อาจารย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แถลงหยุดการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่มาตรา 7 ซึ่งมองว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งหากตั้งสภาประชาชน
อาจารย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แถลงหยุดการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่มาตรา 7 ซึ่งมองว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งหากตั้งสภาประชาชน เชื่อมั่นการยุบสภาคืออีกหนทางที่จะกลับเข้าสู่ประชาธิปไตย วอนประชาชนเชื่อมั่นหลักการประชาธิปไตยและะรับธรรมนูญที่บริเวณลานด้านหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหล่าคณาจารย์ และนักวิชาการที่รวมตัวกันภายใต้มหาวิทลัยเที่ยงคืน ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ของมหาลัยเที่ยงคืน โดยมี ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มช. Dr.Yuji Mizukami และนายกฤษณ์พชร โสมณวัตร ร่วมแถลง มีใจความว่าหลังจากการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอันจะมีผลให้ต้องจัดการเลืทอกตั้งภายใน 60 วัน และนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีค้องเป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งระบุไว้ชัดเจนในรัญธรรมนูญฉบับ2550 ซึ่งร่างในสมัยของรัฐบาลประชาธิปัติย์
โดยมองว่าการยุบสภาเป็นกระบวนการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองประการหนึ่งตามระบอบรัฐสภา และเป็นกระบวนการที่ได้มีการรับรองไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ อันถือเป็นการคืนอำนาจกลับไปสู่ประชาชนทุกคนภายในสังคมให้ร่วมกันตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ที่ได้บังเกิดขึ้น บนพื้นฐานการยอมรับความเสมอภาค และความเท่าเทียมระหว่างทุกคนผ่านระบบการเลือกตั้ง
แม้ว่าการยุบสภาไม่ใช่เป้าหมายของแกนนำ กปปส. ที่ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ แต่แนวทางในการแต่งตั้งสภาประชาชน และนายกพระราชทานจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ปราศจากความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ได้มีการบัญญัติไว้เกี่ยวกับกรณีการยุบสภา และการลาออกของนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน สภาประชาชนที่พูดถึงยังไม่ปรากฏว่าจะมีการดำเนินการลักษณะใด ใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หกรือมีกระบวนการในการคักดเลือกอย่างไร หรือเป็นอำนาจของบรรดาผู้นำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
ความไม่ชัดเขนเรื่องสภาประชาชนก็ยังจะทำให้ประชาชนที่มีความเป็นแตกต่างออกไปกลายเป็นผู้ไร้สิทธิ์ ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งจะเกิดความแตกแยกตามมาในการอ้างอำนาจอธิปไตยของประชาชนเช่นเดียวกัน นำไปสู่สภาวะที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตย หรือเรียกได้ว่าการตั้งสภาพประชาชน หรือพลักดันให้ไปถึงมาตร 7 ถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับอย่างชัดเจน
ในส่วนนี้ได้มีข้อเสนอแนะให้กับทางแกนนำ กปปส. หากต้องการให้เกิดการปฎิรูปทางการเมือง ให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ก็สามารถพลักดัน และเคลื่อนไหวให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ไม่ว่าจะผ่านทางกระบวนการทางการเมืองปกติ เช่นการเผยแพร่ ข้อเสนอ และแนวทางในการแก้ไขของตนเองอย่างชัดเจนให้กับสาธารณะ และแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้ง หรือจัดตั้งเป็นกลุ่มองค์กรอิสระที่คอยตรวจสอบในประเด็นที่ตนเองตระหนักว่าเป็นปัญหาซึ่งต้องควรได้รับการแก้ไข หรือแม้กระทั่งการปรับแก้ไขโครงสรางของระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้ง ระบบการตรวจสอบ ซึ่งได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับก็สามารถกระทำได้โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฏหมายนั้นๆ
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังอยากให้ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวยอมรับความจริงว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้นไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนภายใต้การชี้นำของคนดีเพียงบางกลุ่มที่ไม่มีกฏหมายอันชอบธรรมรองรับ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้เท่านั้น แต่ยังจะนำพไปสู่ความรุนแรงในทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ มากกว่าเดิม
โดยทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบอบการเมืองของไทยภายใต้กลไกของระบบรัฐสภา และบนกระบวนการตามปรอบของรัฐธรรมนูญ และร่วมกันปฏิเสธ การเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญทุกประการในการแทรกแซง และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับระบบการเมืองที่ไมได้เคารพต่อหลักประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ การรักษาระบบ และการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาระบบให้ดีขึ้นมีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในอนาคต แต่หากมุ่งสู่การล้มระบบที่เป็นอยู่จะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่ยวายอย่างยากที่จะยุติลงได้ ซึ่งจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อทุกคนในสังคมไทย
ขณะที่ ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ มองว่า สภาประชาชนที่ทางแกนนำ กปปส.อ้างถึงนั้นจะเป้นการดึงอำนาจนอกระบบรัฐธรรมนูญมาใช้ หากสามารถดึงอำนาจนอกระบบมาใช้ได้เมื่อๆไหร่ กลุ่มต่อไปก็จะสามารถดึงมาใช้ได้ ความปั่นป่วนก็จะเกิดขึ้นตามมาก ความเปลี่ยนแปลงในประชาธิปไทยจะต้องเป็นไปควบคู่กันระหว่างเป้าหมาย และวิธีการ เป้าหมายดี แต่วิธีการเลว ก็ไปด้วยกันไม่ได้ จึงขอปฏิเสธที่จะนำอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาแก้ไขปัญหา
ส่วนทางออกของปัญหาในขณะนี้ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล มองว่า ไม่มีการแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จได้เพียงชี่วข้ามคือ ประชาธิปไตยต้องเป็นการแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องไป ขณะนี้ต้องทำให้การเมืองทุกอย่างเดินกลับเข้าสู่ระบบภายในรัฐธรรมนูญ เช่นกลุ่ม กปปส. อาจจะรณรงค์ผ่านระบบการเลือกตั้ง หรืออาจจะเป้นส่วนหนึ่งในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้เกิดระบบที่มีการตรวจสอบนักการเมืองมากขึ้น แต่การดึงอำนาจนอกระบบเข้ามาจะถือว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญเท่านั้นถึงจะทำได้
ส่วนเรื่องหากมีการผลักดันให้เกิดรัฐมนตรีคนกลาง ขึ้นมามองว่าจะเกิดการต่อต้านจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาเคลื่อนไหว ก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก และครั้งนี้ก็จะถ่ายความขัดแย้งจากราชดำเนินจากธรรมเนียบ ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ในส่วนภูมิภาคก็ยิ่งจะสร้างความขัดแย้งกันมากขึ้นกว่านี้อีก ดังนั้นอยากให้การเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้กลับไปอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ กลับไปสู่การเลือกตั้ง โดยได้ยกประโยคหนึ่งว่า อย่าคาดหวังจะเห็นฟ้าทีทองผ่องอำไพในช่วงข้ามคืน หรือการยึดทำเนียบได้ในคืนนี้แล้วตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะดีขึ้นหมดนั้นไม่มีในโลก
สำหรับข้อเสนอแนะในส่วนของรัฐบาล และฝ่ายค้านในตอนนี้หากเป็นรัฐบาลรักษาการต้องแสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขปัญหา บริหารประเทศต่อไปรอวันเลือกจั้งอีก 60 วัน ในช่วงนี้ต้องเจรจากับกลุ่ม กปปส. ว่ารัฐบาลจะทำงานต่อไปแต่ก็จะไม่มีนโยบายอื่นใดออกมาในช่วงนี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราต้องกลับสู่ระบบ ส่วนพรรคประชาธิปัติย์เอง ก็ต้องกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งตามระบอบ ยิ่งหากพรรคประชาธิปัติย์ ปฏิเสธการลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้ยิ่งต้องเรียกร้องให้คนประณามเนื่องจากแสดงความไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตยออกมา หากไม่เห็นด้วยหรือสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ กปปส. ก็ให้ชูนโยบายหาเสียงออกมาให้ชัดเจน
by Watsana
9 ธันวาคม 2556 เวลา 19:56 น.
View 2267
ที่มา
http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/90619.html
อาจารย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แถลงหยุดการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่มาตรา 7 ซึ่งมองว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง
อาจารย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แถลงหยุดการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่มาตรา 7 ซึ่งมองว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งหากตั้งสภาประชาชน เชื่อมั่นการยุบสภาคืออีกหนทางที่จะกลับเข้าสู่ประชาธิปไตย วอนประชาชนเชื่อมั่นหลักการประชาธิปไตยและะรับธรรมนูญที่บริเวณลานด้านหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหล่าคณาจารย์ และนักวิชาการที่รวมตัวกันภายใต้มหาวิทลัยเที่ยงคืน ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ของมหาลัยเที่ยงคืน โดยมี ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มช. Dr.Yuji Mizukami และนายกฤษณ์พชร โสมณวัตร ร่วมแถลง มีใจความว่าหลังจากการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอันจะมีผลให้ต้องจัดการเลืทอกตั้งภายใน 60 วัน และนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีค้องเป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งระบุไว้ชัดเจนในรัญธรรมนูญฉบับ2550 ซึ่งร่างในสมัยของรัฐบาลประชาธิปัติย์
โดยมองว่าการยุบสภาเป็นกระบวนการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองประการหนึ่งตามระบอบรัฐสภา และเป็นกระบวนการที่ได้มีการรับรองไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ อันถือเป็นการคืนอำนาจกลับไปสู่ประชาชนทุกคนภายในสังคมให้ร่วมกันตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ที่ได้บังเกิดขึ้น บนพื้นฐานการยอมรับความเสมอภาค และความเท่าเทียมระหว่างทุกคนผ่านระบบการเลือกตั้ง
แม้ว่าการยุบสภาไม่ใช่เป้าหมายของแกนนำ กปปส. ที่ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ แต่แนวทางในการแต่งตั้งสภาประชาชน และนายกพระราชทานจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ปราศจากความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ได้มีการบัญญัติไว้เกี่ยวกับกรณีการยุบสภา และการลาออกของนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน สภาประชาชนที่พูดถึงยังไม่ปรากฏว่าจะมีการดำเนินการลักษณะใด ใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หกรือมีกระบวนการในการคักดเลือกอย่างไร หรือเป็นอำนาจของบรรดาผู้นำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
ความไม่ชัดเขนเรื่องสภาประชาชนก็ยังจะทำให้ประชาชนที่มีความเป็นแตกต่างออกไปกลายเป็นผู้ไร้สิทธิ์ ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งจะเกิดความแตกแยกตามมาในการอ้างอำนาจอธิปไตยของประชาชนเช่นเดียวกัน นำไปสู่สภาวะที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตย หรือเรียกได้ว่าการตั้งสภาพประชาชน หรือพลักดันให้ไปถึงมาตร 7 ถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับอย่างชัดเจน
ในส่วนนี้ได้มีข้อเสนอแนะให้กับทางแกนนำ กปปส. หากต้องการให้เกิดการปฎิรูปทางการเมือง ให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ก็สามารถพลักดัน และเคลื่อนไหวให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ไม่ว่าจะผ่านทางกระบวนการทางการเมืองปกติ เช่นการเผยแพร่ ข้อเสนอ และแนวทางในการแก้ไขของตนเองอย่างชัดเจนให้กับสาธารณะ และแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้ง หรือจัดตั้งเป็นกลุ่มองค์กรอิสระที่คอยตรวจสอบในประเด็นที่ตนเองตระหนักว่าเป็นปัญหาซึ่งต้องควรได้รับการแก้ไข หรือแม้กระทั่งการปรับแก้ไขโครงสรางของระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้ง ระบบการตรวจสอบ ซึ่งได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับก็สามารถกระทำได้โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฏหมายนั้นๆ
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังอยากให้ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวยอมรับความจริงว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้นไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนภายใต้การชี้นำของคนดีเพียงบางกลุ่มที่ไม่มีกฏหมายอันชอบธรรมรองรับ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้เท่านั้น แต่ยังจะนำพไปสู่ความรุนแรงในทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ มากกว่าเดิม
โดยทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบอบการเมืองของไทยภายใต้กลไกของระบบรัฐสภา และบนกระบวนการตามปรอบของรัฐธรรมนูญ และร่วมกันปฏิเสธ การเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญทุกประการในการแทรกแซง และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับระบบการเมืองที่ไมได้เคารพต่อหลักประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ การรักษาระบบ และการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาระบบให้ดีขึ้นมีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในอนาคต แต่หากมุ่งสู่การล้มระบบที่เป็นอยู่จะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่ยวายอย่างยากที่จะยุติลงได้ ซึ่งจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อทุกคนในสังคมไทย
ขณะที่ ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ มองว่า สภาประชาชนที่ทางแกนนำ กปปส.อ้างถึงนั้นจะเป้นการดึงอำนาจนอกระบบรัฐธรรมนูญมาใช้ หากสามารถดึงอำนาจนอกระบบมาใช้ได้เมื่อๆไหร่ กลุ่มต่อไปก็จะสามารถดึงมาใช้ได้ ความปั่นป่วนก็จะเกิดขึ้นตามมาก ความเปลี่ยนแปลงในประชาธิปไทยจะต้องเป็นไปควบคู่กันระหว่างเป้าหมาย และวิธีการ เป้าหมายดี แต่วิธีการเลว ก็ไปด้วยกันไม่ได้ จึงขอปฏิเสธที่จะนำอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาแก้ไขปัญหา
ส่วนทางออกของปัญหาในขณะนี้ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล มองว่า ไม่มีการแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จได้เพียงชี่วข้ามคือ ประชาธิปไตยต้องเป็นการแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องไป ขณะนี้ต้องทำให้การเมืองทุกอย่างเดินกลับเข้าสู่ระบบภายในรัฐธรรมนูญ เช่นกลุ่ม กปปส. อาจจะรณรงค์ผ่านระบบการเลือกตั้ง หรืออาจจะเป้นส่วนหนึ่งในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้เกิดระบบที่มีการตรวจสอบนักการเมืองมากขึ้น แต่การดึงอำนาจนอกระบบเข้ามาจะถือว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญเท่านั้นถึงจะทำได้
ส่วนเรื่องหากมีการผลักดันให้เกิดรัฐมนตรีคนกลาง ขึ้นมามองว่าจะเกิดการต่อต้านจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาเคลื่อนไหว ก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก และครั้งนี้ก็จะถ่ายความขัดแย้งจากราชดำเนินจากธรรมเนียบ ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ในส่วนภูมิภาคก็ยิ่งจะสร้างความขัดแย้งกันมากขึ้นกว่านี้อีก ดังนั้นอยากให้การเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้กลับไปอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ กลับไปสู่การเลือกตั้ง โดยได้ยกประโยคหนึ่งว่า อย่าคาดหวังจะเห็นฟ้าทีทองผ่องอำไพในช่วงข้ามคืน หรือการยึดทำเนียบได้ในคืนนี้แล้วตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะดีขึ้นหมดนั้นไม่มีในโลก
สำหรับข้อเสนอแนะในส่วนของรัฐบาล และฝ่ายค้านในตอนนี้หากเป็นรัฐบาลรักษาการต้องแสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขปัญหา บริหารประเทศต่อไปรอวันเลือกจั้งอีก 60 วัน ในช่วงนี้ต้องเจรจากับกลุ่ม กปปส. ว่ารัฐบาลจะทำงานต่อไปแต่ก็จะไม่มีนโยบายอื่นใดออกมาในช่วงนี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราต้องกลับสู่ระบบ ส่วนพรรคประชาธิปัติย์เอง ก็ต้องกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งตามระบอบ ยิ่งหากพรรคประชาธิปัติย์ ปฏิเสธการลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้ยิ่งต้องเรียกร้องให้คนประณามเนื่องจากแสดงความไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตยออกมา หากไม่เห็นด้วยหรือสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ กปปส. ก็ให้ชูนโยบายหาเสียงออกมาให้ชัดเจน
by Watsana
9 ธันวาคม 2556 เวลา 19:56 น.
View 2267
ที่มา http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/90619.html