.....ผมมองความว่าขัดแย้งรอบล่าสุดที่อุบัติขึ้นในเมืองไทย ว่าเป็นสงครามชนชั้น ของพวกชนชั้นสูงกับชนชั้นกลางยุคเก่า ที่ตั้งป้อมกีดกันอำนาจรัฐบาลที่มาจากชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางยุคใหม่(ชนชั้นรากหญ้าบางส่วนที่พัฒนาขึ้นจากนโยบายรัฐบาลสีแดง)
ซึ่งถ้าแบ่งคนสองจำพวกนี้ตามลักษณะความต้องการทางการเมือง ก็คงต้องจัดให้ชนชั้นสูงกับชนชั้นกลางยุคเก่า เป็นพวกขวาจัด “อนุรักษ์นิยม” หรือกลุ่มคติอนุรักษ์ (Conservatism) ความหมายของคำว่าอนุรักษ์นิยมในสากล หมายถึง ความยึดถือสิ่งดีงามในอดีต นัยทางปรัชญาการเมือง เปรียบ อนุรักษ์นิยม กับผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ โดยยึดถือในกฎเกณฑ์ ค่านิยม จารีตประเพณี ที่มีอยู่เดิมเป็นหลักในการปกครอง
แต่ความหมายในประเทศไทยแตกต่างไม่เหมือนกับสากลอยู่บ้าง ตรงที่แบบสากลนั้น พวกแนวคิดอนุรักษ์นิยม จะเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงกับ แนวคิดปฏิวัติ (Revolution) ซึ่งหมายถึง การถอดรื้อโครงสร้างแบบเดิมออกไปทั้งหมด และสอดใส่โครงสร้างใหม่ลงไปแทน ในทางการเมือง แต่พวกอนุรักษ์นิยมในเมืองไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกขวาจัดในเมืองไทย ปากเชิดชูความดีและคนดี ต่อต้านการทุจริตและตนโกง
แต่ก็แปลก ที่พยายามทำทุกวิธีเพื่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอำนาจ
ส่วนพวกชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางยุคใหม่ก็ต้องจัดให้เป็นพวกซ้ายตกขอบ แต่ก็ยังต่างกับแบบสากลอีกเช่นกัน เพราะพวกการเมืองฝั่งซ้ายนั้น คือ กลุ่มสังคมนิยม เป็นกลุ่มการปกครองที่เน้นสังคมส่วนรวมเป็นหลัก การดำเนินงานจะอาศัยเจตจำนงของประชาชนข้างมากเป็นที่ตั้ง เพื่อดำเนินงานปกครอง ประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยมจ๋า ถือเป็นประเทศที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์(Communism) ซึ่งส่วนใหญ่เน้นใช้อำนาจกำลังทหารปกครองบ้านเมือง
แต่พวกซ้ายตกขอบหรือพวกชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางยุคใหม่ในเมืองไทย แปลกที่พวกเขา
ไม่ได้ต้องการ การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ กลับขยะแขยงและเกลียดกลัวกับการใช้กำลังทหารเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแค่ต้องการรัฐบาลที่สามารถจัดสรรและแบ่งปันผลประโยชน์ ในทั่วถึงกับทุกชนชั้นในสังคม มิได้ตกอยู่กับกลุ่มคนชนชั้นใดชั้นหนึ่งเหมือนในอดีตที่เคยเป็นมา ซึ่งจะใช้ชื่อเรียกที่เหมาะสมแล้ว คนกลุ่มนี้ในเมืองไทย ถือเป็นพวกเอียงซ้ายเท่านั้น ไม่ถึงกับ ซ้ายตกขอบ
และความคิดของพวกขวาจัดในเมืองไทย ก็อาจเป็นที่เดียวในโลกนี้ ที่จำพวกที่คิดต่างและเหยียดหยามว่าเป็น “คนโง่” เชิดชูให้คนที่มีแนวคิดและแสดงออกถึงความรังเกียจอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็น “คนดี”
และฝ่ายขวาจัดก็ยังคงพยายามทำให้เมืองไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ด้วยการอ้าง”เสียงส่วนน้อย” มีความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจรัฐมากกว่า “เสียงส่วนมาก”
หลายๆความเห็นจากพวกขวาจัดก็เป็นความคิดที่แปลกประหลาดในสังคมระบอบประชาธิปไตย เช่น ให้คนมีการศึกษาในระดับปริญญาหรือสูงกว่า สามารถมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้มากกว่า คนที่มีการศึกษาน้อย เช่น ปริญญาตรีออกเสียงลงคะแนนได้ 1.2 คะแนน ปริญญาโทได้ 1.4 คะแนน ปริญญาเอกได้ 1.6 คะแนน ต่ำกว่าปริญญาได้ 1.0 คะแนน
หรือความเห็นที่ใช้ระดับการเสียภาษี มาจัดเรทคะแนนที่แต่ละคนจะใช้สิทธิออกเสียง ซึ่งความเห็นเหล่านี้ หากไปกล่าวในชาติประชาธิปไตยอื่นๆ เขาจะคงบอกว่า
“บ้าไปแล้ว” ซึ่งถ้าจะให้กล่าวขอบคุณ(หรือด่า) ก็คงต้องยกให้พรรคการเมืองเก่าแก่อย่าง พรรคประชาธิปัตย์และมวลมหาประชาชนที่สนับสนุนพรรคนี้ ที่ทำให้ประเทศเราเป็น
“ชาติตัวตลกในสายตาชาวโลก”
แต่นั้นแหละครับ สิ่งนี้ที่ประเทศเราเป็นอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้ประเทศของเรา
เป็นชาติ Thailand Only
บทความการเมือง ขวาจัด เอียงซ้าย Thailand Only
ซึ่งถ้าแบ่งคนสองจำพวกนี้ตามลักษณะความต้องการทางการเมือง ก็คงต้องจัดให้ชนชั้นสูงกับชนชั้นกลางยุคเก่า เป็นพวกขวาจัด “อนุรักษ์นิยม” หรือกลุ่มคติอนุรักษ์ (Conservatism) ความหมายของคำว่าอนุรักษ์นิยมในสากล หมายถึง ความยึดถือสิ่งดีงามในอดีต นัยทางปรัชญาการเมือง เปรียบ อนุรักษ์นิยม กับผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ โดยยึดถือในกฎเกณฑ์ ค่านิยม จารีตประเพณี ที่มีอยู่เดิมเป็นหลักในการปกครอง
แต่ความหมายในประเทศไทยแตกต่างไม่เหมือนกับสากลอยู่บ้าง ตรงที่แบบสากลนั้น พวกแนวคิดอนุรักษ์นิยม จะเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงกับ แนวคิดปฏิวัติ (Revolution) ซึ่งหมายถึง การถอดรื้อโครงสร้างแบบเดิมออกไปทั้งหมด และสอดใส่โครงสร้างใหม่ลงไปแทน ในทางการเมือง แต่พวกอนุรักษ์นิยมในเมืองไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกขวาจัดในเมืองไทย ปากเชิดชูความดีและคนดี ต่อต้านการทุจริตและตนโกง แต่ก็แปลก ที่พยายามทำทุกวิธีเพื่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอำนาจ
ส่วนพวกชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางยุคใหม่ก็ต้องจัดให้เป็นพวกซ้ายตกขอบ แต่ก็ยังต่างกับแบบสากลอีกเช่นกัน เพราะพวกการเมืองฝั่งซ้ายนั้น คือ กลุ่มสังคมนิยม เป็นกลุ่มการปกครองที่เน้นสังคมส่วนรวมเป็นหลัก การดำเนินงานจะอาศัยเจตจำนงของประชาชนข้างมากเป็นที่ตั้ง เพื่อดำเนินงานปกครอง ประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยมจ๋า ถือเป็นประเทศที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์(Communism) ซึ่งส่วนใหญ่เน้นใช้อำนาจกำลังทหารปกครองบ้านเมือง
แต่พวกซ้ายตกขอบหรือพวกชนชั้นรากหญ้าและชนชั้นกลางยุคใหม่ในเมืองไทย แปลกที่พวกเขาไม่ได้ต้องการ การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ กลับขยะแขยงและเกลียดกลัวกับการใช้กำลังทหารเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแค่ต้องการรัฐบาลที่สามารถจัดสรรและแบ่งปันผลประโยชน์ ในทั่วถึงกับทุกชนชั้นในสังคม มิได้ตกอยู่กับกลุ่มคนชนชั้นใดชั้นหนึ่งเหมือนในอดีตที่เคยเป็นมา ซึ่งจะใช้ชื่อเรียกที่เหมาะสมแล้ว คนกลุ่มนี้ในเมืองไทย ถือเป็นพวกเอียงซ้ายเท่านั้น ไม่ถึงกับ ซ้ายตกขอบ
และความคิดของพวกขวาจัดในเมืองไทย ก็อาจเป็นที่เดียวในโลกนี้ ที่จำพวกที่คิดต่างและเหยียดหยามว่าเป็น “คนโง่” เชิดชูให้คนที่มีแนวคิดและแสดงออกถึงความรังเกียจอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็น “คนดี”
และฝ่ายขวาจัดก็ยังคงพยายามทำให้เมืองไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ด้วยการอ้าง”เสียงส่วนน้อย” มีความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจรัฐมากกว่า “เสียงส่วนมาก”
หลายๆความเห็นจากพวกขวาจัดก็เป็นความคิดที่แปลกประหลาดในสังคมระบอบประชาธิปไตย เช่น ให้คนมีการศึกษาในระดับปริญญาหรือสูงกว่า สามารถมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้มากกว่า คนที่มีการศึกษาน้อย เช่น ปริญญาตรีออกเสียงลงคะแนนได้ 1.2 คะแนน ปริญญาโทได้ 1.4 คะแนน ปริญญาเอกได้ 1.6 คะแนน ต่ำกว่าปริญญาได้ 1.0 คะแนน
หรือความเห็นที่ใช้ระดับการเสียภาษี มาจัดเรทคะแนนที่แต่ละคนจะใช้สิทธิออกเสียง ซึ่งความเห็นเหล่านี้ หากไปกล่าวในชาติประชาธิปไตยอื่นๆ เขาจะคงบอกว่า “บ้าไปแล้ว” ซึ่งถ้าจะให้กล่าวขอบคุณ(หรือด่า) ก็คงต้องยกให้พรรคการเมืองเก่าแก่อย่าง พรรคประชาธิปัตย์และมวลมหาประชาชนที่สนับสนุนพรรคนี้ ที่ทำให้ประเทศเราเป็น “ชาติตัวตลกในสายตาชาวโลก”
แต่นั้นแหละครับ สิ่งนี้ที่ประเทศเราเป็นอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้ประเทศของเรา เป็นชาติ Thailand Only