สุดปลายฝัน บทที่ ๖

กระทู้สนทนา
บทก่อนหน้า
บทนำ   http://pantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://pantip.com/topic/31298274

ณัฐญาณ์เริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่สถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์มากขึ้น ทุก ๆ วันหญิงสาวจะตื่นมาเตรียมตัวโดยมีเอลานอร์คอยช่วยเหลือ หลังจากแต่งตัวเสร็จ ก็จะเข้าไปพบกับเจ้าของบ้านหนุ่มที่มักจะรออยู่ที่ห้องอาหารแล้วเสมอ และทุกครั้งที่เห็นเธอเดินเข้าไป ชายหนุ่มก็จะลุกขึ้นต้อนรับ รับหมวกและถุงมือจากมือเธอไปวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ โต๊ะอาหารให้ และเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ ในตอนแรกณัฐญาณ์รู้สึกว่าเขามีพิธีรีตองมากเกินไป คนอยู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ ไม่ใช่แขกแปลกหน้าที่ไหน แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านกันมาเดือนกว่า ๆ หญิงสาวก็ทราบว่า ทุกอย่างที่ชายหนุ่มทำ เป็นการกระทำโดยธรรมชาติของเขา ไม่ว่าจะกับเธอหรือกับใคร เขาก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน นอกจากนี้เธอยังสังเกตว่า วิลเลียม แคมพ์เบลล์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างให้เกียรติเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้อย่างเอลานอร์ หรือคนงานในสถานีแปรรูปวาฬของเขา ชายหนุ่มจะพูดด้วยอย่างนุ่มนวลและให้เกียรติ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะเห็นเขาขึ้นเสียงใส่ใคร จนบางทีหญิงสาวก็สงสัยว่าเขาเคยโกรธใครเป็นหรือเปล่า

หลังรับประทานอาหารเช้า ชายหนุ่มจะเดินไปส่งเธอยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ไม่ห่างบ้านมากนัก ก่อนที่จะกลับไปทำงานยังสถานีแปรรูป เมื่อไปถึงโรงเรียน หญิงสาวจะดื่มชากับเอลิซาเบธ จากนั้นจะฝึกตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งจนบัดนี้ เดือนกว่า ๆ แล้วที่เธอเรียนการตัดเย็บ แต่หญิงสาวก็ยังไม่สามารถเย็บเสื้อผ้าได้ด้วยตนเอง เอลานอร์ยังคงต้องช่วยเธอตัดเสื้ออยู่ตลอด จนหญิงสาวเริ่มท้อใจ บางทีเธออาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อตัดเสื้อใส่เองกระมัง

ในตอนนี้ นอกจากจะเป็นนักเรียนแล้ว ณัฐญาณ์ยังมีตำแหน่งเป็นคุณครูในโรงเรียนแห่งนี้อีกตำแหน่งด้วย หญิงสาวจะสลับชั่วโมงสอนกับเอลิซาเบธ เมื่อภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์สอนการเรือน ณัฐญาณ์ก็จะสอนอ่านเขียน จนเมื่อหมดชั่วโมงเรียน สองหญิงต่างภพก็จะนั่งดื่มชาและพูดคุยกัน ณัฐญาณ์ใช้เวลาเรียนรู้ขนบธรรมเนียม ความคิดความเชื่อของผู้คนที่นี่ผ่านบทสนทนากับผู้เป็นครู และเริ่มสนิทสนมกับหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเพื่อนสนิทของชายหนุ่มเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬ จนเริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนที่นี่และโหยหาชีวิตที่จากมาน้อยลง มีเพียงความคิดถึงมารดาเท่านั้นที่ไม่จางลงเลย แต่เธอก็พยายามจะไม่คิดถึงมารดาให้มากนัก เพราะรู้ดีว่ายังต้องใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่อไปอีกนาน

“คุณอาจจะมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะคะ นาทาย่าห์” เอลิซาเบธบอกกับเธอในตอนหนึ่งขณะนั่งคุยกัน

“แขก... ใครหรือคะ” ใครจะมาเยี่ยมเธอถึงบ้าน นอกจากคนที่สถานีแปรรูปแล้วเธอก็ไม่รู้จักใครเลยนี่นา

“สุภาพสตรีในเมืองพอร์ทแคมพ์เบลล์นี่ล่ะค่ะ เมื่อคนในเมืองรู้ว่าคุณมาใหม่ พวกเธอก็จะมาทำความรู้จักน่ะค่ะ เป็นธรรมเนียมของเรา” เอลิซาเบธอธิบาย ใบหน้าระบายยิ้มขัน เมื่อมองเห็นสีหน้าตระหนกของคนฟัง

“คุณไม่จำเป็นต้องต้อนรับก็ได้หากไม่พร้อมหรือไม่อยากรับแขก พวกเธอจะเข้าใจ และไม่ถือว่าเสียมารยาท แต่หากคุณจะรับแขก ปกติเราก็จะต้อนรับด้วยน้ำชา”

“ฉันควรจะรับแขกหรือคะ” หญิงสาวมาจากสังคมที่แม้แต่เพื่อนบ้านยังไม่เคยคุยกัน จึงไม่สะดวกใจที่จะต้อนรับแขกที่ไม่รู้จักที่บ้าน แต่ถ้ามันเป็นธรรมเนียมของคนที่นี่ เธอก็คงจะต้องปฏิบัติตาม อย่างที่ท่านว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม กระมัง

“คุณอาศัยอยู่ที่สถานีแปรรูปของวิลเลียม เขาเป็นคนที่คนทั้งเมืองรู้จัก จึงทำให้ใคร ๆ อยากมาทำความรู้จักกับคุณ และฉันคิดว่า คุณควรจะแสดงตัวต่อคนอื่นด้วยการรับแขกด้วยค่ะ หากวิลเลียมไม่ใช่คนสำคัญในเมืองนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักใครก็ได้”

เมื่อหญิงสาวผู้รู้ธรรมเนียมบอกกับเธอเช่นนั้น ณัฐญาณ์ก็เห็นว่าคงจะหาทางเลี่ยงไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นที่รู้จักของคนทั้งเมืองตามคำพูดของเอลิซาเบธขายหน้าเพราะเธอก็แล้วกัน

ตอนบ่ายเอลานอร์จะเป็นคนเดินมารับหญิงสาวที่โรงเรียน เพราะกว่าชายหนุ่มจะเสร็จงานที่สถานีก็ค่ำมืดเกือบถึงเวลาอาหารเย็น เธอจึงไม่อยากรบกวนเขา และขอให้เอลานอร์มารับแทน

ใครจะไปนึกเล่าว่าจะต้องมีพี่เลี้ยงไปรับไปส่งในตอนที่อายุเกือบสามสิบแบบนี้ หญิงสาวเคยนึกกับตนเองอย่างขบขัน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เอลานอร์จะจัดการต้มกาแฟให้กับเธอ หญิงสาวจะนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือ รอจนกว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านกลับมาจากทำงาน นั่งคุยกันสักพัก จากนั้นก็รับประทานอาหารเย็น หลังจากอาหารเย็นก็จะนั่งคุยสัพเพเหระกับชายหนุ่มต่อเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะแยกตัวไปนอน ในขณะที่เขาจะเข้าไปทำงานต่อในห้องทำงาน

แม้จะมีอะไรให้ทำบ้าง แต่ณัฐญาณ์ก็ยังรู้สึกว่าตนเองมีเวลามากมายจนรู้สึกเหมือนกับอยู่ไปวัน ๆ อย่างไร้ค่า แม้เธอจะช่วยเอลิซาเบธสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน แต่ก็เพียงสัปดาห์ละสามวันเฉพาะวันที่เอลิซาเบธมาทำงานที่โรงเรียนเท่านั้น วันอื่น ๆ ภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ ก็ทำธุระส่วนตัวอย่างอื่น ซึ่งก็กลายเป็นวันว่างของหญิงสาว เคยลองพยายามจะฝึกตัดเย็บโดยให้เอลานอร์ช่วย สุดท้ายก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ผ่านมาเดือนกว่าแล้วเธอก็ยังทำได้แค่เย็บผ้าเป็นชิ้น ๆ อยู่นั่นเอง สุดท้ายเลยยึดห้องสมุดของเจ้าของบ้าน ซึ่งมีหนังสือที่น่าสนใจมากมายให้อ่าน จึงทำให้เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างไม่น่าเบื่อมากนัก


บ่ายนี้ก็เป็นอีกวันที่ณัฐญาณ์เข้ามายึดพื้นที่ในห้องสมุดของชายหนุ่ม หญิงสาวยกถ้วยกาแฟที่มีกลิ่นหอมฟุ้งและรสชาติขื่นลิ้นขึ้นดื่มขณะนั่งเอน ๆ อ่านหนังสือ ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ที่บ้าน เพราะในวันที่ว่างจากงาน เธอก็มักจะนอนอ่านหนังสือพร้อม ๆ กับจิบกาแฟไปด้วยเสมอ

ณัฐญาณ์มองถ้วยกาแฟในมือแล้วต้องยิ้ม หลังจากที่เมียงมองในครัวแล้วไม่พบว่ามีกาแฟเก็บไว้ตรงไหนเลย หญิงสาวจึงถามเจ้าของบ้าน แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเขาตอบว่า ที่นี่ไม่มีใครดื่มกาแฟ ตอนแรกหญิงสาวเข้าใจว่าในเวลานี้อาจจะไม่มีกาแฟในออสเตรเลีย แต่ชายหนุ่มกลับบอกกับเธออีกอย่าง

“ถ้าในครอบครัวที่บรรพบุรุษมาจากทางอิตาลี เขาจะมีกาแฟกัน แต่บรรพบุรุษของผมมาจากอังกฤษ เราจึงดื่มชามากกว่า คุณไม่ชอบชาหรือ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกค่ะ ดื่มชาก็ดื่มได้ แต่ฉันก็ชอบดื่มกาแฟด้วย จริง ๆ แล้วฉันดื่มกาแฟบ่อยกว่าชา ผู้คนที่บ้านเมืองฉันจะนิยมกาแฟมากกว่า”
จำได้ว่าตอบเขาไปเช่นนั้น จากนั้นก็ลืมไปแล้ว คิดว่าคงจะเป็นอีกอย่างที่ต้องปรับตัว ชีวิตที่ปราศจากกาแฟ แต่แล้วเพียงสองสัปดาห์ให้หลัง ชายหนุ่มก็ยื่นกระปุกบางอย่างให้กับเธอ

“อะไรหรือคะ”

“เปิดดูสิ” เขาไม่ตอบ หากบอกให้เธอเปิดกระปุกดู เขายิ้มจาง ๆ แต่นัยน์ตาเป็นประกาย... ประกายของความตื่นเต้น??

เมื่อเธอเปิดกระปุกตามที่ชายหนุ่มบอก ก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้นและคาดไม่ถึงโดยไม่จำเป็นต้องมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน เพราะกลิ่นหอมอวลที่โชยออกมากระทบจมูก คือกลิ่นคุ้นจมูกของ...

“กาแฟ!”

ชายหนุ่มยิ้มราวกับเอ็นดูท่าทางดีใจเหมือนเด็ก ๆ ของเธอ

“คุณไปได้มาจากไหนคะ” ถามพลางยกกระปุกกาแฟขึ้นสูดเอากลิ่นหอมของกาแฟเข้าปอด

“ให้เพื่อนฝูงทางเมลเบิร์นส่งมาให้ เรื่อเพิ่งเทียบท่าเมื่อเช้านี่เอง” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมคิดว่าเอลานอร์คงจะต้มกาแฟไม่เป็น คุณต้มเป็นไหม” จำได้ว่าเขาถามน้ำเสียงไม่แน่ใจ เขาคิดว่าเธอจะต้มกาแฟไม่เป็นเหมือนอย่างที่ตัดเสื้อไม่เป็นหรือเปล่านะ จึงค้อนเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“เป็นสิคะ สิ่งแรกที่ฉันทำหลังตื่นนอนคือทำกาแฟ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณคงสอนเอลานอร์ได้”
ชายหนุ่มว่า

และหลังจากวันนั้นเธอก็มีกาแฟดื่มทุกวัน ณัฐญาณ์สอนแม่บ้านต้มกาแฟเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นเอลานอร์ก็สามารถต้มกาแฟออกมาได้อย่างถูกใจเธอที่สุด

“ผมเข้าไปได้ไหม” เสียงทุ้มที่ส่งมาจากหน้าประตูห้องสมุด เรียกให้หญิงสาวหันไปมอง รู้สึกใบหน้าร้อนวูบขึ้นเล็กน้อย เธอกำลังนึกถึงเขาอยู่ เขาก็มายืนอยู่ตรงนี้ราวกับรู้ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เขาควรจะอยู่ที่สถานีต่างหาก

ณัฐญาณ์ลุกขึ้นยืนพลางกล่าวตอบ

“เข้ามาสิคะ วันนี้คุณกลับเร็ว” กล่าวอนุญาตและพูดเป็นเชิงถาม ชายหนุ่มกลับบ้านเร็วกว่าปกติหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามายังโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่เมื่อสักครู่ สายตามองลงไปที่หนังสือและถ้วยกาแฟ อมยิ้มนิด ๆ

“ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า”

“ไม่หรอกค่ะ นั่งก่อนสิคะ ฉันจะไปหาอะไรมาให้ดื่ม” ว่าพลางขยับตัวเพื่อเดินตรงไปยังประตู หากแต่กำลังจะเดินผ่านชายหนุ่ม ก็ถูกคนตัวสูงกว่าคว้าแขนไว้ หญิงสาวก้มลงมองมือใหญ่ที่จับแขนเธออยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ เห็นนัยน์ตาสีฟ้าเข้มที่ฉายแววที่อ่านไม่ออก เมื่อสายตาสบกัน ชายหนุ่มมีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อยพลางปล่อยมือ

“นั่งเถอะครับแนท ผมจะเรียกเอลานอร์เอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเป็นผู้หญิง ควรจะปรนนิบัติคุณไม่ใช่หรือคะ” ชายหนุ่มมองคนพูดอย่างพิจารณา เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังประชดประชันเขาอยู่หรือเปล่า หญิงสาวย้ำเสมอว่าเธอมาจากบ้านเมืองที่หญิงชายเท่าเทียมกัน และดูเหมือนจะไม่ถูกใจแนวคิดที่ว่าผู้หญิงถูกอบรมเลี้ยงดูมาเพื่อปรนนิบัติผู้ชายมากนัก หากแต่พบเพียงนัยน์ตาฉายแววจริงใจของเธอเท่านั้น ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ พอใจอะไรเขาก็ตอบตนเองไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นผมขอดื่มกาแฟกับคุณก็แล้วกัน”

“รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

วิลเลียมทอดสายตาตามร่างบาง หญิงสาวอยู่ในชุดกระโปรงทรงสุ่มยาวกรอมเท้าอย่างที่หญิงสาวทั่วไปใส่ ร่างระหงเดินไปด้วยหลังตั้งตรง จังหวะก้าวสม่ำเสมอ ไม่เร็วจนดูไม่งาม แต่ก็ไม่ช้าจนเนิบนาบ เป็นท่วงท่าละมุนตาที่เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของเขาได้ เมื่อมองตามหลังเช่นนี้ ไม่สามารถบอกได้เลยว่าหญิงสาวไม่ใช่คนในสังคมเดียวกับเขา เพราะเธอดูกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้คนที่นี่เหลือเกิน โดยเฉพาะกับบ้านหลังนี้ ที่เขารู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากขึ้น นับตั้งแต่มีเธออาศัยอยู่

ชายหนุ่มเริ่มคุ้นเคยกับการกลับมาจากทำงานแล้วพบว่ามีหญิงสาวรออยู่ที่บ้าน เขาชอบฟังเธอพูดถึงบ้านเมืองที่เธอจากมา ในขณะเดียวกันก็ชอบที่จะให้เธอเล่าถึงกิจกรรมที่เธอทำในแต่ละวัน เขารู้สึกว่าเธอพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมของเขา และเพียงเดือนกว่า ๆ หญิงสาวก็ดูไม่แตกต่างกับผู้คนที่นี่แล้ว แต่เขารู้ว่า ความรู้สึกนึกคิดภายใน เธอยังมีความคิดความเชื่ออย่างคนสมัยใหม่อย่างที่เติบโตมา แต่ก็รู้ควรไม่ควรพอที่จะไม่ต่อต้านความคิดที่คนในสมัยเขาเห็นว่าดีงาม และพยายามปฏิบัติตามขนบความเชื่อเหล่านั้นโดยไม่เกี่ยงงอน ซึ่งทำให้เขาชื่นชมเธออยู่ในใจ

เขาไม่เคยรู้... ว่าบ้านที่มีผู้หญิงอยู่จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างเช่นนี้ เขาอยู่คนเดียวมานาน นับตั้งแต่เรือล่มใกล้ชายฝั่งแห่งนี้ สิบปีที่เขาพยายามพิสูจน์ตัวเอง ว่าเขาเป็นนายเรือได้ เขาสามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากบิดา สิบปีที่เขาไม่ได้ใส่ใจมองหาผู้หญิงมาประดับเรือน เพราะเขารู้ตัวเองดีว่า ความสนใจของเขามีให้แต่ธุรกิจแปรรูปวาฬที่เขาทำอยู่เท่านั้น หากเขาจะหาผู้หญิงมาเป็นภรรยาสักคน ก็คงเพียงแต่หาสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม เอาเธอมาประดับเป็นคุณผู้หญิงของบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่สมควรและถึงเวลาเท่านั้น โดยที่เขาไม่มีความรักความเอาใจใส่ให้ เพราะหัวใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ธุรกิจที่เขาสร้างมา และชายหนุ่มไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะรู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงคนนั้นเอาเสียเลย เขาจึงอยู่คนเดียวตลอดมา และคิดว่าบ้านไม่จำเป็นต้องมีผู้หญิงก็ไม่เห็นเป็นอะไร จนกระทั่งเธอเข้ามาในชีวิตเขา เข้ามาเป็นสีสันของบ้าน ทำให้เขาอยากกลับบ้านเพราะรู้ว่ามีใครอีกคนรออยู่ ไม่ใช่เห็นบ้านเป็นเพียงที่ซุกหัวนอนอย่างที่เคยเป็นตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปยังที่ที่เธอจากมา เขาคง... คง... คิดถึงเธอ ชายหนุ่มยอมรับกับตนเองในที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่