ข้อความข้างล่างนี้ ไม่ใช่โฆษณาขายสินค้า Admin กรุณาอย่ามั่ว
(เพราะเอามาโพสต์แล้วเมื่อเช้า แต่ถูกลบ ด้วยข้อหาว่าเป็นโพสต์ขายของ)
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ผมเห็นโพสต์นี้จาก FB เห็นว่าน่าสนใจ และไม่คิดว่าระบบการทำงานบริษัทคนไทย จะก้าวหน้าได้ถึงขนาดนี้
เป็นรูปแบบการทำงานของ PR Agency แห่งหนึ่ง ที่ผมรู้จัก และกำลังก้าวสู่ระบบการทำงานที่เรียกว่า Visual Office
น่าสนใจมากครับ และเชื่อว่าน่าจะเป็นองค์กรในฝันของใครหลายๆ คนเลยทีเดียวครับ
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
นี่คือข้อความที่ผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ โพสต์ไว้ั้หน้า facebook ของบริษัทครับ
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ผมและบริษัท ยู้ฮู ดอท คอมปานี จำกัด
กำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เพื่อปรับองค์กรและวิธีการทำธุรกิจ
ให้สมาร์ท ทันสมัย และสอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันมากที่สุด
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป (18/11/2013)
ผมจะปรับองค์กรเข้าสู่ความเป็น Virtual Office สมบูรณ์แบบ
พนักงานทุกคนไม่ต้องเข้าออฟฟิศ
ต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตนอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
ติดต่อสื่อสารกันทางอินเตอร์เน็ต ผ่านอีเมล์, Line, Facebook และอื่นๆ ตาม
ความเหมาะสม
โดยมี Smartphone และ Note Book เป็นเครื่องมือหลัก
โมเดลธุรกิจแบบนี้ ผมได้ทดลองใช้มาแล้วระยะหนึ่ง
และได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร
เราเริ่มจากพนักงานทุกคนไม่ต้องตอกบัตร
มีงานติดต่อกับลูกค้าและสื่อมวลขนที่ไหนก็เดินทางไปเลย
ไม่ต้องมาเริ่มต้นที่ออฟฟิศให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์
ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า
ผมพบว่าทุกวันนี้เราใช้โทรศัพท์พื้นฐาน (02) น้อยมาก
เพราะลูกค้าทุกคน สามารถติตต่อตรงถึงเราได้ตลอดเวลาผ่าน Smartphone
นอกจากลูกค้ารายใหม่เท่านั้น ที่ติดต่อผ่านเบอร์กลางของออฟฟิศ
ซึ่งเบอร์นี้เราสามารถโอนเข้าเบอร์มือถือได้
และผมได้โอนเข้าเบอร์ผม เพื่อให้ลูกค้าใหม่ติดต่อกับผมโดยตรงเป็นคนแรก
ในการควบคุมและบริหารงาน
เนื่องจากเราแบ่งความรับผิดชอบเป็นทีม
แต่ละทีมก็ดูแลลูกค้าหลักของตนเองอยู่แล้ว
และที่สำคัญต้องทำผลงานตามแผนที่วางเอาไว้
ในส่วนนี้จึงแทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร
จะมีก็เพียงย้ายสถานที่ประชุมประจำสัปดาห์
เป็นร้านกาแฟ หรือที่ไหนสักแห่งตามสะดวก แทนห้องประชุมที่ออฟฟิศ
สิ่งสำคัญที่แตกต่างจากองค์กรอื่น คือ การจ่ายค่าตอบแทน
ที่นี่...ผมจ่ายค่าตอบแทนด้วยวิธีจ่ายตามผลงาน
เราแบ่งเงินเดือนพนักงานเป็น 3 ส่วน
1 ส่วนเป็นค่างาน Admin
อีก 2 ส่วนประเมินตามผลงาน ตามแผนที่นำเสนอ
ถ้าทำได้ตามเป้า ก็รับไปเต็มๆ ทั้ง 3 ส่วน
แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะได้ 1 ส่วน (33.33%) บวกสัดส่วนตามเปอร์เซ็นต์ผลงาน (66.66%)
เพราะฉะนั้น ทุกเดือน พนักงานทุกคนจะรู้ว่าต้องทำอะไร เป้าหมายอยู่ตรงไหน
เพราะมันคือผลประโยชน์ของตนเอง ที่ต้องรักษาไว้นั่นเอง
การจ่ายค่าตอบแทนแบบนี้
จะกระตุ้นให้พนักงานทุ่มเททำงาน
ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลงานตามเป้า
ตามแผนงานที่ได้เสนอไว้กับลูกค้า
เพราะถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายถึงเงินเดือนก็จะลดลงไปด้วย
และถ้าลูกทีมทำผลงานไม่ได้
หัวหน้าทีมก็จะต้องรีบช่วยเสริมให้งานของทีมได้ตามแผน
เพราะถ้างานของทีมไม่สัมฤทธิ์ผลตามแผน
ก็จะถูกตัดทอนเงินเดือนตามผลงานด้วยเช่นกัน
นี่คือกฎเหล็กที่บริษัทนำมาใช้
เพื่อการควบคุมประสิทธิภาพงานของพนักงาน
ทุกคนจะต้องรับผิดชอบตัวเอง และงานของตัวเอง
แม้ว่าจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ตาม
กฏอีกข้อหนึ่งของบริษัท ที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างสิ้นเชิง
และเชื่อว่าไม่มีใครกล้าทำ คือ .......
พนักงานทุกคน...สามารถทำงานพิเศษอื่นใดก็ได้
เพื่อพัฒนาศักยภาพและรายได้ของตนเอง
จะไปรับ job ไปเป็น freelance ที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่กระทบกับงานที่รับผิดชอบอยู่เท่านั้น
การปรับองค์กรเป็น Visual Office ในครั้งนี้
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจน และเป็นรูปธรรม คือ
1.พนักงานทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 3,000 – 5,000 บาท
เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านกับออฟฟิศ
2.ตื่นสายได้ตามสบาย...ถ้าไม่มีงานหรือนัดลูกค้าตอนเช้า
3.ไม่ต้องเดินทางท่ามกลางรถติดช่วง Office Hour ทั้งเช้าและเย็น
4.บริษัทประหยัดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอุปกรณ์สำนักงาน และอื่นๆ อีกมากมายเลยทีเดียว
เราเชื่อว่า นี่คือ รูปแบบใหม่ของการทำงาน ที่คนรุ่นใหม่ถวิลหา
นี่คือ วิถีชีวิตของการทำงานที่ทำให้สุขภาพกายและใจของคนทำงานดีขึ้น
และย่อมส่งถึงคุณภาพของผลงานที่ดีขึ้นด้วย
และที่สำคัญ เราเชื่อว่า องค์กรแบบนี้...
จะเป็นองค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน
ที่มา :
https://www.facebook.com/PRagencythai/posts/614435278614959
นี่แหล่ะ องค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่ อ่านแล้วอยากทำงานที่นี่จังเลย !
(เพราะเอามาโพสต์แล้วเมื่อเช้า แต่ถูกลบ ด้วยข้อหาว่าเป็นโพสต์ขายของ)
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ผมเห็นโพสต์นี้จาก FB เห็นว่าน่าสนใจ และไม่คิดว่าระบบการทำงานบริษัทคนไทย จะก้าวหน้าได้ถึงขนาดนี้
เป็นรูปแบบการทำงานของ PR Agency แห่งหนึ่ง ที่ผมรู้จัก และกำลังก้าวสู่ระบบการทำงานที่เรียกว่า Visual Office
น่าสนใจมากครับ และเชื่อว่าน่าจะเป็นองค์กรในฝันของใครหลายๆ คนเลยทีเดียวครับ
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
นี่คือข้อความที่ผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ โพสต์ไว้ั้หน้า facebook ของบริษัทครับ
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ผมและบริษัท ยู้ฮู ดอท คอมปานี จำกัด
กำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เพื่อปรับองค์กรและวิธีการทำธุรกิจ
ให้สมาร์ท ทันสมัย และสอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันมากที่สุด
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป (18/11/2013)
ผมจะปรับองค์กรเข้าสู่ความเป็น Virtual Office สมบูรณ์แบบ
พนักงานทุกคนไม่ต้องเข้าออฟฟิศ
ต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตนอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
ติดต่อสื่อสารกันทางอินเตอร์เน็ต ผ่านอีเมล์, Line, Facebook และอื่นๆ ตาม
ความเหมาะสม
โดยมี Smartphone และ Note Book เป็นเครื่องมือหลัก
โมเดลธุรกิจแบบนี้ ผมได้ทดลองใช้มาแล้วระยะหนึ่ง
และได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร
เราเริ่มจากพนักงานทุกคนไม่ต้องตอกบัตร
มีงานติดต่อกับลูกค้าและสื่อมวลขนที่ไหนก็เดินทางไปเลย
ไม่ต้องมาเริ่มต้นที่ออฟฟิศให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์
ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า
ผมพบว่าทุกวันนี้เราใช้โทรศัพท์พื้นฐาน (02) น้อยมาก
เพราะลูกค้าทุกคน สามารถติตต่อตรงถึงเราได้ตลอดเวลาผ่าน Smartphone
นอกจากลูกค้ารายใหม่เท่านั้น ที่ติดต่อผ่านเบอร์กลางของออฟฟิศ
ซึ่งเบอร์นี้เราสามารถโอนเข้าเบอร์มือถือได้
และผมได้โอนเข้าเบอร์ผม เพื่อให้ลูกค้าใหม่ติดต่อกับผมโดยตรงเป็นคนแรก
ในการควบคุมและบริหารงาน
เนื่องจากเราแบ่งความรับผิดชอบเป็นทีม
แต่ละทีมก็ดูแลลูกค้าหลักของตนเองอยู่แล้ว
และที่สำคัญต้องทำผลงานตามแผนที่วางเอาไว้
ในส่วนนี้จึงแทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร
จะมีก็เพียงย้ายสถานที่ประชุมประจำสัปดาห์
เป็นร้านกาแฟ หรือที่ไหนสักแห่งตามสะดวก แทนห้องประชุมที่ออฟฟิศ
สิ่งสำคัญที่แตกต่างจากองค์กรอื่น คือ การจ่ายค่าตอบแทน
ที่นี่...ผมจ่ายค่าตอบแทนด้วยวิธีจ่ายตามผลงาน
เราแบ่งเงินเดือนพนักงานเป็น 3 ส่วน
1 ส่วนเป็นค่างาน Admin
อีก 2 ส่วนประเมินตามผลงาน ตามแผนที่นำเสนอ
ถ้าทำได้ตามเป้า ก็รับไปเต็มๆ ทั้ง 3 ส่วน
แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะได้ 1 ส่วน (33.33%) บวกสัดส่วนตามเปอร์เซ็นต์ผลงาน (66.66%)
เพราะฉะนั้น ทุกเดือน พนักงานทุกคนจะรู้ว่าต้องทำอะไร เป้าหมายอยู่ตรงไหน
เพราะมันคือผลประโยชน์ของตนเอง ที่ต้องรักษาไว้นั่นเอง
การจ่ายค่าตอบแทนแบบนี้
จะกระตุ้นให้พนักงานทุ่มเททำงาน
ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลงานตามเป้า
ตามแผนงานที่ได้เสนอไว้กับลูกค้า
เพราะถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายถึงเงินเดือนก็จะลดลงไปด้วย
และถ้าลูกทีมทำผลงานไม่ได้
หัวหน้าทีมก็จะต้องรีบช่วยเสริมให้งานของทีมได้ตามแผน
เพราะถ้างานของทีมไม่สัมฤทธิ์ผลตามแผน
ก็จะถูกตัดทอนเงินเดือนตามผลงานด้วยเช่นกัน
นี่คือกฎเหล็กที่บริษัทนำมาใช้
เพื่อการควบคุมประสิทธิภาพงานของพนักงาน
ทุกคนจะต้องรับผิดชอบตัวเอง และงานของตัวเอง
แม้ว่าจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ตาม
กฏอีกข้อหนึ่งของบริษัท ที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างสิ้นเชิง
และเชื่อว่าไม่มีใครกล้าทำ คือ .......
พนักงานทุกคน...สามารถทำงานพิเศษอื่นใดก็ได้
เพื่อพัฒนาศักยภาพและรายได้ของตนเอง
จะไปรับ job ไปเป็น freelance ที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่กระทบกับงานที่รับผิดชอบอยู่เท่านั้น
การปรับองค์กรเป็น Visual Office ในครั้งนี้
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจน และเป็นรูปธรรม คือ
1.พนักงานทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 3,000 – 5,000 บาท
เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านกับออฟฟิศ
2.ตื่นสายได้ตามสบาย...ถ้าไม่มีงานหรือนัดลูกค้าตอนเช้า
3.ไม่ต้องเดินทางท่ามกลางรถติดช่วง Office Hour ทั้งเช้าและเย็น
4.บริษัทประหยัดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอุปกรณ์สำนักงาน และอื่นๆ อีกมากมายเลยทีเดียว
เราเชื่อว่า นี่คือ รูปแบบใหม่ของการทำงาน ที่คนรุ่นใหม่ถวิลหา
นี่คือ วิถีชีวิตของการทำงานที่ทำให้สุขภาพกายและใจของคนทำงานดีขึ้น
และย่อมส่งถึงคุณภาพของผลงานที่ดีขึ้นด้วย
และที่สำคัญ เราเชื่อว่า องค์กรแบบนี้...
จะเป็นองค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน
ที่มา :https://www.facebook.com/PRagencythai/posts/614435278614959