***ระวังโดนสปอยสำหรับใครที่ยังดูไม่ถึงตอนหก***
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยหากมีใครตามกระทู้อยู่นะ หายไปนานมากเพราะไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์นี่แหละ
ยิ่งได้เห็นตอนใหม่ ๆ ออกมายิ่งอยากพิมพ์มากจนอดรนทนไม่ไหว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ต้องตัดใจเสียทุกครั้งไป
มาคราวนี้พอเจียดเวลาได้เลยจะพยายามยกประเด็นที่อยากพูดออกมาเท่าที่สามารถทำได้แล้วกันนะคะ
จะพูดถึงมุมมองโดยรวมที่คิดในหัวก่อน จนถึงวินาทีนี้แล้วแน่นอนว่าอนิเมเรื่องนี้มีการเตรียมเรื่องได้เน่นดีมาก จขกท.มองว่ามันสนุกจริง ๆ ที่ได้สังเกตเห็นความเป็นไปในเรื่องที่หลากหลาย มันมีการแตกประเด็นในเรื่องของ “อำนาจ” ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ ด้วยลักษณะที่จขกท.เคยกล่าวไปแบบซื่อ ๆ ว่ามันเหมือน “นรก” แต่ในอนิเมก็ได้นำเอา “เครื่องแบบ” มาเชื่อมโยงและสื่อมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกอย่างมันน่าจะมาจากว่า “what if…” ในเมื่อคนเราในปัจจุบันยังมีความรู้สึกที่ยึดติดกับการใช้เครื่องแบบในการจัดการสังคมมากขนาดนั้น แล้ว “ถ้าหาก” เครื่องแบบมันเกิดมี “อำนาจ” ขึ้นมาจริง ๆ ละ แล้วถ้ามันถูกใช้อย่างสุดโต่งในฐานะเครื่องมือหลักในการปกครองสังคมละ มันจะเป็นอย่างไร? ด้วยเนื้อเรื่องมันก็มีความน่าสนใจมากพออยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น จขกท.คิดอยู่เหมือนกันนะว่าอนิเมเรื่องนี้มันก็แสดงได้ถึงแนวคิดของผู้ผลิตสื่อในสังคมที่มีความเปิดกว้างได้ และอาจรวมไปถึงคนญี่ปุ่นเองด้วย ว่าเขามีแนวคิดกับเรื่องของ “เครื่องแบบ” นี้อย่างไร โอย..ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันลึกซึ้งมาก และคิดว่าของแบบนี้มันจะต้องอาศัยทั้งปัจจัยด้านประสบการณ์ และความรู้ ด้วยอายุอานามของจขกท.แล้วก็ยังถือว่าน้อยมากที่จะมองมันออกได้อย่างถ่องแท้
เอาละได้เวลามาสาวมันกันต่อนะ
ในตอนห้าทุกคนน่าจะได้เห็นพ่อหนุ่มหัวแดงที่ชื่อ Kinagase Tsumugu ไปแล้วถูกไหม เขาผู้นี้ไม่ได้มีความซับซ้อนในแง่ที่จะต้องทำความเข้าใจอะไรให้ยากเลย เพราะด้วยคำจำกัดความที่เขาให้กับตัวเองไปแล้วนั้นก็คือ “Nudist” นั่นเอง ไอ้คำว่า Nudist หรือคนเปลือยกายนี้มันก็น่าจะมีที่มาจาก “Nudism” และ “Naturism” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครรู้จัก “Hippie” หรือ “บุปผาชน” ที่เป็นกระแสที่โด่งดั่งในสหรัฐฯในช่วง 1960s ละก็จะเก็ทตั้งแต่ตอนดูอนิเมเลยละ มันเข้าใจได้ง่ายมากว่าพวกเขาเหล่านี้จะต้องเป็นพวก Anti-Uniform ซึ่งมันไปเกี่ยวเนื่องกับความคิดที่ว่าเครื่องแบบ (uniform) เป็นตัว “ทำลายตัวตน” มันเริ่มด้วยการสลายความเป็นปัจเจกเพื่อเป็นการง่ายต่อการที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง (unify) ขององค์กร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น นอกจากนี้มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะไอ้คำว่า “เปลือย” นี้มันหมายถึงเปลือยจริง ๆ เหล่าบุปผาชนจะไม่ใส่เสื้อผ้าของแบรนด์แนมตามกระแสหลักของบริโภคนิยม (Consumerism) และทุนนิยม (Capitalism) และด้วยเป้าหมายของความต้องการเป็นอิสระของพวกเขา นอกจากเรื่องดนตรี การเสพยา (ดังจะเห็นว่าซึมุงุพูดว่า ข้าอยากจะสูบที่ไหน เมื่อไร มันก็เรื่องของข้า แม้จะเป็นในที่ non-smoking ก็ตาม) การปฏิวัติในเรื่องของเซ๊กส์ สิ่งที่พวกเขายึดถือเป็นแรงผลักดันก็คือ ความโหยหาการ “กลับสู่ธรรมชาติ” และ “ความเท่าเทียม” ในสังคมนั่นแหละ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าซึมุงุจะไม่ชอบคามุอิเอามาก ๆ และมองว่า “มนุษย์” กับ “เครื่องแบบ” ไม่มีทางที่จะเป็น “เพื่อน” กันได้ ซึ่งในที่สุดแล้วตอนห้านี้ก็ได้เผยประกายอะไรบางอย่างที่เป็น punch line ของริวโกะที่พูดกับเซ็นเก็ตสึว่า “...แต่เป็นเพื่อนกันต่างหาก...” แค่ไอ้คำว่า “เพื่อน” นี่แหละคือสิ่งที่ถูกจุดขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ มันเป็นเรื่องจริงแท้ทีเดียวที่คนและเสื้อผ้านั้นจะตัดขาดออกจากกันอย่างสมบูรณ์ได้ยากมาก หรือจะเรียกก็ได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เสื้อผ้าคือสิ่งที่แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์นะ มันเชื่อมโยงกับเรามาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน และอย่างที่กล่าวไปแล้วด้านบนว่า ต่อให้ไม่มี uniform ที่เป็นในลักษณะของการบังคับใส่ แต่มันก็ยังมีเสื้อผ้าในอีกประเภทที่คนเรามักจะใส่ด้วยความเต็มใจเพราะด้วย “ค่านิยม” ของสังคม ดังเช่น เนคไทด์เอย นาฬิกาเอย กางเกง เข็มขัด ชุดราตรีเข้างานสังคม หรือแม้แต่ ชุดแต่งงาน เป็นต้น คือมันยังมีด่านของทุนนิยม รวมไปถึง “ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี” ด้วย ซึ่งไอ้อย่างหลังนี้แหละที่คนส่วนมากมักจะซึมซับมันอย่างเข้มข้นที่สุด พันธนาการเราเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุด เพื่อไม่ให้หลุดไปจากกรอบที่ถูกสั่งสอนมาแต่เดิม พิมพ์ ๆ ไปแล้วก็คิดไปว่าคนเรานี้ซับซ้อน ตั้งแต่เครื่องแบบ กับทุนนิยมมาแล้ว ด้านนึงก็อยากจะเป็นอิสระจากรูปแบบ “อยากจะมีตัวเอง” อีกด้านก็อยากจะทำตัวเหมือนเขา คือ“อยากจะเหมือนคนอื่น” นี่แหละมนุษย์จริง ๆ ละ
เห็นใช่ไหมละว่ามันเป็นอย่างไร จริงอยู่ที่มุมมองของซึมุงุที่ว่า “เครื่องแบบ” ต่างหากละที่ “สวมใส่” เราอยู่ ไม่ใช่เราเป็นผู้สวมใส่มันหรอก (อันนี้ก็ไปอ้างอิงกับเหตุการณ์ย้อนอดีตที่แสดงภาพของผู้หญิงที่ชื่อ “คินุเอะ” ที่เหมือนถูกครอบงำด้วยเครื่องแบบ ซึ่งก็ยังไม่ทราบรายละเอียด) มันก็มีเหตุมีผลอยู่มากพอที่จะเอามาอธิบายได้อยู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะ “การมองเห็น” ในระดับของภายนอกต่างหาก ซึ่งเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มันทำให้เกิดการสนับสนุนทั้งพวกที่จะออกนอกกรอบ รวมไปถึงในส่วนของพวกนิยมชมชอบอำนาจนิยมด้วย ดังจะเห็นได้ว่าเมื่ออำนาจมันไม่บาลานซ์ มีการกดทับของอำนาจมาก ๆ พวกตรงกันข้ามก็ได้แสดงพลังของตนเอง อันเป็นผลมาจากไอ้ความไม่ใส่ใจในปัญหาเล็กน้อยนั้น และบุคคลต่าง ๆ ที่มีสถานะอันสมควรที่จะจัดการได้ก็ไม่ได้เปิดมุมมองให้กว้างขึ้นและตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรบ้าง การมองแบบนั้นต่างจากการมองไปที่ภายใน ซึ่งจขกท.มองว่าริวโกะมีการแสดงตรงจุดนี้ออกมาได้ชัด สรุปคือเธอมีความเป็น “กลาง” มากเลยทีเดียว เธอมองว่าเครื่องแบบคือเพื่อน เธอคุยกับเครื่องแบบ เธอเข้าใจเซ็นเก็ตสึมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละตอนจนเลยขั้นไปถึงระดับของการมองเห็นด้วย “ใจ” ไปแล้ว ไม่ใช่ “ตา” เพราะด้วยคำว่าเพื่อนแท้ ๆ
พูดถึงเรื่องใจกับตาแล้วพาลนึกถึงตอนหกก็จะขอต่อเลยละกัน
อันนี้เป็นตอนหนึ่งของเหล่าสี่จัตุรเทพอีกตอนหลังจากหัวหน้าชมรมวัฒนธรรมที่โผล่มาแวบนึงในตอนห้าไปแล้ว ก็มาถึงคราวของ Sanageyama หัวหน้าชมรมกีฬากันบ้าง แหม..ดูเหมือนจะเผาแบบขี้เกียจนะฉากสู้กัน 55555 (ก็เพราะมันไม่ใช่ริวโกะกับซัตสึกินี่นา) แต่เอาเถอะ ยอม เพราะตอนหกนี้แหละที่ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจโผล่ออกมาให้ได้ตะลึง (ไม่ใช่ฉากซัตสึกิอาบน้ำนะ) ไม่ว่าจะ “แม่” ของซัตสึกิก็ตาม หรือฉากเมืองอันศิวิไลซ์ที่เห็นแวบ ๆ ก็ตาม
ถ้าเจาะแบบเอาตรงประเด็น มันเริ่มที่ตอนย้อนความหลังไปเมื่อสามปีที่แล้ว ที่ซัตสึกิและเหล่าสาวกยังอยู่มัธยมต้น และดูเหมือนว่าซานาเกยาม่าจะยังเป็นเด็กเกอยู่ แน่นอนว่าซัตสึกิและคณะก็ได้ดำเนินภารกิจ ออกเดินทางกวาดล้างเหล่าอนารยชน ที่เป็นพวกอันธพาล มาเฟียพวกนี้ด้วยอุดมการณ์ของเธอและดาบบาคุซัน ซึ่งจขกท.รู้สึกฉงนสนเท่ห์กับการที่มีการแทนภาพซานาเกยาม่าด้วย “ลิง” จึงพยายามทำการค้นหาข้อมูลต่อถึงจะมีความเข้าใจในภาษาญี่ปุ่นต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ตาม ซึ่งปรากกฎว่าในชื่อของเหล่าสี่จัตุรเทพในแต่ละคนนั้นจะมีตัวอักษรที่สื่อถึงสัตว์ในแต่ละชนิด ยกตัวอย่างเช่น Ira Gamagoori (蟇郡 苛) เป็น “คางคก” Uzu Sanageyama (猿投山 渦) เป็น “ลิง” Houka Inumuta (犬牟田 宝火) เป็น “หมา” Nonon Jakuzure (蛇崩 乃音) เป็น “งู” เอาจริง ๆ นะ มันทำให้ จขกท.คิดเอาว่ามันเหมือน “โมโมทาโร่” ที่ออกเดินทางไปปราบโอนิ หรือยักษ์ (ปีศาจ) แล้วก็ระหว่างทางเจอพวกสัตว์ต่าง ๆ แล้วก็เอาขนม “คิบิดังโกะ” ที่เหมือนกับพอสัตว์ได้กินไปแล้วก็จะเชื่อง จะเชื่อฟัง แล้วก็จะติดตามโมโมทาโร่ไปดังนั้น แต่ที่แปลกก็คือ สัตว์ที่ติดตามโมโมทาโร่ไปมันมีแค่สามตัวเอง ซึ่งก็คือ “สุนัข” “ลิง” และ “นก” แต่นี่มีสี่ แล้วนกหายไปไหน คือเข้าใจว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะอิงกับ Nineteen Eighty-Four แต่การที่มันแตกต่างกันในลักษณะนี้มันต้องมีเหตุผลสิ ถ้าใครรู้อะไรมากกว่านี้ หรือความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งสี่ดังกล่าวช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะ จขกท.คิดว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจซึ่งมันอาจจะไม่ได้อ้างอิงโมโมทาโร่ก็ได้
ทีนี้ปิดท้าย (แล้วเดี๋ยวจะมาบวกเพิ่มของแถมให้ทีหลัง) จขกท.อยากจะพูดถึงเรื่อง “เป้าหมาย” ที่แท้จริงของตระกูลซัตสึกินี่แหละ เห็นมีแทรกมาหลายตอนแล้วตั้งแต่ตอนสอง คำของซัตสึกิที่มีนัยสำคัญที่จะเผยถึงเป้าหมายของเธอมันน่าจะพูดโดยรวม ๆ ว่าเป็น “Human Conquest and Liberation Project” อิสรภาพ และการพิชิตของมนุษยชาติมันคืออะไรกันแน่ Liberation คำนี้นอกจากจะหมายถึงการหลุดพ้น หรืออิสรภาพแล้ว ยังหมายถึงการได้รับสิทธิอันเท่าเทียมอีกด้วย เป้าหมายตระกูลของซัตสึกิที่จะใช้ “เครื่องแบบ” ในการที่จะทำให้คนมี “อิสรภาพ” และ “ความเท่าเทียม” น่าคิดนะว่าไหม โดยจขกท.จะขอพิมพ์แต่เท่านี้ก่อน มันยังไม่ชัดเจนนะ เรื่องนี้ก็ได้แต่เดากันไปก่อน แล้วไปเผยเอาตอนหลังนี่น่าสนุกกว่าเยอะ ซึ่งเป้าหมายนี้ก็เป็นสิ่งที่ Dr. Matoi และพวก Nudist Beach ตั้งใจจะขัดขวาง โดยเฉพาะ Matoi ที่แต่แรกเริ่มคิดจะใช้เครื่องแบบคามุอิในการหยุดยั้งเป้าหมายนั้น เดากันต่อนาน ๆ ละกันเนอะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งหากอ่านจบหมด อย่าลืมแสดงความเห็นกันด้วยนะคะ
เดี๋ยวขอไปทำงานก่อน แล้วเดี๋ยวจะพยายามมาพิมพ์ต่อเท่าที่จะหาเวลาได้
จงมาคุยเรื่อง KILL la KILL กันให้สนุกสนานแล้วมองให้ทะลุถึงตับไตไส้พุงกันเถอะ!!![3]
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยหากมีใครตามกระทู้อยู่นะ หายไปนานมากเพราะไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์นี่แหละ
ยิ่งได้เห็นตอนใหม่ ๆ ออกมายิ่งอยากพิมพ์มากจนอดรนทนไม่ไหว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ต้องตัดใจเสียทุกครั้งไป
มาคราวนี้พอเจียดเวลาได้เลยจะพยายามยกประเด็นที่อยากพูดออกมาเท่าที่สามารถทำได้แล้วกันนะคะ
จะพูดถึงมุมมองโดยรวมที่คิดในหัวก่อน จนถึงวินาทีนี้แล้วแน่นอนว่าอนิเมเรื่องนี้มีการเตรียมเรื่องได้เน่นดีมาก จขกท.มองว่ามันสนุกจริง ๆ ที่ได้สังเกตเห็นความเป็นไปในเรื่องที่หลากหลาย มันมีการแตกประเด็นในเรื่องของ “อำนาจ” ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ ด้วยลักษณะที่จขกท.เคยกล่าวไปแบบซื่อ ๆ ว่ามันเหมือน “นรก” แต่ในอนิเมก็ได้นำเอา “เครื่องแบบ” มาเชื่อมโยงและสื่อมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกอย่างมันน่าจะมาจากว่า “what if…” ในเมื่อคนเราในปัจจุบันยังมีความรู้สึกที่ยึดติดกับการใช้เครื่องแบบในการจัดการสังคมมากขนาดนั้น แล้ว “ถ้าหาก” เครื่องแบบมันเกิดมี “อำนาจ” ขึ้นมาจริง ๆ ละ แล้วถ้ามันถูกใช้อย่างสุดโต่งในฐานะเครื่องมือหลักในการปกครองสังคมละ มันจะเป็นอย่างไร? ด้วยเนื้อเรื่องมันก็มีความน่าสนใจมากพออยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น จขกท.คิดอยู่เหมือนกันนะว่าอนิเมเรื่องนี้มันก็แสดงได้ถึงแนวคิดของผู้ผลิตสื่อในสังคมที่มีความเปิดกว้างได้ และอาจรวมไปถึงคนญี่ปุ่นเองด้วย ว่าเขามีแนวคิดกับเรื่องของ “เครื่องแบบ” นี้อย่างไร โอย..ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันลึกซึ้งมาก และคิดว่าของแบบนี้มันจะต้องอาศัยทั้งปัจจัยด้านประสบการณ์ และความรู้ ด้วยอายุอานามของจขกท.แล้วก็ยังถือว่าน้อยมากที่จะมองมันออกได้อย่างถ่องแท้
เอาละได้เวลามาสาวมันกันต่อนะ
ในตอนห้าทุกคนน่าจะได้เห็นพ่อหนุ่มหัวแดงที่ชื่อ Kinagase Tsumugu ไปแล้วถูกไหม เขาผู้นี้ไม่ได้มีความซับซ้อนในแง่ที่จะต้องทำความเข้าใจอะไรให้ยากเลย เพราะด้วยคำจำกัดความที่เขาให้กับตัวเองไปแล้วนั้นก็คือ “Nudist” นั่นเอง ไอ้คำว่า Nudist หรือคนเปลือยกายนี้มันก็น่าจะมีที่มาจาก “Nudism” และ “Naturism” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครรู้จัก “Hippie” หรือ “บุปผาชน” ที่เป็นกระแสที่โด่งดั่งในสหรัฐฯในช่วง 1960s ละก็จะเก็ทตั้งแต่ตอนดูอนิเมเลยละ มันเข้าใจได้ง่ายมากว่าพวกเขาเหล่านี้จะต้องเป็นพวก Anti-Uniform ซึ่งมันไปเกี่ยวเนื่องกับความคิดที่ว่าเครื่องแบบ (uniform) เป็นตัว “ทำลายตัวตน” มันเริ่มด้วยการสลายความเป็นปัจเจกเพื่อเป็นการง่ายต่อการที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง (unify) ขององค์กร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น นอกจากนี้มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะไอ้คำว่า “เปลือย” นี้มันหมายถึงเปลือยจริง ๆ เหล่าบุปผาชนจะไม่ใส่เสื้อผ้าของแบรนด์แนมตามกระแสหลักของบริโภคนิยม (Consumerism) และทุนนิยม (Capitalism) และด้วยเป้าหมายของความต้องการเป็นอิสระของพวกเขา นอกจากเรื่องดนตรี การเสพยา (ดังจะเห็นว่าซึมุงุพูดว่า ข้าอยากจะสูบที่ไหน เมื่อไร มันก็เรื่องของข้า แม้จะเป็นในที่ non-smoking ก็ตาม) การปฏิวัติในเรื่องของเซ๊กส์ สิ่งที่พวกเขายึดถือเป็นแรงผลักดันก็คือ ความโหยหาการ “กลับสู่ธรรมชาติ” และ “ความเท่าเทียม” ในสังคมนั่นแหละ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าซึมุงุจะไม่ชอบคามุอิเอามาก ๆ และมองว่า “มนุษย์” กับ “เครื่องแบบ” ไม่มีทางที่จะเป็น “เพื่อน” กันได้ ซึ่งในที่สุดแล้วตอนห้านี้ก็ได้เผยประกายอะไรบางอย่างที่เป็น punch line ของริวโกะที่พูดกับเซ็นเก็ตสึว่า “...แต่เป็นเพื่อนกันต่างหาก...” แค่ไอ้คำว่า “เพื่อน” นี่แหละคือสิ่งที่ถูกจุดขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ มันเป็นเรื่องจริงแท้ทีเดียวที่คนและเสื้อผ้านั้นจะตัดขาดออกจากกันอย่างสมบูรณ์ได้ยากมาก หรือจะเรียกก็ได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เสื้อผ้าคือสิ่งที่แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์นะ มันเชื่อมโยงกับเรามาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน และอย่างที่กล่าวไปแล้วด้านบนว่า ต่อให้ไม่มี uniform ที่เป็นในลักษณะของการบังคับใส่ แต่มันก็ยังมีเสื้อผ้าในอีกประเภทที่คนเรามักจะใส่ด้วยความเต็มใจเพราะด้วย “ค่านิยม” ของสังคม ดังเช่น เนคไทด์เอย นาฬิกาเอย กางเกง เข็มขัด ชุดราตรีเข้างานสังคม หรือแม้แต่ ชุดแต่งงาน เป็นต้น คือมันยังมีด่านของทุนนิยม รวมไปถึง “ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี” ด้วย ซึ่งไอ้อย่างหลังนี้แหละที่คนส่วนมากมักจะซึมซับมันอย่างเข้มข้นที่สุด พันธนาการเราเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุด เพื่อไม่ให้หลุดไปจากกรอบที่ถูกสั่งสอนมาแต่เดิม พิมพ์ ๆ ไปแล้วก็คิดไปว่าคนเรานี้ซับซ้อน ตั้งแต่เครื่องแบบ กับทุนนิยมมาแล้ว ด้านนึงก็อยากจะเป็นอิสระจากรูปแบบ “อยากจะมีตัวเอง” อีกด้านก็อยากจะทำตัวเหมือนเขา คือ“อยากจะเหมือนคนอื่น” นี่แหละมนุษย์จริง ๆ ละ
เห็นใช่ไหมละว่ามันเป็นอย่างไร จริงอยู่ที่มุมมองของซึมุงุที่ว่า “เครื่องแบบ” ต่างหากละที่ “สวมใส่” เราอยู่ ไม่ใช่เราเป็นผู้สวมใส่มันหรอก (อันนี้ก็ไปอ้างอิงกับเหตุการณ์ย้อนอดีตที่แสดงภาพของผู้หญิงที่ชื่อ “คินุเอะ” ที่เหมือนถูกครอบงำด้วยเครื่องแบบ ซึ่งก็ยังไม่ทราบรายละเอียด) มันก็มีเหตุมีผลอยู่มากพอที่จะเอามาอธิบายได้อยู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะ “การมองเห็น” ในระดับของภายนอกต่างหาก ซึ่งเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มันทำให้เกิดการสนับสนุนทั้งพวกที่จะออกนอกกรอบ รวมไปถึงในส่วนของพวกนิยมชมชอบอำนาจนิยมด้วย ดังจะเห็นได้ว่าเมื่ออำนาจมันไม่บาลานซ์ มีการกดทับของอำนาจมาก ๆ พวกตรงกันข้ามก็ได้แสดงพลังของตนเอง อันเป็นผลมาจากไอ้ความไม่ใส่ใจในปัญหาเล็กน้อยนั้น และบุคคลต่าง ๆ ที่มีสถานะอันสมควรที่จะจัดการได้ก็ไม่ได้เปิดมุมมองให้กว้างขึ้นและตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรบ้าง การมองแบบนั้นต่างจากการมองไปที่ภายใน ซึ่งจขกท.มองว่าริวโกะมีการแสดงตรงจุดนี้ออกมาได้ชัด สรุปคือเธอมีความเป็น “กลาง” มากเลยทีเดียว เธอมองว่าเครื่องแบบคือเพื่อน เธอคุยกับเครื่องแบบ เธอเข้าใจเซ็นเก็ตสึมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละตอนจนเลยขั้นไปถึงระดับของการมองเห็นด้วย “ใจ” ไปแล้ว ไม่ใช่ “ตา” เพราะด้วยคำว่าเพื่อนแท้ ๆ
พูดถึงเรื่องใจกับตาแล้วพาลนึกถึงตอนหกก็จะขอต่อเลยละกัน
อันนี้เป็นตอนหนึ่งของเหล่าสี่จัตุรเทพอีกตอนหลังจากหัวหน้าชมรมวัฒนธรรมที่โผล่มาแวบนึงในตอนห้าไปแล้ว ก็มาถึงคราวของ Sanageyama หัวหน้าชมรมกีฬากันบ้าง แหม..ดูเหมือนจะเผาแบบขี้เกียจนะฉากสู้กัน 55555 (ก็เพราะมันไม่ใช่ริวโกะกับซัตสึกินี่นา) แต่เอาเถอะ ยอม เพราะตอนหกนี้แหละที่ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจโผล่ออกมาให้ได้ตะลึง (ไม่ใช่ฉากซัตสึกิอาบน้ำนะ) ไม่ว่าจะ “แม่” ของซัตสึกิก็ตาม หรือฉากเมืองอันศิวิไลซ์ที่เห็นแวบ ๆ ก็ตาม
ถ้าเจาะแบบเอาตรงประเด็น มันเริ่มที่ตอนย้อนความหลังไปเมื่อสามปีที่แล้ว ที่ซัตสึกิและเหล่าสาวกยังอยู่มัธยมต้น และดูเหมือนว่าซานาเกยาม่าจะยังเป็นเด็กเกอยู่ แน่นอนว่าซัตสึกิและคณะก็ได้ดำเนินภารกิจ ออกเดินทางกวาดล้างเหล่าอนารยชน ที่เป็นพวกอันธพาล มาเฟียพวกนี้ด้วยอุดมการณ์ของเธอและดาบบาคุซัน ซึ่งจขกท.รู้สึกฉงนสนเท่ห์กับการที่มีการแทนภาพซานาเกยาม่าด้วย “ลิง” จึงพยายามทำการค้นหาข้อมูลต่อถึงจะมีความเข้าใจในภาษาญี่ปุ่นต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ตาม ซึ่งปรากกฎว่าในชื่อของเหล่าสี่จัตุรเทพในแต่ละคนนั้นจะมีตัวอักษรที่สื่อถึงสัตว์ในแต่ละชนิด ยกตัวอย่างเช่น Ira Gamagoori (蟇郡 苛) เป็น “คางคก” Uzu Sanageyama (猿投山 渦) เป็น “ลิง” Houka Inumuta (犬牟田 宝火) เป็น “หมา” Nonon Jakuzure (蛇崩 乃音) เป็น “งู” เอาจริง ๆ นะ มันทำให้ จขกท.คิดเอาว่ามันเหมือน “โมโมทาโร่” ที่ออกเดินทางไปปราบโอนิ หรือยักษ์ (ปีศาจ) แล้วก็ระหว่างทางเจอพวกสัตว์ต่าง ๆ แล้วก็เอาขนม “คิบิดังโกะ” ที่เหมือนกับพอสัตว์ได้กินไปแล้วก็จะเชื่อง จะเชื่อฟัง แล้วก็จะติดตามโมโมทาโร่ไปดังนั้น แต่ที่แปลกก็คือ สัตว์ที่ติดตามโมโมทาโร่ไปมันมีแค่สามตัวเอง ซึ่งก็คือ “สุนัข” “ลิง” และ “นก” แต่นี่มีสี่ แล้วนกหายไปไหน คือเข้าใจว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะอิงกับ Nineteen Eighty-Four แต่การที่มันแตกต่างกันในลักษณะนี้มันต้องมีเหตุผลสิ ถ้าใครรู้อะไรมากกว่านี้ หรือความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งสี่ดังกล่าวช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะ จขกท.คิดว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจซึ่งมันอาจจะไม่ได้อ้างอิงโมโมทาโร่ก็ได้
ทีนี้ปิดท้าย (แล้วเดี๋ยวจะมาบวกเพิ่มของแถมให้ทีหลัง) จขกท.อยากจะพูดถึงเรื่อง “เป้าหมาย” ที่แท้จริงของตระกูลซัตสึกินี่แหละ เห็นมีแทรกมาหลายตอนแล้วตั้งแต่ตอนสอง คำของซัตสึกิที่มีนัยสำคัญที่จะเผยถึงเป้าหมายของเธอมันน่าจะพูดโดยรวม ๆ ว่าเป็น “Human Conquest and Liberation Project” อิสรภาพ และการพิชิตของมนุษยชาติมันคืออะไรกันแน่ Liberation คำนี้นอกจากจะหมายถึงการหลุดพ้น หรืออิสรภาพแล้ว ยังหมายถึงการได้รับสิทธิอันเท่าเทียมอีกด้วย เป้าหมายตระกูลของซัตสึกิที่จะใช้ “เครื่องแบบ” ในการที่จะทำให้คนมี “อิสรภาพ” และ “ความเท่าเทียม” น่าคิดนะว่าไหม โดยจขกท.จะขอพิมพ์แต่เท่านี้ก่อน มันยังไม่ชัดเจนนะ เรื่องนี้ก็ได้แต่เดากันไปก่อน แล้วไปเผยเอาตอนหลังนี่น่าสนุกกว่าเยอะ ซึ่งเป้าหมายนี้ก็เป็นสิ่งที่ Dr. Matoi และพวก Nudist Beach ตั้งใจจะขัดขวาง โดยเฉพาะ Matoi ที่แต่แรกเริ่มคิดจะใช้เครื่องแบบคามุอิในการหยุดยั้งเป้าหมายนั้น เดากันต่อนาน ๆ ละกันเนอะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งหากอ่านจบหมด อย่าลืมแสดงความเห็นกันด้วยนะคะ
เดี๋ยวขอไปทำงานก่อน แล้วเดี๋ยวจะพยายามมาพิมพ์ต่อเท่าที่จะหาเวลาได้