“ปลัดฯวิฑูรย์” นัดเอกชนชี้แจงขั้นตอนอนุญาตโรงงาน เข้าใจตรงกัน
ร่นเวลาออกใบ รง.4 เหลือ 60 วันได้ มั่นใจเสร็จภายในปี 57 ก่อนเปิด AEC
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมชี้แจงขั้นตอนการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) แก่ภาคเอกชน โดยเชิญประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมกับประธานกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 39 กลุ่ม ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตลอดจนประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เข้าร่วมหารือ เพื่อให้เข้าใจถึงขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตโรงงานจำพวกที่ 3 ที่จะจัดตั้งใหม่และขยาย โดยตั้งเป้าลดระยะเวลาจาก 90 วัน เหลือ 60 วัน ประเมินสามารถดำเนินการได้ ถ้าเอกชนร่วมมือและจัดเตรียมเอกสารถูกต้องครบถ้วน เพื่อเพิ่มขีดความแข่งขันของประเทศไทยรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจเอเซียน หรือ AEC และขอความร่วมมือภาคเอกชนนำผลการประชุมไปชี้แจงประชาสัมพันธ์แก่สมาชิกและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน
“การชี้แจงขั้นตอนการพิจารณาและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขออนุญาตตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้การพิจารณาอนุญาตโรงงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส และเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันการทำงานในตอนนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาต โดยหน่วยงานอนุญาตมีความเข้าใจตรงกัน ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ไม่มีการเรียกรับสินบนหรือทุจริต นอกจากนี้ยังจัดเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิด ในการช่วยเตรียมเอกสารและทำงานร่วมกันกับภาคเอกชน โดยเฉพาะตลอด 3 เดือนที่ผ่านมามีหลายกรณี เช่น ฮอนด้า โตชิบา บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เป็นต้น ในอนาคตหากทั้งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่มีความเข้าใจในระบบดังกล่าว การดำเนินการจะมีความคล่องตัวขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมอาจมีแนวทางลดระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตลง จาก 90 วันลงเหลือ 60 วัน คือลดระยะเวลาไป 30 วัน โดยเฉพาะการประกอบกิจการโรงงานที่ไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม” นายวิฑูรย์กล่าว
สำหรับการเร่งปรับระบบการออกใบอนุญาตในปีนี้ เป็นการเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่ต้องขจัดอุปสรรคในการลงทุนทั้งหลาย ในปัจจุบันระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจากการจัดลำดับของ World Economic Forum ในปี 2556-2557 อยู่อันดับที่ 37 จาก 148 ประเทศ ดีขึ้นจากปีก่อนหนึ่งอันดับ แต่เมื่อเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ประเทศไทยยังเป็นอันดับ 4 รองจาก สิงคโปร์ (2) มาเลเซีย (24) และบรูไน (26) ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 38 ซึ่งเมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมพัฒนาระบบการอนุญาตโรงงาน ประเด็นเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม การดำเนินงานที่โปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยเชิญชวนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น
พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 กำหนดให้กระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการโรงงานทั่วประเทศไม่ว่าเป็นขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่โดยปกติจะแบ่งโรงงานออกเป็น 3 จำพวก โดยมีประเภทหรือชนิด รวมทั้งสิ้น 107 ประเภท ในการดำเนินการจะมีหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ปฏิบัติงานในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับโรงงานจำพวกที่ 3 ในหลายกรณี กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการยื่นคำขออนุญาต โดยปกติแล้วพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอขยายโรงงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 90 วันตามกฎหมายกำหนด
ความล่าช้าในการพิจารณาออกใบ รง.4 เนื่องมาจากการพิจารณาเอกสารบางครั้งมีเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการยื่นเอกสารไม่ถูกต้องครบถ้วน ทำให้เสียเวลาจัดเตรียมเอกสารใหม่ ทำให้กระบวนการตั้งโรงงาน หรือขยายกิจการเกิดการหยุดชะงัก เพราะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนถึงจะก่อสร้างได้ เกิดการเสียประโยชน์ และไม่เชื่อมั่นในระบบการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมตามมา การยื่นคำขออนุญาตต่างๆ ตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 กำหนดกระบวนการเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบเอกสารที่ผู้ประกอบการจะต้องยื่นขอตามกฎหมาย ซึ่งหากมีความครบถ้วนถูกต้องแล้ว กระบวนการพิจารณาตัดสินใจในการออกใบอนุญาตย่อมเร็วขึ้นได้ แต่หากเอกสารไม่ครบถ้วนแล้วย่อมเกิดปัญหาในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อไปว่า “กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงวิธีการตรวจสอบเอกสารใหม่ โดยเฉพาะการอนุญาตที่จะต้องมีการส่งเรื่องเข้ามาที่ส่วนกลาง และได้ออกคำสั่งกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาคำขอรวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 มีสาระสำคัญของการปฏิบัติว่า การยื่นคำขอจะต้องมีการตรวจสอบถึงความถูกต้อง หากไม่ครบถ้วนถูกต้องจะต้องคืนคำขอให้ผู้ประกอบการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนแล้วจึงจะรับ และในการส่งเรื่องเข้ามาขออนุญาตที่ส่วนกลางนั้น กรณีที่ส่วนกลางจะขอเอกสารใด ๆ เพิ่มเติมจะต้องมีเหตุผลรองรับ นอกจากนี้ยังจัดทำบัญชีเอกสารพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจะต้องยื่นมาพร้อมกับคำขอ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบในลักษณะ Check List ซึ่งหน่วยงานส่วนภูมิภาคและหน่วยงานส่วนกลางจะใช้ระบบการ Check List ตามบัญชีที่เหมือนกัน กรณีนี้จะทำให้การตรวจสอบเอกสารเป็นไปอย่างมีระบบ รวดเร็ว และชัดเจน ที่สำคัญได้มีการจัดประชุมชี้แจงแก่หน่วยงานอนุญาตภายในแล้วถึง 2 ครั้ง
ต่อการทำงานของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ นายวิฑูรย์เปิดเผยว่า “วันนี้ภาคเอกชนทุกฝ่ายต่างเห็นถึงเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็นของการมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ได้ทำให้การออกใบอนุญาตโรงงานล่าช้า แต่ช่วยให้การพิจารณาอนุญาตมีความละเอียดรอบคอบ เพราะดำเนินการในรูปแบบองค์คณะ เป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชุมชนและประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงาน ไม่ให้เกิดปัญหามวลชนไม่พอใจ เพราะคำแนะนำที่ปรากฏเป็นเงื่อนไขของการออกใบอนุญาต ทำให้โรงงานมีการลงทุนเพิ่มเติม ในเรื่องระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดการปล่อยน้ำเสีย มลภาวะ กลิ่นรบกวน กากขยะอุตสาหกรรมที่ปล่อยออกจากโรงงาน รวมทั้งเรื่องที่ตั้งโรงงานว่าอยู่ทับรำลางสาธารณะ ติดประกาศรับฟังความคิดเห็น กระบวนการถูกต้องครบถ้วนตามระบบหรือไม่ แม้กระทั่งแบบโครงสร้าง และตำแหน่งการวางเครื่องจักร เพื่อไม่ให้กระทบต่อชุมชม ฯลฯ นับเป็นการกำกับดูแลตั้งแต่ต้นทางคือก่อนก่อสร้างโรงงาน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง”
-------------------------------------------
“ปลัดฯวิฑูรย์” นัดเอกชนชี้แจงขั้นตอนอนุญาตโรงงาน เข้าใจตรงกัน ร่นเวลาออกใบ รง.4 เหลือ 60 วันได้
ร่นเวลาออกใบ รง.4 เหลือ 60 วันได้ มั่นใจเสร็จภายในปี 57 ก่อนเปิด AEC
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมชี้แจงขั้นตอนการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) แก่ภาคเอกชน โดยเชิญประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมกับประธานกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 39 กลุ่ม ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตลอดจนประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เข้าร่วมหารือ เพื่อให้เข้าใจถึงขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตโรงงานจำพวกที่ 3 ที่จะจัดตั้งใหม่และขยาย โดยตั้งเป้าลดระยะเวลาจาก 90 วัน เหลือ 60 วัน ประเมินสามารถดำเนินการได้ ถ้าเอกชนร่วมมือและจัดเตรียมเอกสารถูกต้องครบถ้วน เพื่อเพิ่มขีดความแข่งขันของประเทศไทยรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจเอเซียน หรือ AEC และขอความร่วมมือภาคเอกชนนำผลการประชุมไปชี้แจงประชาสัมพันธ์แก่สมาชิกและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน
“การชี้แจงขั้นตอนการพิจารณาและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขออนุญาตตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้การพิจารณาอนุญาตโรงงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส และเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันการทำงานในตอนนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาต โดยหน่วยงานอนุญาตมีความเข้าใจตรงกัน ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ไม่มีการเรียกรับสินบนหรือทุจริต นอกจากนี้ยังจัดเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิด ในการช่วยเตรียมเอกสารและทำงานร่วมกันกับภาคเอกชน โดยเฉพาะตลอด 3 เดือนที่ผ่านมามีหลายกรณี เช่น ฮอนด้า โตชิบา บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เป็นต้น ในอนาคตหากทั้งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่มีความเข้าใจในระบบดังกล่าว การดำเนินการจะมีความคล่องตัวขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมอาจมีแนวทางลดระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตลง จาก 90 วันลงเหลือ 60 วัน คือลดระยะเวลาไป 30 วัน โดยเฉพาะการประกอบกิจการโรงงานที่ไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม” นายวิฑูรย์กล่าว
สำหรับการเร่งปรับระบบการออกใบอนุญาตในปีนี้ เป็นการเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่ต้องขจัดอุปสรรคในการลงทุนทั้งหลาย ในปัจจุบันระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจากการจัดลำดับของ World Economic Forum ในปี 2556-2557 อยู่อันดับที่ 37 จาก 148 ประเทศ ดีขึ้นจากปีก่อนหนึ่งอันดับ แต่เมื่อเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ประเทศไทยยังเป็นอันดับ 4 รองจาก สิงคโปร์ (2) มาเลเซีย (24) และบรูไน (26) ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 38 ซึ่งเมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมพัฒนาระบบการอนุญาตโรงงาน ประเด็นเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม การดำเนินงานที่โปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยเชิญชวนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น
พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 กำหนดให้กระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการโรงงานทั่วประเทศไม่ว่าเป็นขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่โดยปกติจะแบ่งโรงงานออกเป็น 3 จำพวก โดยมีประเภทหรือชนิด รวมทั้งสิ้น 107 ประเภท ในการดำเนินการจะมีหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ปฏิบัติงานในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับโรงงานจำพวกที่ 3 ในหลายกรณี กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการยื่นคำขออนุญาต โดยปกติแล้วพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอขยายโรงงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 90 วันตามกฎหมายกำหนด
ความล่าช้าในการพิจารณาออกใบ รง.4 เนื่องมาจากการพิจารณาเอกสารบางครั้งมีเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการยื่นเอกสารไม่ถูกต้องครบถ้วน ทำให้เสียเวลาจัดเตรียมเอกสารใหม่ ทำให้กระบวนการตั้งโรงงาน หรือขยายกิจการเกิดการหยุดชะงัก เพราะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนถึงจะก่อสร้างได้ เกิดการเสียประโยชน์ และไม่เชื่อมั่นในระบบการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมตามมา การยื่นคำขออนุญาตต่างๆ ตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 กำหนดกระบวนการเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบเอกสารที่ผู้ประกอบการจะต้องยื่นขอตามกฎหมาย ซึ่งหากมีความครบถ้วนถูกต้องแล้ว กระบวนการพิจารณาตัดสินใจในการออกใบอนุญาตย่อมเร็วขึ้นได้ แต่หากเอกสารไม่ครบถ้วนแล้วย่อมเกิดปัญหาในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อไปว่า “กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงวิธีการตรวจสอบเอกสารใหม่ โดยเฉพาะการอนุญาตที่จะต้องมีการส่งเรื่องเข้ามาที่ส่วนกลาง และได้ออกคำสั่งกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาคำขอรวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 มีสาระสำคัญของการปฏิบัติว่า การยื่นคำขอจะต้องมีการตรวจสอบถึงความถูกต้อง หากไม่ครบถ้วนถูกต้องจะต้องคืนคำขอให้ผู้ประกอบการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนแล้วจึงจะรับ และในการส่งเรื่องเข้ามาขออนุญาตที่ส่วนกลางนั้น กรณีที่ส่วนกลางจะขอเอกสารใด ๆ เพิ่มเติมจะต้องมีเหตุผลรองรับ นอกจากนี้ยังจัดทำบัญชีเอกสารพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจะต้องยื่นมาพร้อมกับคำขอ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบในลักษณะ Check List ซึ่งหน่วยงานส่วนภูมิภาคและหน่วยงานส่วนกลางจะใช้ระบบการ Check List ตามบัญชีที่เหมือนกัน กรณีนี้จะทำให้การตรวจสอบเอกสารเป็นไปอย่างมีระบบ รวดเร็ว และชัดเจน ที่สำคัญได้มีการจัดประชุมชี้แจงแก่หน่วยงานอนุญาตภายในแล้วถึง 2 ครั้ง
ต่อการทำงานของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ นายวิฑูรย์เปิดเผยว่า “วันนี้ภาคเอกชนทุกฝ่ายต่างเห็นถึงเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็นของการมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ได้ทำให้การออกใบอนุญาตโรงงานล่าช้า แต่ช่วยให้การพิจารณาอนุญาตมีความละเอียดรอบคอบ เพราะดำเนินการในรูปแบบองค์คณะ เป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชุมชนและประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงาน ไม่ให้เกิดปัญหามวลชนไม่พอใจ เพราะคำแนะนำที่ปรากฏเป็นเงื่อนไขของการออกใบอนุญาต ทำให้โรงงานมีการลงทุนเพิ่มเติม ในเรื่องระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดการปล่อยน้ำเสีย มลภาวะ กลิ่นรบกวน กากขยะอุตสาหกรรมที่ปล่อยออกจากโรงงาน รวมทั้งเรื่องที่ตั้งโรงงานว่าอยู่ทับรำลางสาธารณะ ติดประกาศรับฟังความคิดเห็น กระบวนการถูกต้องครบถ้วนตามระบบหรือไม่ แม้กระทั่งแบบโครงสร้าง และตำแหน่งการวางเครื่องจักร เพื่อไม่ให้กระทบต่อชุมชม ฯลฯ นับเป็นการกำกับดูแลตั้งแต่ต้นทางคือก่อนก่อสร้างโรงงาน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง”
-------------------------------------------