"กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" และ "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" ส่งผลบวกทุกกรณีจริงหรือ ?

credit : bangkokbiznews.com
------

การจัดตั้งกองทุนส่งผลทั้งบวกและลบกับตัวบริษัท ขึ้นอยู่ว่าจัดตั้งด้วยการนำสินทรัพย์เข้ากองทุนในลักษณะไหน แนะนักลงทุนพิจารณาก่อนลงทุน

ช่วงที่ผ่านมากระแสการจัดตั้ง "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" และ "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน

โดยเฉพาะในกลุ่ม "นักลงทุนในตลาดหุ้น" ที่มักจะมีข่าวของบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาสร้างความคึกคักให้กับหุ้นที่จะมีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว

แล้วการตั้งกองทุนดังกล่าวจะทำให้ราคาหุ้นขึ้น จ่ายปันผลได้ มีกำไรทุกกรณีจริงหรือไม่?

Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวมาฝากกัน
........................

@ วอนนักลงทุนทำความเข้าใจก่อนลงทุน เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ธวัชชัย เกียรติกวานกุล" ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับบัญชีตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมามักมีข่าวหรือบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทที่มีแผนตั้งกองทุนดังกล่าวออกมาเป็นระยะๆ เช่น ผู้ถือหุ้น xxx ไฟเขียวตั้งกองทุนขนาด x,xxx ล้านบาท พร้อมนำเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ หรือ xxx ประชุมผู้ถือหุ้นขอมติจัดตั้งกองทุนมูลค่าประมาณ xx,xxxx ล้านบาท กูรูมองได้ประโยชน์ คาดจ่ายปันผลพิเศษ 1 บาท และเชื่อทำให้หุ้นขึ้น 1 บาท หรือจับตา xxx ลุยตั้งกองทุนอสังหาฯ นำทรัพย์สินเข้ากองทุนฟันรายได้ไม่ต่ำกว่า x ล้านบาท โบรกเกอร์ประเมินจะมีกำไรจากกองทุนสูงถึง x ล้านบาท ผู้บริหารแย้มผลประกอบการปี 2555/56 พุ่ง 100% ส่งซิกจ่ายปันผลสูงกว่าปีก่อน ในขณะที่โบรกเกอร์มองเส้นเทคนิคสดใส แนะทยอยซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย x บาท เป็นต้น

แน่นอนว่า การตั้งกองทุนดังกล่าวย่อมจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทที่นำสินทรัพย์เข้ากองทุน แต่นักลงทุนเคยสงสัยบ้างมั้ยว่าทำไมตั้งกองแล้วราคาหุ้นจึงขึ้น ทำไมตั้งกองทุนแล้วจึงจ่ายเงินปันผลได้ ทำไมตั้งกองทุนแล้วจึงมีกำไร แล้วตั้งกองทุนแล้วราคาหุ้นขึ้น จ่ายปันผลได้ มีกำไรทุกกรณีจริงหรือไม่

"พอมีข่าวออกมาราคาหุ้นก็ขยับ นักลงทุนก็เข้าไปลงทุนกันแล้วทั้งที่เป็นเพียงแค่มติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น หรือเป็นเพียงแผนเท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่าทางนักวิเคราะห์เองก็ต้องทำการประเมินผลที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่โครงสร้างของกองทุนที่จะจัดตั้งเองนั้นยังไม่เกิดและจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจัดตั้งโครงสร้างกองทุนก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอด จึงอยากให้นักลงทุนตลาดจนนักวิเคราะห์ทำความเข้าใจโครงสร้างของกองทุนและผลกระทบก่อนตัดสินใจลงทุนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า"

@ ตั้งกองทุนกระทบได้ทั้งบวกและลบขึ้นอยู่กับรูปแบบ โดย ธวัชชัย ยังบอกอีกว่า นั่นคือเหตุผลที่ทางสำนักงาน ก.ล.ต. มีความเป็นห่วงต่อนักลงทุน โดยการจัดตั้งกองทุนนั้นปกติจะทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ 1) การลงทุนทางตรงในทรัพย์สิน และ 2) การลงทุนในสัญญาแบ่งรายได้ ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทที่นำทรัพย์สินเข้ากองทุนแตกต่างกัน ในส่วนของการลงทุนทางตรงในทรัพย์สินนั้นตรงไปตรงมากองทุนก็จะเข้าไปซื้อทรัพย์สินจากเจ้าของเข้ากองทุน เจ้าของทรัพย์สินจะขายขาดทรัพย์สินนั้นเข้ากองทุนไปตรงๆ หากบริษัทที่จัดตั้งกองทุนมีการขายขาดในทรัพย์สินออกมาให้กองทุน ในลักษณะเช่นนี้จะส่งผลบวกต่องบดุลของบริษัทใน "เชิงบวก"

ตัวอย่าง เดิมบริษัทมีสินทรัพย์รวม 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์สินที่จะนำเข้ากองทุน 8,000 ล้านบาท และมีสินทรัพย์อื่นอีก 3,000 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินกู้ 10,000 ล้านบาท และทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท เมื่อขายสินทรัพย์ 8,000 ล้านบาท เข้ากองทุนไป สมมติขายได้ 20,000 ล้านบาท บริษัทจะมีกำไร 12,000 ล้านบาท (ขาย 20,000 ล้านบาท - ต้นทุน 8,000 ล้านบาท)

"จะเห็นว่าการขายขาดนั้น ทำให้งบดุลของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นโดยสินทรัพย์จะเพิ่มเป็น 23,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 20,000 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นอีก 3,000 ล้านบาท ในขณะที่ฝั่งหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้นจะมีกำไรสะสมเพิ่มเข้ามา 12,000 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจากเดิม 10 เท่า เหลือ 0.77 เท่า แบบนี้ก็จะส่งผลดีต่อฐานะการเงินของบริษัทที่จัดตั้งกองทุน"

@ ผลต่องบการเงิน (กรณีกู้ยืม) ธวัชชัย อธิบายต่อว่า แต่หากกองทุนเข้าไปลงทุนในรูปแบบที่สอง คือ เข้าไปลงทุนในสัญญาแบ่งรายได้ทางบริษัทจะทำสัญญาให้สิทธิในส่วนแบ่งรายได้กับกองทุน กองทุนก็จะได้รับชำระเงินตามสัญญาให้สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ไป แต่ทรัพย์สินยังเป็นของบริษัทอยู่ไม่ได้เป็นของกองทุนแต่ประการใด ในกรณีเช่นนี้เสมือนหนึ่ง การให้กู้ยืมทรัพย์สินกับกองทุนเท่านั้น ในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อฐานะการเงินของบริษัทนั้นแต่ประการใด

จากตัวอย่างเดิม หากบริษัทนำทรัพย์สิน 8,000 ล้านบาท นำเข้ากองทุนโดยทำสัญญาเช่าทางการเงินแทนเป็นเงิน 20,000 ล้านบาท บริษัทจะได้เงินจากกองทุนมา 20,000 ล้านบาท ตรงนี้ไม่ใช่กำไรแต่จะบันทึกมาในฝั่งของหนี้สิน 20,000 ล้านบาท ไม่มีกำไร จ่ายปันผลไม่ได้ และยังทำให้สัดส่วน D/E เพิ่มขึ้นจาก 10 เท่า เป็น 30 เท่า อีกด้วย จะเห็นว่าหากการนำทรัพย์สินเข้ากองทุนเป็นลักษณะหลังนี้จะส่งผลต่อฐานะการเงินของบริษัทใน "เชิงลบ" ได้เช่นกัน

"ดังนั้นการจัดตั้งกองทุนจึงส่งผลทั้งบวกและลบกับตัวบริษัทได้ ขึ้นกับว่าจัดตั้งด้วยการนำทรัพย์สินเข้ากองทุนในลักษณะไหน ตรงนี้เป็นสิ่งที่อยากจะฝากให้นักวิเคราะห์ตลอดจนนักลงทุนได้พิจารณาดูก่อนจะลงทุน ซึ่งแค่การมีมติผู้ถือหุ้นให้จัดตั้งแล้วมาวิเคราะห์ประเมินนั้นอาจจะเร็วไปหรือไม่ เพราะระหว่างทางก่อนจะมีการอนุญาตให้จัดตั้งกองทุนได้ในที่สุดโครงสร้างต่างๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอด จนกว่าจะจัดตั้งจริงๆ แต่ก็อยากจะฝากให้นักลงทุนตระหนักในเรื่องนี้ด้วย แต่โดยหลักแล้วบริษัทที่จะจัดตั้งกองทุนก็อยากจะทำให้หน้าตาของงบการเงินออกมาดูดีด้วยกันทั้งนั้น"

@ หลักการพิจารณา ธวัชชัย ยังบอกอีกว่า การจะดูว่าเป็นการขายขาดหรือเป็นรูปแบบของสัญญาเช่าการเงินซึ่งเสมือนหนึ่งการให้กู้ยืมนั้น ให้พิจารณาดู "ความเสี่ยง" และ "ผลตอบแทน" ที่มีนัยสำคัญในความเป็นเจ้าของ ซึ่งกรณีขายขาดจะเข้าใจง่ายเพราะเมื่อบริษัทขายทรัพย์สินเข้ากองทุนแล้วทรัพย์สินนั้นก็จะเป็นของกองทุน กองทุนจะนำไปขายต่อเงินที่ได้ก็จะเข้ากองทุนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทเจ้าของแล้ว แต่ถ้าเป็นสัญญาเช่าระยะยาวทรัพย์สินยังเป็นของเจ้าของเหมือนเดิมซึ่ง "สัญญาเช่าการเงิน" นั้นจะโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่เจ้าของพึงได้รับในทรัพย์สินที่เช่าไปให้ผู้เช่าไม่ว่าในที่สุดจะมีการโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่ก็ตาม

ตัวอย่างของสถานการณ์ที่เข้าข่ายเป็นสัญญาเช่าการเงิน ได้แก่ 1) กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าโอนไปให้ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดสัญญา 2) ผู้เช่ามีสิทธิทรัพย์สินในราคาต่ำกว่าราคาตลาด 3) อายุสัญญาเช่าครอบคลุมอายุการใช้งานส่วนใหญ่ 4) มูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าขั้นต่ำที่ต้องจ่ายตามสัญญาใกล้เคียงหรือสูงกว่ามูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สินที่เช่า และ 5) ทรัพย์สินมีลักษณะเฉพาะจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้ทรัพย์สินนั้นได้ หากเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งใน 5 ข้อนี้ก็ถือเป็นลักษณะของสัญญาเช่าการเงินเช่นกัน

"ทั้งนี้ ทางสำนักงาน ก.ล.ต.เองก็จะมีการพูดคุยกับบริษัทที่สนใจจะจัดตั้งกองทุนอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกันถึงรูปแบบและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตลอดจนการบันทึกบัญชีที่ควรจะเป็น เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลังเวลาประกาศงบบริษัทจดทะเบียนแล้วไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น จนต้องให้แก้ไขงบในลักษณะเช่นนั้น ก็จะพยายามคุยกันตั้งแต่ต้น แต่ถามว่ารูปแบบเป็นลักษณะไหนนั้น ดูจากงบการเงินจะชัดเจนที่สุดตอนที่ประกาศงบออกมาแล้ว หรือเมื่อทางสำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติจัดตั้งกองทุนตอนนั้นรูปแบบกองทุนก็ค่อนข้างนิ่งเช่นกัน"

ทั้งหมดนี้ คงช่วยให้นักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแผนจัดตั้ง "กองทุนอสังหาริมทรัพย์" หรือ "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" มีความเข้าใจถึงตัวบริษัทได้มากขึ้นไม่มากก็น้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่