credit : bangkokbiznews.com
------
ไขเคล็ดลับกุญแจสู่ความสำเร็จด้านการเงิน ของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" ด้วยการสร้างวินัยในการออม ใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสุข และรู้จักพอเพียง
"ความสำเร็จในการออมคือวินัยที่เราสร้างขึ้น จัดพอร์ตให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต ผลตอบแทนจะตามมา หากไม่มีวินัยก็ไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินจะต่อยอดยังไง เพราะการลงทุนเป็นการต่อยอด อย่าหวังรวยจากการลงทุน เรื่องแบบนี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะซึ่งโลกนี้ทำได้จริงไม่กี่คน ไม่งั้นคนก็รวยทั่วโลก"
นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จทางด้านการเงินของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย หนึ่งในผู้ที่คิดค้นหาแนวทางการออมการลงทุนให้ลูกค้ากลุ่มผู้มีอันจะกินของธนาคารระดับภูมิภาคแห่งนี้ หรือ CIMB Preferred นั้นเอง
แต่ในมุมชีวิตส่วนตัวแล้วอดิศรวางแผนการเงินของตัวเองให้ล้อไปกับเป้าหมายชีวิตในแต่ละจังหวะที่ดำเนินไป แม้ว่าจุดเริ่มต้นการออมของเขาไม่ได้วางรากฐานมายาวนาน แต่เริ่มต้นขึ้นพร้อม ๆ ไปกับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวนั่นเอง ในวันที่เขาค้นพบว่าการสร้างเรือนหอที่ต่อเติมจากบ้านของพ่อแม่นั้นได้ทำให้เงินในบัญชีที่เขาพอจะมีก่อนแต่งงานหมดเกลี้ยงไปซะแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยวางเป้าหมายทางการเงินไว้เลย
เขายอมรับว่า ชีวิตที่ไม่มีความฝันจะไม่มีแรงจูงใจให้เก็บเงิน พอแต่งงานทำให้เขาได้คิดว่าอายุขนาดนี้แล้ว มีครอบครัว จะมีลูก แต่ไม่มีเงินเก็บ ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เลิกซื้อของเล่นแล้วหันมาบังคับตัวเองด้วยการ "สร้างวินัย" และ "กลไกการออม" เชิงบังคับออมให้ตัวเอง เริ่มจากการตัดเงินเดือนอัตโนมัติเข้าไปในผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐานอย่างบัญชีเงินฝากประจำและประกันชีวิต ที่เปิดให้ตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ ทุกคน ขณะเดียวกันจะมีเงินออมในรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยยอดเงินสูงสุดที่บริษัทมีให้ รวมถึงเงินลงทุนใน "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)" และ "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)" เพื่อลดหย่อนภาษี จากนั้นจะวางแผนการใช้เงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตระยะสั้นและระยะกลาง ในช่วง 3-4 ปีแรก เขาถึงกับทำตารางใน Excel ดูว่าเงินที่ต้องใช้แต่ละปีเป็นเท่าไร แล้วเงินเก็บกับรายได้ในแต่ละปีจะมีเงินเท่าไร
"เริ่มต้นวิธีการคือต้องบังคับออม ต้องสร้างวินัยให้ตัวเอง ไม่งั้นเราทำงานเราจะมีแรงจูงใจให้รางวัลตัวเอง ยิ่งเงินเดือนเยอะยิ่งใช้มากขึ้น เงินเดือนเข้ามาคิดเลย รถ นาฬิกา ของเล่น เป็นความจริงที่เกิดขึ้น เพราะงั้นต้องเริ่มจากบังคับออมให้พอ ค่อยกลับมาดูว่าจะวางแผนอย่างไร ให้ล้อกับความฝัน ไม่งั้น เก็บ ๆ ไปจะรู้สึกว่าเก็บทำไม ก็ต้องวางแผนอย่างละเอียดให้มีวัตถุประสงค์ชัด อีกกี่ปีลูกจะเข้าโรงเรียน อีกกี่ปีจะขยายบ้าน พอมีลูกคนที่ 2 แผนเริ่มใหญ่ขึ้นก็มีจำนวนเงินก็มากขึ้น ก็เพิ่มวงเงินออมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ"
เมื่อมาถึงจังหวะชีวิตที่เงินเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาถึงจุดที่รายได้เริ่มไล่ทันค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูก ๆ และเงินที่เตรียมไว้สำหรับการวางแผนเกษียณที่เมื่อหักแล้วยังมีเงินเหลือ อดิศร มองว่า มันถึงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนแผนทางการเงินและกลไกการออมแล้ว จึงรื้อและปรับแผนการเงินเสียใหม่
เขาแบ่งพอร์ตออกเป็น 3 พอร์ต ก้อนแรกคือ "พอร์ตเงินเพื่อการศึกษาในอนาคตของลูก" เป็นก้อนที่ให้ความสำคัญที่สุดที่ต้องกันไว้ให้ครบ 100% ของยอดเงินต้นที่ได้จากการประมาณการค่าใช้จ่ายในอนาคตเอาไว้ แล้วเติมให้เต็มเพื่อความสบายใจ จากนั้นจึงบริหารเงินออมก้อนนี้ให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เช่น เงินฝาก กองทุนมันนี่มาร์เก็ต ตราสารหนี้หรือประกันชีวิตโดยมีเป้าหมายแค่ให้มีผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อเป็นพอ และเมื่อเติมเงินต้นในพอร์ตแรกจนเต็มจึงหันไปหยอดเงินออมสำหรับพอร์ตที่สองคือ "พอร์ตเกษียณ" ที่เขายอมเพิ่มความเสี่ยงในพอร์ตนี้ให้อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ LTF และ RMF ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นยกเว้นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ถูกจำกัดด้วยนโยบายของบริษัท
ขณะเดียวกันด้วยความที่ชอบท่องเที่ยวและด้วยวัยที่ใกล้เลข 5 เข้าไปทุกที เขาจึงให้น้ำหนักกับการให้รางวัลตัวเองด้วยการเพิ่ม "พอร์ตท่องเที่ยว" ที่ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของชีวิต พอร์ตสำหรับ Enjoy life ของอดิศรมีรูปแบบที่แตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วไป กล่าวคือเงินในพอร์ตนี้จะต้องบริหารด้วยความเสี่ยงต่ำ ขณะที่มุมมองของบางคนจะลงทุนในความเสี่ยงสูงเพื่อนำกำไรไปเที่ยว เพราะเขายืนยันหนักแน่นว่าไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเที่ยว พอร์ตนี้จึงต้องการความแน่นอน
"คนไทยยังไงลูกก็ต้องมาก่อน แม้จะบอกเขาว่าเราไม่มีเงินเก็บไว้ให้ แต่ก็ปล่อยไม่ได้ยังไงก็ต้องเก็บกันไว้ให้เงินต้นเต็มก่อน ล็อกไว้เลย เป็นสไตล์ของผม พอเต็มก็หันไปหยอดฝั่งเกษียณที่วันนี้ยังมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ผมก็กลัวว่าถ้าแก่แล้วจะไม่มีแรงเที่ยว เลยมีส่วนที่ 3 ด้วยการเก็บระยะสั้น เพื่อปีหนึ่งจะมีทริปใหญ่สัก 1-2 ครั้ง โดยรวมผลตอบแทนการลงทุนที่ได้รับกลับมายังมากกว่า 4% ต่อปีถือว่าพอได้ แต่หากตลาดหุ้นดีผลตอบแทนของพอร์ตก็น่าจะได้สัก 6%"
ถึงกระนั้นก็ตามเขาให้มุมมองว่า "การบริหารการเงินไม่ใช่เรื่องยาก ความยากอยู่ที่หาจุดที่คุณพอ" เขาย้ำว่าเงินที่มีจะมากหรือน้อยไม่สำคัญเลย ความสำคัญอยู่ที่ "ความสุข" ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างใจคิด โดยไม่เกิดความขัดสน จุดเริ่มต้นของความสุขในความคิดของเขา คือการได้ทำงานที่มีความสุข ตรงกับลักษณะนิสัยและจริตของตัวเอง ภูมิใจกับงานที่ทำโดยไม่ต้องหวังรวยจากอย่างอื่น ขณะเดียวกันต้องมีวินัยที่จะเก็บออม เพราะการวางแผนทางการเงินเพื่อให้รู้แจ้งว่า "ความพอใจ" และสถานะเราอยู่ตรงไหน ขีดความสามารถเราอยู่ตรงไหน เพื่อจะตั้งความหวังความฝันไว้ให้สอดคล้องกับความสามารถของตัวเอง
"ในมุมของผมเริ่มจากทำงานที่ชอบ งานที่มีคุณค่า คุณค่าเหล่านี้จะถูกสะท้อนเป็นรายได้กลับมาที่เหมาะสมระดับหนึ่ง จากตรงนั้นตั้งเป้าเงินออมที่เหมาะสม และสร้างระเบียบวินัย พอเห็นเงินที่เก็บได้ เราจะรู้ว่าประมาณการตั้งความคาดหวังชีวิตอย่างไรที่จะพอเพียงไม่เดือดร้อนใคร สามารถใช้ชีวิตส่วนตัวได้มีความสุขพอควร เพราะทุกวันนี้ในโลกมีอะไรที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แพงไปเรื่อย ๆ ทั้งนั้น แต่สุดท้ายคือความพอเพียงของเราอยู่ตรงไหน เงินจะมากหรือน้อยไม่สำคัญ"
วางแผนการเงิน...จาก 'ความสุข' และ 'ความพอเพียง'
------
ไขเคล็ดลับกุญแจสู่ความสำเร็จด้านการเงิน ของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" ด้วยการสร้างวินัยในการออม ใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสุข และรู้จักพอเพียง
"ความสำเร็จในการออมคือวินัยที่เราสร้างขึ้น จัดพอร์ตให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต ผลตอบแทนจะตามมา หากไม่มีวินัยก็ไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินจะต่อยอดยังไง เพราะการลงทุนเป็นการต่อยอด อย่าหวังรวยจากการลงทุน เรื่องแบบนี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะซึ่งโลกนี้ทำได้จริงไม่กี่คน ไม่งั้นคนก็รวยทั่วโลก"
นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จทางด้านการเงินของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย หนึ่งในผู้ที่คิดค้นหาแนวทางการออมการลงทุนให้ลูกค้ากลุ่มผู้มีอันจะกินของธนาคารระดับภูมิภาคแห่งนี้ หรือ CIMB Preferred นั้นเอง
แต่ในมุมชีวิตส่วนตัวแล้วอดิศรวางแผนการเงินของตัวเองให้ล้อไปกับเป้าหมายชีวิตในแต่ละจังหวะที่ดำเนินไป แม้ว่าจุดเริ่มต้นการออมของเขาไม่ได้วางรากฐานมายาวนาน แต่เริ่มต้นขึ้นพร้อม ๆ ไปกับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวนั่นเอง ในวันที่เขาค้นพบว่าการสร้างเรือนหอที่ต่อเติมจากบ้านของพ่อแม่นั้นได้ทำให้เงินในบัญชีที่เขาพอจะมีก่อนแต่งงานหมดเกลี้ยงไปซะแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยวางเป้าหมายทางการเงินไว้เลย
เขายอมรับว่า ชีวิตที่ไม่มีความฝันจะไม่มีแรงจูงใจให้เก็บเงิน พอแต่งงานทำให้เขาได้คิดว่าอายุขนาดนี้แล้ว มีครอบครัว จะมีลูก แต่ไม่มีเงินเก็บ ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เลิกซื้อของเล่นแล้วหันมาบังคับตัวเองด้วยการ "สร้างวินัย" และ "กลไกการออม" เชิงบังคับออมให้ตัวเอง เริ่มจากการตัดเงินเดือนอัตโนมัติเข้าไปในผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐานอย่างบัญชีเงินฝากประจำและประกันชีวิต ที่เปิดให้ตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ ทุกคน ขณะเดียวกันจะมีเงินออมในรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยยอดเงินสูงสุดที่บริษัทมีให้ รวมถึงเงินลงทุนใน "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)" และ "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)" เพื่อลดหย่อนภาษี จากนั้นจะวางแผนการใช้เงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตระยะสั้นและระยะกลาง ในช่วง 3-4 ปีแรก เขาถึงกับทำตารางใน Excel ดูว่าเงินที่ต้องใช้แต่ละปีเป็นเท่าไร แล้วเงินเก็บกับรายได้ในแต่ละปีจะมีเงินเท่าไร
"เริ่มต้นวิธีการคือต้องบังคับออม ต้องสร้างวินัยให้ตัวเอง ไม่งั้นเราทำงานเราจะมีแรงจูงใจให้รางวัลตัวเอง ยิ่งเงินเดือนเยอะยิ่งใช้มากขึ้น เงินเดือนเข้ามาคิดเลย รถ นาฬิกา ของเล่น เป็นความจริงที่เกิดขึ้น เพราะงั้นต้องเริ่มจากบังคับออมให้พอ ค่อยกลับมาดูว่าจะวางแผนอย่างไร ให้ล้อกับความฝัน ไม่งั้น เก็บ ๆ ไปจะรู้สึกว่าเก็บทำไม ก็ต้องวางแผนอย่างละเอียดให้มีวัตถุประสงค์ชัด อีกกี่ปีลูกจะเข้าโรงเรียน อีกกี่ปีจะขยายบ้าน พอมีลูกคนที่ 2 แผนเริ่มใหญ่ขึ้นก็มีจำนวนเงินก็มากขึ้น ก็เพิ่มวงเงินออมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ"
เมื่อมาถึงจังหวะชีวิตที่เงินเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาถึงจุดที่รายได้เริ่มไล่ทันค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูก ๆ และเงินที่เตรียมไว้สำหรับการวางแผนเกษียณที่เมื่อหักแล้วยังมีเงินเหลือ อดิศร มองว่า มันถึงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนแผนทางการเงินและกลไกการออมแล้ว จึงรื้อและปรับแผนการเงินเสียใหม่
เขาแบ่งพอร์ตออกเป็น 3 พอร์ต ก้อนแรกคือ "พอร์ตเงินเพื่อการศึกษาในอนาคตของลูก" เป็นก้อนที่ให้ความสำคัญที่สุดที่ต้องกันไว้ให้ครบ 100% ของยอดเงินต้นที่ได้จากการประมาณการค่าใช้จ่ายในอนาคตเอาไว้ แล้วเติมให้เต็มเพื่อความสบายใจ จากนั้นจึงบริหารเงินออมก้อนนี้ให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เช่น เงินฝาก กองทุนมันนี่มาร์เก็ต ตราสารหนี้หรือประกันชีวิตโดยมีเป้าหมายแค่ให้มีผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อเป็นพอ และเมื่อเติมเงินต้นในพอร์ตแรกจนเต็มจึงหันไปหยอดเงินออมสำหรับพอร์ตที่สองคือ "พอร์ตเกษียณ" ที่เขายอมเพิ่มความเสี่ยงในพอร์ตนี้ให้อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ LTF และ RMF ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นยกเว้นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ถูกจำกัดด้วยนโยบายของบริษัท
ขณะเดียวกันด้วยความที่ชอบท่องเที่ยวและด้วยวัยที่ใกล้เลข 5 เข้าไปทุกที เขาจึงให้น้ำหนักกับการให้รางวัลตัวเองด้วยการเพิ่ม "พอร์ตท่องเที่ยว" ที่ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของชีวิต พอร์ตสำหรับ Enjoy life ของอดิศรมีรูปแบบที่แตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วไป กล่าวคือเงินในพอร์ตนี้จะต้องบริหารด้วยความเสี่ยงต่ำ ขณะที่มุมมองของบางคนจะลงทุนในความเสี่ยงสูงเพื่อนำกำไรไปเที่ยว เพราะเขายืนยันหนักแน่นว่าไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเที่ยว พอร์ตนี้จึงต้องการความแน่นอน
"คนไทยยังไงลูกก็ต้องมาก่อน แม้จะบอกเขาว่าเราไม่มีเงินเก็บไว้ให้ แต่ก็ปล่อยไม่ได้ยังไงก็ต้องเก็บกันไว้ให้เงินต้นเต็มก่อน ล็อกไว้เลย เป็นสไตล์ของผม พอเต็มก็หันไปหยอดฝั่งเกษียณที่วันนี้ยังมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ผมก็กลัวว่าถ้าแก่แล้วจะไม่มีแรงเที่ยว เลยมีส่วนที่ 3 ด้วยการเก็บระยะสั้น เพื่อปีหนึ่งจะมีทริปใหญ่สัก 1-2 ครั้ง โดยรวมผลตอบแทนการลงทุนที่ได้รับกลับมายังมากกว่า 4% ต่อปีถือว่าพอได้ แต่หากตลาดหุ้นดีผลตอบแทนของพอร์ตก็น่าจะได้สัก 6%"
ถึงกระนั้นก็ตามเขาให้มุมมองว่า "การบริหารการเงินไม่ใช่เรื่องยาก ความยากอยู่ที่หาจุดที่คุณพอ" เขาย้ำว่าเงินที่มีจะมากหรือน้อยไม่สำคัญเลย ความสำคัญอยู่ที่ "ความสุข" ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างใจคิด โดยไม่เกิดความขัดสน จุดเริ่มต้นของความสุขในความคิดของเขา คือการได้ทำงานที่มีความสุข ตรงกับลักษณะนิสัยและจริตของตัวเอง ภูมิใจกับงานที่ทำโดยไม่ต้องหวังรวยจากอย่างอื่น ขณะเดียวกันต้องมีวินัยที่จะเก็บออม เพราะการวางแผนทางการเงินเพื่อให้รู้แจ้งว่า "ความพอใจ" และสถานะเราอยู่ตรงไหน ขีดความสามารถเราอยู่ตรงไหน เพื่อจะตั้งความหวังความฝันไว้ให้สอดคล้องกับความสามารถของตัวเอง
"ในมุมของผมเริ่มจากทำงานที่ชอบ งานที่มีคุณค่า คุณค่าเหล่านี้จะถูกสะท้อนเป็นรายได้กลับมาที่เหมาะสมระดับหนึ่ง จากตรงนั้นตั้งเป้าเงินออมที่เหมาะสม และสร้างระเบียบวินัย พอเห็นเงินที่เก็บได้ เราจะรู้ว่าประมาณการตั้งความคาดหวังชีวิตอย่างไรที่จะพอเพียงไม่เดือดร้อนใคร สามารถใช้ชีวิตส่วนตัวได้มีความสุขพอควร เพราะทุกวันนี้ในโลกมีอะไรที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แพงไปเรื่อย ๆ ทั้งนั้น แต่สุดท้ายคือความพอเพียงของเราอยู่ตรงไหน เงินจะมากหรือน้อยไม่สำคัญ"