หากเราแพ้คดีเขาพระวิหารจะส่งผลถึงพื้นที่ทางทะเลด้วยจริงหรือครับ

ขอบคุณเพื่อนๆชาว Pantip ที่มาช่วยกันตอบนะครับ ทำให้ผมได้ความกระจ่างในเรื่องนี้มากทีเดียว และเพื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆที่สนใจเรื่องนี้ท่านอื่นๆ (รวมถึงพวกที่ถูกหลอกให้เชื่อ หรือเชื่อโดยไม่หาข้อเท็จจริงเพิ่มว่าหากเราแพ้คดีเขาพระวิหารจะส่งผลถึงพื้นที่ทางทะเลด้วย) ผมอำนวยความสะดวกด้วยการนำคำตอบที่ดีๆในกระทู้นี้มาใส่ไว้ให้ใน Spoil นะครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
................................................................................................................................................

เอาจริงๆตัวผมไม่มีความรู้เรื่องนี้นะครับ แต่ผมตัดสินจาก common sense (ที่อาจจะผิด) ของผม (ที่ได้รับรู้เรื่องใส่สีตีไข่ในบ้านนี้เมืองนี้มาพอสมควร) ผมไม่เชื่อครับว่า "การแพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารจะส่งผลถึงการสูญเสียพื้นที่ (หรือผลประโยชน์) ในทะเลด้วย" ซึ่งการที่ผมมาตั้งกระทู้นี้ไว้ก็เผื่อว่า common sense ของผมจะผิด ผมจะได้ปรับเปลี่ยนเสียใหม่ครับ

สืบเนื่องมาจากเพจๆหนึ่งเอาข้อมูล (จะเรียกว่าข้อมูลหรือเรื่องแต่งดี?) มาตามนี้ครับ

และนี่คือข้อความประกอบครับ


ผมเอ็งคิดแบบโง่ๆเลยนะครับ คือเขาพระวิหารกับอ่าวไทยมันอยู่ไกลกันมากตามรูปนะครับ

เลยไม่คิดว่าหากเราแพ้คดีเขาพระวิหารจะส่งผลถึงพื้นที่ทางทะเลด้วยจริง (กรณีนี้ผมไม่สนใจพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. บนบกนะครับ ว่าถ้าเราแพ้คดีนี้ พื้นที่ดังกล่าวเราจะเสียไปหรือไม่ เว้นแต่การเสียพื้นที่บนบกดังกล่าวจะส่งผลให้ส่งผลถึงพื้นที่ทางทะเลด้วย อันนี้คงต้องนำมาพิจารณา)

แล้วผมก็ไปเจอเอกสารของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เรื่องการอ้างสิทธิไหล่ทวีปในอ่าวไทยของแต่ละประเทศ

จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็เอาประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่โดยอ้างสิทธิไหล่ทวีปในอ่าวไทยกันใหญ่เวอร์มาก (โปรดสังเกตไทยเราประกาศหลังคนอื่นๆเขาด้วย) ซึ่งผมว่าอันนี้แต่ละประเทศก็มuสิทธิอ้างล่ะครับ แต่ในความเป็นจริงประเทศเพื่อนบ้านก็คงไม่ยอมเช่นกัน ผมเลยคิดไปเอ็งว่ากรณีนี้ถ้าจะเอาคู่กรณีไทย-มาเลเซียมาพิจารณา ก็น่าจะกล่าวได้ว่า พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area: JDA) ก็คือบทสรุปเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์กันคนละครึ่งบนกรณีพิพาทเรื่องการอ้างสิทธิดังกล่าว

ทีนี้ลองมาพิจารณาคู่กรณีไทย-กัมพูชาบ้าง ผมก็เจออีกรูปหนึ่งครับ

ซึ่งผมคิดเอาว่านี่คือบทสรุประหว่างไทย-กัมพูชาที่ผ่านการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศมาแล้ว คือ พื้นที่สีเหลืองเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเป็นสิทธิของไทยเท่านั้น ขณะที่พื้นที่สีเขียวให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมเช่นเดียวกับ JDA Thai-Malaysia
ซึ่งผมคิดเอาเอง (อีกแล้ว) ว่า ก่อนหน้านี้ (ก่อนหน้าปี 2544 ตามรูป) กัมพูชาอ้างว่าพื้นที่สีเหลืองนั้นเป็นของเขาด้วย แต่เราไม่ยอมให้ จนเป็นทีมาของการทำ MOU ดังกล่าวเพื่อหาบทสรุปร่วมกัน

คำถามของผมก็คือ ถ้าเราแพ้คดีเขาพระวิหารไอ้ข้อตกลงตาม MOU ปี 2544 มันจะเปลี่ยนไปจนทำให้เราเสียประโยชน์ (เช่น กัมพูชามามีสิทธิร่วมเหนือพื้นที่สีเหลืองด้วย หรือ กัมพูชามีสิทธิเหนือพื้นที่สีเขียวแต่เพียงผู้เดียว) หรือไม่ครับ

ต้องรบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายเรื่องนี้ด้วยครับ และผมสัญญาว่าถ้าผมรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเป็นอีก 1 กระบอกเสียงเพื่อช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง (รวมถึงไปปะ ฉะ ดะ กับไอ้พวกเต้าข่าวเพื่อสร้างความแตกแยก) สืบต่อไปครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
ดังนั้นเมื่อหลักเขตที่ 73 ยังคงอยู่เป็นที่ยอมรับ    ตรวจสอบยืนยันได้ตามสภาพธรรมชาติของแหลม  

และยังเป็นที่ยอมรับทั้งไทยและเขมร  ดังนั้นหลักเขตจุดนี้คือจุดตายตัวของพื้นที่อาณาเขตไทย    

เพราะถึงหลักอื่นๆจะขยับไปไม่ตรงเดิม    แต่สุดท้ายเส้นเขตแดนก็ต้องลากมาสู่หลักที่ 73 ที่จุดเดิมอยู่ดี

ดังนั้นแม้ภายในจะมีการเปลี่ยนแปลงหลักเขต   แต่รับรองว่าพื้นที่ทะเลไทยไม่มีทางหายรึลดไปได้      

นอกจากว่าจะเกิดภัยพิบัติ    แผ่นดินตรงแหลมสารพัดพิษยุบหายลงไปในทะเลนั่นแหละ    กรณีนี้ก็ทำใจ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ไม่ ทางทะเลวัดที่ปลายเเหลมจังหวัดตราด
เขาพระวิหารอยุ่ลึกในเเผ่นดินตั้งไกล ไม่เกี่ยว เอาไว้หลอกพวกที่เกลียดรัฐบาลเท่านั้นเอง
ความคิดเห็นที่ 11
สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งริปับลิกฝรั่งเสศ 23 มีนาคม ร.ศ.125 พ.ศ.2449/50 (ค.ศ.1907) ข้อ 2 ว่า

"รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราษกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยามตามกำหนดเขตแดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตแดนดังกล่าวมาแล้ว"

กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด นอกจากนี้เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ร.ศ.125 (ค.ศ.1907) โดยระบุว่า"รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม"

นอกจากนี้ กรมอุทกศาสตร์ได้สร้างกระโจมไฟบนเกาะกูดเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือ และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ที่ทหารเรือไทยดูแล จึงเป็นสิ่งแสดงชัดเจนว่าไทยถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินเกาะกูดตลอดมา และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างสิทธิใด ๆ"

http://hilight.kapook.com/view/62465


เกาะกูดเป็นของไทยและกัมพูชาก็ยอมรับมาตลอดว่าเป็นของไทย

แผนที่ที่อ้างถึงที่ติดอยู่ที่ตำรวจน้ำเกาะกงนั้น เป็นแผนที่ที่กัมพูชาใช้ในการประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะในปี 2515 ซึ่งทำขึ้นก่อนแผนที่ที่ไทยประกาศ 1 ปี

เส้นนั้นลากจากเส้นฐานคือปลายสุดของจังหวัดตราดออกไปยังอ่าวไทย ซึ่งจะทับกับเส้นของไทยที่ลากจนเกิดพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย

ปัญหาเรื่องนี้ก็คือ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างอิง อ้างอิงจากแผนที่ตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสในปี 1907 ซึ่งฝรั่งเศสระบุว่ายกดินแดนให้ไทยคือเมืองตราดไปจนถึงหมู่เกาะในอ่าวไทยจนถึงเกาะกูดให้ไทย ถ้าไปสังเกตุดูดี ๆ แผนที่ของกัมพูชา แม้ว่าจะลาดเส้นเขตเศรษฐกิจจำเพาะในทะเลผ่านเกาะกูดออกไป แต่ก็จะวงเล็บไว้ตลาดว่า (Siam) หรือ (Thailand) และการลากเส้นของกัมพูชา แท้จริงคือการลากมาชนเกาะกูด และอ้อมเกาะกูดไปจนกลับมาในแนวเดิมอีกครั้งในอีกด้านของเกาะ

เกาะกูดเป็นเกาะที่ไทยมีอธิปไตยมายาวนาน มีกฏหมายบังคับใช้ มีการสร้างกระโจมไฟ มีขอบเขตอำนาจ มีการปกครอง และกัมพูชาไม่เคยโต้แย้งเรื่องนี้ กลับกันกัมพูชายอมรับมาตลอดว่าเกาะกูดเป็นของไทย และเขาก็ไม่ได้อ้างสิทธิเหนือเกาะกูดครับ

ทำไมเส้นเป็นอย่างนั้น? ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฏหมายทะเลในปี 1958 (UNCLOS 1958) ระบุให้รัฐชายฝั่งสามารถมีเขตเศรษฐกิจจำเพาะได้ 200 ไมล์ทะเลจากทะเลอาณาเขต เส้นที่เราลากก็อ้างอิงจากอนุสัญญาฉบับนี้ และเช่นกันเส้นที่กัมพูชาลากก็อ้างอิงจากอนุสัญญาฉบับนี้ และอนุสัญญาฉบับนี้มีข้อกำหนดอีกอย่างนึงว่า เส้นที่รัฐชายฝั่งลาก จะผูกพันเฉพาะรัฐชายฝั่งนั้น ถ้ามีเขตทับซ้อน ให้ใช้การเจรจาตกลงกัน นั่นหมายความว่า เส้นของกัมพูชาก็ผูกพันเฉพาะกัมพูชาไม่ผูกพันกับไทย แต่ก็เช่นเดียวกันว่าเส้นที่ไทยลากนั้นผูกพันกับไทยไม่ผูกพันกับกัมพูชา ประเทศใดจะบอกว่า ฉันลากแบบนี้ ทุกคนต้องยอมรับตามนี้นั้นไม่ได้ ถ้ามีการทับกันต้องเจรจากันครับ .... ทั้งสองประเทศลากเส้นตามที่อนุสัญญาให้สิทธิ และพยายามลากให้ได้พื้นที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Maximum claim) ซึ่งเราก็ทำแบบนี้ และไม่ใช่ว่าเส้นใครจะถูกจะผิดมากกว่ากัน เพราะทั้งสองประเทศลากโดยอ้างอิงอนุสัญญาเดียวกัน แต่พอดีมีประเทศทั้งสองมันใกล้กันเกินไป เลยเกิดพื้นที่ทับซ้อนขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าตกใจครับ

ดังนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเกาะกูดจะเป็นของกัมพูชา หรือเราจะโดนกฏหมายปิดปากครับ เพราะเขตแดนในทะเลมันต้องมาเจรจากัน แบบกรณีเกาะโลซินของเรากับมาเลเซียที่ทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมหรือ JDA ขึ้นมา และในการเจรจาได้กระทำผ่าน MoU ปี 2544 ซึ่งใน MoU นั้นตัดพื้นที่ทับซ้อนเป็นสองส่วน คือส่วนบนที่ลองติจูดที่อยู่ใต้เกาะกูดมา 30 ไมล์ทะเล ตรงนี้กำหนดให้เจรจากำหนดเขตแดนกัน เพราะไทยก็ไม่ได้ยอมรับเส้นที่กัมพูชาลาก ส่วนพื้นที่ทับซ้อนด้านล่างลงไป กำหนดให้เจรจาแบ่งผลประโยชน์กันในทำนองเดียวกับ JDA

ดังนั้น สรุปได้ว่า
- อธิปไตยเหนือเกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน และกัมพูชาก็ยอมรับเรื่องนี้ และไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด
- เส้นของกัมพูชาลากชนเกาะกูด และอ้อมมาตามชายฝั่งจนมาถึงอีกด้านหนึ่งของเกาะกูด
- เส้นทั้งหลายไม่ใช่ข้อสรุป จำเป็นที่จะต้องมีการเจรจากันอีกครั้ง และจนถึงวินาทีนี้ ไทยก็ไม่ได้ยอมรับเส้นที่กัมพูชาอ้าง
- ด้งนั้นเรื่องนี้สบายใจได้ ดูเส้นที่เขาลากแล้วจะตกใจ แต่ถ้าดูดี ๆ จะพบว่าไม่น่าห่วงเลยครับ
ความคิดเห็นที่ 23
จากภาพในคห.22 จะเห็นว่าตรงส่วนมาเลเซียนั้นชายฝั่งของไทยเป็นแบบเฉียงขึ้น

ดังนั้นเส้นอาณาเขตทะเลของไทยก็ควรจะเฉียงขึ้นตาม     ไม่ควรจะมีส่วน MTJDA จริงมั้ยครับ

นี่เองคือกรณีที่อธิบายได้ชัด     ว่าอาณาเขตทะเลว่ากันด้วยกฎหมาย

เพราะทางไทยไปงัดเอาเกาะๆหนึ่งขึ้นมาอ้าง     ซึ่งเกาะนั้นตามกฎหมายก็ย่อมมีน่านน้ำของตน    

ทำให้ไทยเราสามารถอ้างอาณาเขตทะเลยาวไปในส่วน MTJDA ได้    

แทนที่มาเลเซียจะเป็นเจ้าของคนเดียว ไทยเราก็มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของด้วย

เรื่องเกาะที่ว่านี้ถ้าอยากได้รายละเอียดลองค้นดูด้วยคำว่า      เกาะโลซิน      กองหินที่มีค่าดั่งโคตรเพชร
ความคิดเห็นที่ 28
เรื่องเขาพระวิหารกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไม่จะเกี่ยวกันนะครับ  แต่ที่เขาเอามาโยงเพราะมันง่ายที่จะถูกนำมาใช้เพื่อปลุกระดมทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกระทบต่อความรู้สึกของคน ยิ่งเอามาผูกกับเรื่องผลประโยชน์เข้าไปยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งที่มันจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้

   ลองดูความเห็นของผู้ที่ทำงานในการเจรจาเขตแดนระหว่างประเทศมาตลอด อย่างพลเรือเอกถนอม เจริญลาภ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)อดีตเจ้ากรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ    ผ่านจุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับ 110  

  

   ขอตัดย่อมาส่วนนึง    ถ้าจะอ่านฉบับเต็มเข้าไปอ่านได้     http://www.geozigzag.com/pdf/110.pdf  

   หรือ โหลดเอกสารฉบับอื่นได้ จาที่นี่ครับ   http://stability.trf.or.th/default.aspx



  ส่วนเรื่องเกาะกูด ท่านได้กล่าวไว้ในเอกสารด้วย  ว่ายังไงเกาะกูดก็เป็นของไทยแน่นอนไม่มีทางตกเป็นของกัมพูชาได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม   เรื่องเส้นเขตแดนที่มีผลกระทบมาจากเรื่องเขาพระวิหาร บางคนยังแชร์ในเฟสถึงขนาดว่า  เราจะสูญเสียแท่นแก๊สแท่นน้ำมันในอ่าวไทยไปด้วยซ้ำ ไม่รู้มันคิดกันได้ยังไง (ไอ้คนที่แชร์นี่ทำงานในทะเลด้วยนะ)
ความคิดเห็นที่ 22
จากที่ได้ศึกษาเรื่องอาณาเขตทะเลมา    ขอยืนยันครับว่าอาณาเขตทางบกกับอาณาเขตทะเลนี่เป็นคนละเรื่อง

อาณาเขตทางบกมีการอ้างอิงทั้งสนธิสัญญา-ประวัติศาสตร์     แต่อาณาเขตทางทะเลว่ากันด้วยกฎหมายอย่างเดียว  (อาจจะมีอิงอย่างอื่นบ้างเช่น เกาะ)

เพราะอะไร    เพราะว่าพื้นที่บกนั้นมีการครอบครองแสดงสิทธิได้   แต่พื้นที่ทะเลใครจะไปครอบครองได้      จะให้ไปครอบครองทะลกันอย่างไร

ดังนั้นอาณาเขตทะเลจึงว่ากันด้วยกฎหมายทะเลเท่านั้น   รวมไปถึงสภาพภูมิประเทศชายฝั่ง      และเกาะ

หากประเทศไหนมีภูมิประเทศชายฝั่งยาวออกไป     ตามกฎหมายทะเลการขีดเส้นอาณาเขตทะเลก็ต้องลากตามถูมิประเทศที่เป็นไป

กรณีไทยกับเขมรนั้นตามกฎหมายไม่มีประเด็นอะไรที่ต้องสงสัยเลย      เพราะเขมรทำผิดหลักอย่างชัดเจนที่ลากตัดเกาะกูดของไทยมา

ตามหลักกฎหมายทะเลถึงเป็นเกาะก็มีน่านน้ำอาณาเขตของตน     ดังนั้นเขมรจะลากเส้นอะไรมาทางไทย    

จะต้องคำนวณพื้นที่ที่คาบเกี่ยวกันและหักหลบน่านน้ำของเกาะกูดไปก่อน    

เพียงแต่หากไทยเสียดินแดนชายฝั่งตรงแหลมสารพัดพิษไปส่วนหนึ่ง   คืออาณาเขตไม่ไปสุดตรงจุดเดิม  

ก็อาจส่งผลต่อการลากเส้นอาณาเขตทะเลได้    ต้องลดลงมาตามอาณาเขตชายฝั่ง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่