้วย แต่พอรุ่งเช้าแม่ก็กลับไปพร้อมกับอาการปรกติและกลับไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นเหมือนเดิม
เราพยายามอยู่หลายปีให้แม่เลิกกับผู้ชายคนนั้นแล้วมาอยู่กับเรา แต่ความพยายามของเราก็ไม่เป็นผลจนท้ายที่สุดพยายามคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมและใช้ชีวิตต่อมาเรื่องๆโดยที่พยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อวันที่แม่กลับมาเราจะสามารถดูแลแม่ได้
เราเรียบจบและโชคดีมากที่ได้งานทันที เรียกว่าสอบเสร็จวันสุดท้ายปุ๊บได้งานปั๊บ โดยเปลี่ยนงานประมาณ 2 แห่งและการเปลี่ยนงานในครั้งที่ 3 ของเรานี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตอีกครั้ง
เราทำงานที่ ที่ 3 เป็นระยะเวลาทั้งหมด 4 ปี ครึ่ง โดยตลอดระยะเวลาเราเป็นที่รักของ กรรมการผู้จัดการบริษัทมาก เข้าขั้นลูกรักเนื่องจากผลงานการทำงานของเราและผลกำไรที่เราทำให้กับองค์กรนั้นเอง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภรรยาเจ้าของบริษัทไม่พอใจ ( ทั้งคู่ทำงานที่เดียวกัน ) เพราะทางนายผู้หญิงรู้สึกว่าความเอ็นดูจากเจ้านายที่มีให้เราเข้าขั้น เมียน้อย โดยเราก็พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำงานและอดทนตลอดมา โดยพยายามยื่นใบลาออกทุกปีแต่นายก็ไม่ให้ออกและด้วยความเกรงใจจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไม่ได้สักที จนกระทั่งปลายปี 2009 จึงได้ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าออกเป็นออก
แล้วเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเราก็เริ่มต้นที่นี้ ก่อนออกจากงานเราถูกส่งไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัทที่เพิ่งเรียนจบและกลับมาทำงาน โดยเป็นการสอนงานในธุรกิจใหม่ของบริษัท เลยทำให้ตลอดการทำงาน 4 เดือนเรียกได้ว่าตัวติดกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ก่อนที่จะสนิทกันเราเองเคยคุยเล่นกัน เจอกัน อยู่บ่อยๆช่วงที่เค้าปิดเทอมและกลับมาเมืองไทย และ 4 เดือนนั้นทำให้เราตัดสินใจคบกัน โดยที่เราคิดว่าลองคบไปก่อนคุยกันแล้วสบายใจ คุยกันได้ทุกเรื่อง อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข โดยคิดว่าเดี๋ยวก็ลาออกแล้วอีกไม่กี่วันคงไม่มีใครรู้หรอก
แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น พ่อ แม่ เค้าซึ่งเป็นเจ้านายเรารู้เรื่องที่เกิดขึ้น และสั่งไม่ให้เราเข้าไปที่ออฟฟิคอีกเป็นอันขาดเพราะแม่เค้ารับไม่ได้ที่เราคบกัน เพราะเค้าเข้าใจมาโดยตลอดว่าเรามีเชิงชู้สาวกับนายผู้ชาย และในที่สุด นายผู้ชายก็นัดเราเพื่อไปคุยเรื่องนื้ โดยย้ำว่าไม่ให้ลูกชายเค้ารู้เรื่องเด็ดขาด ประเด็นในการพูดคุยเค้าขอร้องให้เราเลิกกับลูกเค้าซ่ะถ้ายังเคารพเค้าอยู่บ้าง และถามว่าเราไม่อายเหรอลูกเค้าอายุห่างกับเราตั้ง 7 ปี ตอนเริ่มคบกัน เรา 28 เค้า 21 เราบอกว่าจะนำไปพิจารณาและก็ไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัวเค้าอีกเลย
แต่เรื่องวุ่นวายก็ยังไม่จบ เราถูกทางบ้านแฟนกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริษัทไป 200000 บาทและบอกทางแฟนเราว่าถ้าไม่เลิกกันก็จะเอาตำรวจมาจับ โดยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความสะเพร่าของเราในการทำงานโดยยึดถือผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลักจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ โดยเราพยายามเข้าไปอธิบายเพราะเรื่องความโปร่งใสไม่เกี่ยวกับการที่เราคบกับลูกของเค้า แต่ทางเลขา ก็ไม่ให้เข้าพบและแจ้งว่าไม่มีประโยชน์เพราะอย่างไร นายเราเค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี เราจึงเงียบๆไปแต่โชคดีที่เรื่องนี้แฟนเรารู้เรื่องมาโดยตลอดและเชื่อในสิ่งที่เราบอกจึงไม่เป็นปัญหาต่อการคบกัน
หลังจากนั้นเราเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเริ่มส่งผลต่อร่างกายและจิตใจมาโดยตลอด เริ่มกินไม่ได้ นอนไม่ได้ ทำงานที่ใหม่ก็โดนเจ้านายดุ ด่า เวียนหัว ไม่อยากพบปะผู้คน สิ้นหวัง ไร้ค่า คิดว่าถ้าเราตายไปซ่ะก็ไม่ได้เดือนร้อนใครอยุ่แล้ว เพราะเราไม่มีใคร เราพยายามเข้ารับการรักษา มากกว่า 6 โรงพยาบาล แต่ก็ยังเป็นหนัก หลงลืม ไม่มีสติ หลายครั้งขับรถจะกลับบ้านไปโผล่อีกที ที่ต่างจังหวัด อยากลาออกจากงานแต่ต้องเลี้ยงดูตัวเองถ้าออกก็ไม่มีกิน ทนอยู่แบบนี้มาเป็นปี
จนเมื่อปี 2011 เราท้องโดยไม่รู้ตัวแต่เด็กไม่เจริญเติบโตต่อคุณหมอเลยให้เอาออกโดยคุณหมอเป็นคนจัดการให้ที่โรงพยาบาล จากนั้นให้หลังอีก 6 เดือนเราท้องอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดจากยาทางจิตเวชบางตัวที่เรากินมีผลต่อปะสิทธิภาพของยาคุม ในครั้งนี้เรากลุ้มใจมาก ปรึกษาเพื่อนทุกคนบอกให้เอาไว้ แต่ท้ายสุดแน่นอนเราต้องถามพ่อของเด็ก
หลังจากที่เรารู้ว่าท้องในครั้งนี้ 7 สัปดาห์กว่า แฟนเราไม่ได้พูดอะไร หายไปเลย 2 วัน กลับมาอีกครั้งก็ไม่ได้พูดอะไร เราเข้าใจและไม่อยากให้เค้าทุกข์ใจ เราเลยตัดสินใจเอาเด็กออกซึ่งการตัดสินใจในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเรา เราไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเราได้ เค้าเป็นผู้ชายคนแรกของเรา และเป็นพ่อของลุกเรา ( ก่อนหน้านี้คบทอมมาโดยตลอด )
เราเริ่มศึกษาเรื่องการทำแท้งเองและสุดท้ายก็สั่งยามาจากต่างประเทศ โดยผ่านองค์กร NGO แห่งหนึ่งที่มีคุณหมอคอยตอบคำถาม และเช็คเรื่องประวัติด้านสุขภาพ โดยเราทำแท้งที่บ้าน เนื่องด้วยเราไม่สามารถลางานได้เราเลยได้อยู่บ้านเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นและต้องดำเนินชีวิตตามปรกติ ขับรถไปทำงานไปกลับกว่า 100 โลทุกวัน อาการเจ็บปวดไม่ต้องพูดถึงเจ็บมากที่สุดในชีวิตเจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ เพื่อนๆก็ห่างเหินเพราะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ส่วนแฟนเราก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอด มาเยี่ยม มาหาแล้วก็กลับไป เป็นแบบนี้โดยตลอด แต่เจ็บกายไม่นานนักร่างกายก็ฟื้นตัวแต่ที่หนักที่สุดคือปัญหาด้านใจ
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เราปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้าเป็นหนักขึ้นมาก เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงลูกข้างๆหูอยู่ตลอด ฝันร้าย กินไม่ได้ อยู่คนเดียวไม่ได้ หยุดร้องไห้ไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าเราทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่อาจจะเป็นเพียงครอบครัวที่เราจะมีโอกาสมีครั้งเดียวในชีวิตได้อย่างไรกัน เราลาออกจากงานที่เก่าและเปลี่ยนงานอีก 2 ครั้งโดยตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นครั้งที่ 3 ชีวิตสับสนไปหมดไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
เราควรจัดการอย่างไรดีค่ะ ควรเลิกกับแฟนไปเลยไหมเพื่อตัดปัญหาแล้วกลับมาดูแลตัวเอง เพราะอย่างไรเราก็ไม่สามารถเข้าบ้านเค้าได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องงาน เราถือว่าอยู่ในระดับบนๆมาโดยตลอด พอเจอเรื่องนี้มากระทบ ซวนเซไปเลยค่ะ แอบไปนั่งซึมๆในห้องน้ำ ในรถ ที่ทำงานทุกวัน ยิ่งทำงานได้ไม่เต็มที่ก็ยิ่งเครียดค่ะ ฝากแนะนำด้วยน่ะค่ะ