ระบอบประชาธิปไตย ( Democracy ) หมายถึง ระบบการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจ ดังนั้นการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยก็คือ รูปการปกครองที่ยึดถืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยนั้นจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักหรือเป็นกติกาที่กำหนดแนวทางสำหรับการที่รัฐจะใช้อำนาจปกครองประชาชน และมีหลักการจัดระเบียบการปกครองแต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เครื่องหมายแสดงความเป็นประชาธิปไตย เพราะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเสด็จการก็มีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน การที่จะพิจารณาว่าประเทศใดเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จึงต้องดูว่ารัฐธรรมนูญของประเทศนั้นให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่
ดูจากประวัติศาสตร์แล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมานั้น ไม่มีเลยสักครั้ง ที่สามารถเรียกได้เต็มอย่างปากว่า เป็นยุคสมัยที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาอำนาจตามระบอบที่ควรเป็นของประชาชนทั้งหมด ถูกผู้มีอำนาจในขณะนั้นเบียดบังยึดไปเพราะคิดแทนไปว่า ตัวเองและกลุ่มคณะมีความชาญฉลาดและเหมาะสมที่จะใช้อำนาจบางส่วนแทนประชาชน ช่องทางที่ประชาชนจะใช้อำนาจตามประชาธิปไตยคือการ
“เลือกตั้ง” จึงถูกแทรกแซงด้วยการ
“แต่งตั้ง”
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาตั้งแต่กระบวนการเริ่มประชาธิปไตยที่นำโดย
“คณะราษฎร” เมื่อ พ.ศ. 2475 พระยามโนปกรณนิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ก็เป็นนายกที่ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มีด้วยกันทั้งหมด 70 คน ล้วนมาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้น
การเลือกตั้งครั้งแรกในประเทศไทย ก็เป็น
“การเลือกตั้งทางอ้อม” ใน พ.ศ.2476 โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้กรมการอำเภอ ดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จากนั้นผู้แทนตำบลก็จะไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 156 คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม 78 คน และแต่งตั้งอีก 78 คน
การเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกในประเทศไทย เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2480 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต ครั้งแรก ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 78 คน แต่ก็ยังไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อยังมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมโดยคณะผู้มีอำนาจในขณะนั้น เรียกว่า
“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท2”
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท2 ก็มีเรื่อยมา ในทุกรัฐบาล และบางยุคบางสมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ควรมาจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง กลับเป็นที่รังเกียจของผู้มีอำนาจในขณะนั้น เช่นสมัย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก นาย ปรีดี พนมยงค์ ที่ลาออก เนื่องจากถูกใส่ร้ายป้ายสีกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ก็ถูกคณะทหารแห่งชาติ ซึ่งนำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำการปฏิวัติ และยึดกุมอำนาจทั้งหมดไปไว้ที่คณะทหารแห่งชาติ
เชิดนายควง อภัยวงค์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์คนสำคัญขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
และจากการก้าวขึ้นสู่อำนาจแบบผิดๆของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการยึดอำนาจแล้วทำลายรัฐธรรมนูญเดิมเสีย และทำให้ประชาธิปไตยในช่วงระหว่างปี 2490-2520 อยู่ในสภาพบอบช้ำ เต็มไปด้วยการปฏิวัติ-รัฐประหาร จากการแย่งชิงอำนาจในแต่ละยุค การครองอำนาจของทหารคลั่งชาติ จอมพล ป.พิบูลสงครามการแย่งชิงและหักหลังของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพล ถนอม กิตติขจร
อำนาจตกอยู่ในมือของผู้ที่ควบคุมกำลังทหาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้มีเหตุการณ์คั้นกลาง อย่าง
นายกพระราชทาน ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ขึ้นมา ก็ไม่ได้ช่วยให้อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยกลับมาสู่มือของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงเลย แถมยังเกิดสภาวะศูนย์ยากาศทางการเมือง เมื่อไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยาวนานถึง 3 ปี 2 เดือน (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ถึง 26 มกราคม พ.ศ. 2518)
ในสมัยต่อมา หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จากพรรคประชาธิปัตย์ และ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคกิจสังคม 2 คน 3 สมัย ภายใน 2 ปี ที่สองพี่น้องผลัดกันเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ก็กลับคืนสู่ประชาชนอีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้จะมาเพียงบางส่วนก็เถอะ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่วุฒิสภายังเป็นการแต่งตั้งเหมือนเดิม)
วุฒิสภา มีจุดเริ่มตอนการปรับเปลี่ยนระบอบการเมืองหารปกครองของ
“คณะราษฎร” ที่ยึดประเทศตะวันตกเป็นต้นแบบ ในปี 2489 จึงมีการถือกำเนิดของ
“พฤฒสภา” หรือ
“วุฒิสภา”ในปัจจุบัน และ
“พฤฒสภา” หรือ
“วุฒิสภา”ชุดแรกก็มาจากการแต่งตั้ง และแต่งตั้งเรื่อยมาในทุกยุคทุกสมัย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิก วุฒิสภา คือ พ.ศ. 2543 ที่เป็นการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่ก็ถูกข้อครหาว่า เป็น
“สภาผัวเมีย”
กลับมาต่อที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทย หลังจากยุค นายกสองพี่น้องแห่งตระกูล ปราโมชแล้ว ก็กลับเข้าสู่วังวนเก่าๆ วังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจประชาชนด้วยการใช้กำลังทหาร เมื่อ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และแต่งตั้ง นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคั่นเวลา เพราะดูจากที่คณะของพลเรือเอกสงัด ได้รัฐประหารนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองแต่งตั้งมากับมือ ในชั่วระยะเวลาเพียง 1 ปี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร ไม่ใช่ตัวเลือกที่คณะรัฐประหารต้องการจริงๆ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงได้รับมติสนับสนุนจาก รัฐประหารเจ้าเก่าของพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ และแม้ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะพ้นตำแหน่งไปเพราะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 และจัดให้มีเลือกตั้งทั่วไป แต่ก็ยังกลับเข้ามาในตำแหน่งอีกครั้ง ช่วงระหว่างวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2526 จากมติของสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะไม่ได้เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
และ ตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย
มีถึง 10 นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ รัฐประหาร ซึ่งมีรายนามดังนี้
1.พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา 2.นายควง อภัยวงศ์ 3.จอมพล ป. พิบูลสงคราม
4.นายพจน์ สารสิน 5.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 6.จอมพลถนอม กิตติขจร
7.นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 8.พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันนทน์ 9.นายอานันท์ ปันยารชุน
10.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และอีกหนึ่งท่านที่พิเศษกว่า 10 รายชื่อที่เป็นนายกจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ รัฐประหาร แต่ดูจากประวัติแล้ว ก็ทราบได้ว่า นายกรัฐมนตรีท่านนี้ก็มิได้มีที่มาแตกต่างจาก 10 ท่านที่กล่าวมา ท่านผู้นี้คือ
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ประวัติส่วนตัวของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ในปี พ.ศ. 2502 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติและวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511-2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร
พลเอกเปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร
พลเอกเปรม รับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น
ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ในช่วงนั้น พลเอกเปรมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรทำการหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพลเอกเปรม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย ตอนรับตำแหน่งยังคงควบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ด้วยถึง 25 สิงหาคม พ.ศ. 2524 และการรัฐประหารครั้งล่าสุด 2549 ก็มีหลายฝ่ายเชื่อว่า พลเอกเปรม มีส่วนร่วมกับการกระทำรัฐประหารครั้งนี้(ที่มา ประวัติพลเอกเปรม Wikipedia)
และยุคของพลเอกเปรม ก็ถือได้ว่าเป็นผู้นำรัฐบาลที่หุบอำนาจของประชาชนไปถือครองไว้เองยาวนานที่สุด เพราะการเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรมแต่ละครั้งนั้น ไม่เคยผ่านกระบวนการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยจากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงอย่างประชาชนเลย พลเอกเปรมไม่สังกัดพรรคการเมือง ไม่เคยลงเลือกตั้ง แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเรื่อยมา เพราะอะไร เพราะคุณงามความดีที่ทำไว้ ทำให้มีสิทธิพิเศษเช่นนี้หรือ เพราะเป็นบุคคลที่กุมอำนาจทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จต่อจากยุคของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่
ที่เหลือเก็บไว้ต่อวันหลังนะครับ แต่ที่เล่ามา ยังไม่มียุคไหนช่วงไหนเลย ที่ประชาธิปไตยเป็นอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง
ขอแสดงความเห็นส่วนตัวบ้าง
ร่ายยาวมาตั้งเยอะ ก็ยังไม่มาถึงการเมืองในยุคสมัยปัจจุบัน แต่ก็จะเห็นได้ว่าประชาธิปไตยของไทยนั้น ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริง ประเทศของเราถูกครอบงำด้วยการ “แต่งตั้ง” จากผู้ถือครองอำนาจทางทหารมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะนายกพระราชทาน หรือ รัฐบุรุษ ก็ไม่แตกต่างจากเผด็จการทางทหาร เพราะที่สุดแล้วอำนาจของประชาชนก็ยังถูกบดบังไปอยู่ดี
จึงไม่แปลกที่ประชาชนบางกลุ่มจะรู้สึกชิงชังกับอำนาจ ที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตย์” เพราะกลุ่มคนพวกนี้ มิได้ผ่านกระบวนการวิธีมาตามระบอบที่ควรเป็น ผมเองเมื่อได้ค้นคว้าหาข้อมูลอย่างจริงจังแล้ว ก็รู้สึกใกล้เคียงกับประชาชนเหล่านั้น แต่เลือกที่จะแสดงออกในรูปแบบที่ตัวผมเองคิดว่าเหมาะสม
จริงอยู่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ผลประโยชน์ก็ควรตกถึงประชาชนเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงบ้าง มิใช่ตกแก่กลุ่มคนที่ถือตัวเองว่ามีสิทธิเหนือคนอื่นมาช้านานเพียงกลุ่มเดียว พอมีคนเข้ามาเปลี่ยนแปลง บริหารอำนาจประชาธิปไตยส่งผลให้ผลประโยชน์ไปถึงมือประชาชน อย่างที่ทักษิณทำ ก็จะใช้วัฒนธรรมที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยมายาวนาน เตะโด่งคนที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแบ่งปันผลโยชน์ไป
ความเห็นทางการเมืองสำหรับผม สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามเหตุผลและความเป็นจริง และถ้าตอนนี้ มีตัวเลือกอื่นที่ผมพิจารณาโดยใช้สติปัญญาตรึกตรองแล้ว เห็นว่าเหมาะสมกว่า ทักษิณ ผมก็พร้อมจะเปลี่ยนไปสนับสนุนตัวเลือกอื่น แต่ตอนนี้ ผมยังไม่เห็นตัวเลือกดังกล่าว
และไม่ต้องยก “คุณธรรมความดี”อะไรมาอ้างหรือโน้มน้าวทัศนะคติของผม เพราะบอกเลยว่า ผมมองการเมืองทุกวันนี้เป็นสีเทา คนชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์มีรึเปล่าไม่รู้ แต่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีแน่ และคงไม่ผิดอะไร ถ้าผมจะเลือกคนที่เขาบริหารจัดการประเทศนี้ แล้วกระจายผลประโยชน์ที่ควรเป็นของประชาชน มาสู่ประชาชนอย่างที่เขาเคยทำได้มาแล้ว
ประชาธิปไตยเป็นแค่ลมปาก ที่ไม่มีจริงในประเทศไทย(บทความประชาธิปไตย ภาคต้น)
ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยนั้นจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักหรือเป็นกติกาที่กำหนดแนวทางสำหรับการที่รัฐจะใช้อำนาจปกครองประชาชน และมีหลักการจัดระเบียบการปกครองแต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เครื่องหมายแสดงความเป็นประชาธิปไตย เพราะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเสด็จการก็มีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน การที่จะพิจารณาว่าประเทศใดเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จึงต้องดูว่ารัฐธรรมนูญของประเทศนั้นให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่
ดูจากประวัติศาสตร์แล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมานั้น ไม่มีเลยสักครั้ง ที่สามารถเรียกได้เต็มอย่างปากว่า เป็นยุคสมัยที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาอำนาจตามระบอบที่ควรเป็นของประชาชนทั้งหมด ถูกผู้มีอำนาจในขณะนั้นเบียดบังยึดไปเพราะคิดแทนไปว่า ตัวเองและกลุ่มคณะมีความชาญฉลาดและเหมาะสมที่จะใช้อำนาจบางส่วนแทนประชาชน ช่องทางที่ประชาชนจะใช้อำนาจตามประชาธิปไตยคือการ “เลือกตั้ง” จึงถูกแทรกแซงด้วยการ “แต่งตั้ง”
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาตั้งแต่กระบวนการเริ่มประชาธิปไตยที่นำโดย “คณะราษฎร” เมื่อ พ.ศ. 2475 พระยามโนปกรณนิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ก็เป็นนายกที่ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มีด้วยกันทั้งหมด 70 คน ล้วนมาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้น
การเลือกตั้งครั้งแรกในประเทศไทย ก็เป็น “การเลือกตั้งทางอ้อม” ใน พ.ศ.2476 โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้กรมการอำเภอ ดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จากนั้นผู้แทนตำบลก็จะไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 156 คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม 78 คน และแต่งตั้งอีก 78 คน
การเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกในประเทศไทย เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2480 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต ครั้งแรก ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 78 คน แต่ก็ยังไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อยังมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมโดยคณะผู้มีอำนาจในขณะนั้น เรียกว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท2”
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท2 ก็มีเรื่อยมา ในทุกรัฐบาล และบางยุคบางสมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ควรมาจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง กลับเป็นที่รังเกียจของผู้มีอำนาจในขณะนั้น เช่นสมัย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก นาย ปรีดี พนมยงค์ ที่ลาออก เนื่องจากถูกใส่ร้ายป้ายสีกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ก็ถูกคณะทหารแห่งชาติ ซึ่งนำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำการปฏิวัติ และยึดกุมอำนาจทั้งหมดไปไว้ที่คณะทหารแห่งชาติ เชิดนายควง อภัยวงค์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์คนสำคัญขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
และจากการก้าวขึ้นสู่อำนาจแบบผิดๆของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการยึดอำนาจแล้วทำลายรัฐธรรมนูญเดิมเสีย และทำให้ประชาธิปไตยในช่วงระหว่างปี 2490-2520 อยู่ในสภาพบอบช้ำ เต็มไปด้วยการปฏิวัติ-รัฐประหาร จากการแย่งชิงอำนาจในแต่ละยุค การครองอำนาจของทหารคลั่งชาติ จอมพล ป.พิบูลสงครามการแย่งชิงและหักหลังของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพล ถนอม กิตติขจร อำนาจตกอยู่ในมือของผู้ที่ควบคุมกำลังทหาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้มีเหตุการณ์คั้นกลาง อย่าง นายกพระราชทาน ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ขึ้นมา ก็ไม่ได้ช่วยให้อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยกลับมาสู่มือของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงเลย แถมยังเกิดสภาวะศูนย์ยากาศทางการเมือง เมื่อไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยาวนานถึง 3 ปี 2 เดือน (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ถึง 26 มกราคม พ.ศ. 2518)
ในสมัยต่อมา หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จากพรรคประชาธิปัตย์ และ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคกิจสังคม 2 คน 3 สมัย ภายใน 2 ปี ที่สองพี่น้องผลัดกันเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ก็กลับคืนสู่ประชาชนอีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้จะมาเพียงบางส่วนก็เถอะ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่วุฒิสภายังเป็นการแต่งตั้งเหมือนเดิม)
วุฒิสภา มีจุดเริ่มตอนการปรับเปลี่ยนระบอบการเมืองหารปกครองของ “คณะราษฎร” ที่ยึดประเทศตะวันตกเป็นต้นแบบ ในปี 2489 จึงมีการถือกำเนิดของ “พฤฒสภา” หรือ “วุฒิสภา”ในปัจจุบัน และ“พฤฒสภา” หรือ “วุฒิสภา”ชุดแรกก็มาจากการแต่งตั้ง และแต่งตั้งเรื่อยมาในทุกยุคทุกสมัย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิก วุฒิสภา คือ พ.ศ. 2543 ที่เป็นการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่ก็ถูกข้อครหาว่า เป็น “สภาผัวเมีย”
กลับมาต่อที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทย หลังจากยุค นายกสองพี่น้องแห่งตระกูล ปราโมชแล้ว ก็กลับเข้าสู่วังวนเก่าๆ วังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจประชาชนด้วยการใช้กำลังทหาร เมื่อ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และแต่งตั้ง นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคั่นเวลา เพราะดูจากที่คณะของพลเรือเอกสงัด ได้รัฐประหารนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองแต่งตั้งมากับมือ ในชั่วระยะเวลาเพียง 1 ปี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร ไม่ใช่ตัวเลือกที่คณะรัฐประหารต้องการจริงๆ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงได้รับมติสนับสนุนจาก รัฐประหารเจ้าเก่าของพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ และแม้ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะพ้นตำแหน่งไปเพราะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 และจัดให้มีเลือกตั้งทั่วไป แต่ก็ยังกลับเข้ามาในตำแหน่งอีกครั้ง ช่วงระหว่างวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2526 จากมติของสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะไม่ได้เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
และ ตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย มีถึง 10 นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ รัฐประหาร ซึ่งมีรายนามดังนี้
1.พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา 2.นายควง อภัยวงศ์ 3.จอมพล ป. พิบูลสงคราม
4.นายพจน์ สารสิน 5.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 6.จอมพลถนอม กิตติขจร
7.นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 8.พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันนทน์ 9.นายอานันท์ ปันยารชุน
10.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และอีกหนึ่งท่านที่พิเศษกว่า 10 รายชื่อที่เป็นนายกจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ รัฐประหาร แต่ดูจากประวัติแล้ว ก็ทราบได้ว่า นายกรัฐมนตรีท่านนี้ก็มิได้มีที่มาแตกต่างจาก 10 ท่านที่กล่าวมา ท่านผู้นี้คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ประวัติส่วนตัวของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ในปี พ.ศ. 2502 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติและวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511-2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร
พลเอกเปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร
พลเอกเปรม รับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ในช่วงนั้น พลเอกเปรมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรทำการหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพลเอกเปรม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย ตอนรับตำแหน่งยังคงควบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ด้วยถึง 25 สิงหาคม พ.ศ. 2524 และการรัฐประหารครั้งล่าสุด 2549 ก็มีหลายฝ่ายเชื่อว่า พลเอกเปรม มีส่วนร่วมกับการกระทำรัฐประหารครั้งนี้(ที่มา ประวัติพลเอกเปรม Wikipedia)
และยุคของพลเอกเปรม ก็ถือได้ว่าเป็นผู้นำรัฐบาลที่หุบอำนาจของประชาชนไปถือครองไว้เองยาวนานที่สุด เพราะการเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรมแต่ละครั้งนั้น ไม่เคยผ่านกระบวนการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยจากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงอย่างประชาชนเลย พลเอกเปรมไม่สังกัดพรรคการเมือง ไม่เคยลงเลือกตั้ง แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเรื่อยมา เพราะอะไร เพราะคุณงามความดีที่ทำไว้ ทำให้มีสิทธิพิเศษเช่นนี้หรือ เพราะเป็นบุคคลที่กุมอำนาจทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จต่อจากยุคของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่
ที่เหลือเก็บไว้ต่อวันหลังนะครับ แต่ที่เล่ามา ยังไม่มียุคไหนช่วงไหนเลย ที่ประชาธิปไตยเป็นอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง
ขอแสดงความเห็นส่วนตัวบ้าง
ร่ายยาวมาตั้งเยอะ ก็ยังไม่มาถึงการเมืองในยุคสมัยปัจจุบัน แต่ก็จะเห็นได้ว่าประชาธิปไตยของไทยนั้น ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริง ประเทศของเราถูกครอบงำด้วยการ “แต่งตั้ง” จากผู้ถือครองอำนาจทางทหารมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะนายกพระราชทาน หรือ รัฐบุรุษ ก็ไม่แตกต่างจากเผด็จการทางทหาร เพราะที่สุดแล้วอำนาจของประชาชนก็ยังถูกบดบังไปอยู่ดี
จึงไม่แปลกที่ประชาชนบางกลุ่มจะรู้สึกชิงชังกับอำนาจ ที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตย์” เพราะกลุ่มคนพวกนี้ มิได้ผ่านกระบวนการวิธีมาตามระบอบที่ควรเป็น ผมเองเมื่อได้ค้นคว้าหาข้อมูลอย่างจริงจังแล้ว ก็รู้สึกใกล้เคียงกับประชาชนเหล่านั้น แต่เลือกที่จะแสดงออกในรูปแบบที่ตัวผมเองคิดว่าเหมาะสม
จริงอยู่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ผลประโยชน์ก็ควรตกถึงประชาชนเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงบ้าง มิใช่ตกแก่กลุ่มคนที่ถือตัวเองว่ามีสิทธิเหนือคนอื่นมาช้านานเพียงกลุ่มเดียว พอมีคนเข้ามาเปลี่ยนแปลง บริหารอำนาจประชาธิปไตยส่งผลให้ผลประโยชน์ไปถึงมือประชาชน อย่างที่ทักษิณทำ ก็จะใช้วัฒนธรรมที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยมายาวนาน เตะโด่งคนที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแบ่งปันผลโยชน์ไป
ความเห็นทางการเมืองสำหรับผม สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามเหตุผลและความเป็นจริง และถ้าตอนนี้ มีตัวเลือกอื่นที่ผมพิจารณาโดยใช้สติปัญญาตรึกตรองแล้ว เห็นว่าเหมาะสมกว่า ทักษิณ ผมก็พร้อมจะเปลี่ยนไปสนับสนุนตัวเลือกอื่น แต่ตอนนี้ ผมยังไม่เห็นตัวเลือกดังกล่าว
และไม่ต้องยก “คุณธรรมความดี”อะไรมาอ้างหรือโน้มน้าวทัศนะคติของผม เพราะบอกเลยว่า ผมมองการเมืองทุกวันนี้เป็นสีเทา คนชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์มีรึเปล่าไม่รู้ แต่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีแน่ และคงไม่ผิดอะไร ถ้าผมจะเลือกคนที่เขาบริหารจัดการประเทศนี้ แล้วกระจายผลประโยชน์ที่ควรเป็นของประชาชน มาสู่ประชาชนอย่างที่เขาเคยทำได้มาแล้ว