🧭 ประเด็นข้อสังเกตและข้อวิจารณ์สำคัญของ MOU 2544
1. เร่งรีบผิดปกติ (ใช้เวลาเพียง 4 เดือน)
รัฐบาลเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเดือน ก.พ. 2544 แต่กลับผลักดันให้มีการลงนามใน MOU ภายในเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน
มีการเจรจาไม่เป็นทางการล่วงหน้าเพียงครั้งเดียวในเดือน เม.ย.
ข้อสังเกต: อาจสะท้อนถึง “ความไม่รอบคอบ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
2. ความผิดพลาดในเอกสารแนบท้าย (ละติจูดเขียนผิดเป็นลองจิจูด)
จุดที่ควรระบุว่า 11°N (ละติจูด) กลับเขียนเป็น 11°E (ลองจิจูด)
แม้จะดูเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิค” แต่ในเอกสารที่เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ เพราะส่งผลต่อขอบเขตสิทธิในทรัพยากรทางทะเล
ชี้ถึงการจัดทำอย่าง ไม่รอบคอบ หรือมีเจตนาแฝง
3. เปลี่ยนท่าทีการเจรจาของไทย ทำให้เสียเปรียบ
ก่อนปี 2544 ท่าทีไทยคือ กัมพูชาต้องปรับเส้นไหล่ทวีปให้ถูกต้องตามอนุสัญญาเจนีวา 1958
แต่ MOU 2544 กลับเปลี่ยนเป็นยอม ร่วมพัฒนา (JDA) โดยไม่ต้องปรับเส้นไหล่ทวีป
นำไปสู่การเปิดทางให้กัมพูชาอ้างสิทธิพื้นที่มากขึ้น ทั้งที่ตามหลักกฎหมายทะเล กัมพูชาแทบไม่มีสิทธิในพื้นที่เหนือ 11°N
4. ข้อผูกพันทางกฎหมาย – ยกเลิกได้ยาก
แม้เป็น MOU ไม่ใช่สนธิสัญญาเต็มรูปแบบตอนเริ่มต้น แต่เมื่อพัฒนาไปสู่การตกลงร่วม (JDA) จะเข้าข่าย หนังสือสัญญา ตามรัฐธรรมนูญ ม.178
MOU ไม่มีข้อกำหนดให้ยกเลิกได้ฝ่ายเดียว
การยกเลิกตามกฎหมายระหว่างประเทศ (เช่น อนุสัญญาเวียนนา 1969) ต้องอาศัยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หรือมีเหตุผลพิเศษที่ชัดเจนเท่านั้น
⚖️ ข้อพิจารณาทางกฎหมาย
MOU 2544 ณ ขณะลงนาม:
ไม่เข้าข่าย “หนังสือสัญญา” ตาม รธน. 2540 ม.224 (ไม่ต้องผ่านรัฐสภา)
แต่ ถ้ากลไก MOU นำไปสู่การตกลงที่เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยหรือสิทธิในพื้นที่นอกอาณาเขตไทย → เข้าข่ายตาม รธน. 2560 ม.178 → ต้องผ่านรัฐสภา และมีการรับฟังประชาชน
ความผูกพันระหว่างประเทศ:
แม้ไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาเวียนนา 1969 แต่กฎที่ใช้ก็เป็น จารีตประเพณีกฎหมายระหว่างประเทศ → ผูกพันทั้งสองประเทศอยู่ดี
การยกเลิก MOU จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเรื่อง “fundamental change of circumstance” ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิสูจน์
รัฐบาลปัจจุบัน ควรจะ
1.ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางการทูตอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเขตแดน
2.เปิดเผย MOU และเอกสารแนบท้ายทั้งหมดต่อสาธารณะ เพื่อความโปร่งใส
3.ให้รัฐสภาตรวจสอบความชอบธรรมของข้อตกลงที่มีผลต่ออธิปไตย
4.จัดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ
5.เจรจาใหม่หรือทบทวนข้อตกลง หากเป็นไปได้ ภายใต้หลักแห่งความเสมอภาคและประโยชน์ร่วมกัน
MOU 2544
1. เร่งรีบผิดปกติ (ใช้เวลาเพียง 4 เดือน)
รัฐบาลเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเดือน ก.พ. 2544 แต่กลับผลักดันให้มีการลงนามใน MOU ภายในเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน
มีการเจรจาไม่เป็นทางการล่วงหน้าเพียงครั้งเดียวในเดือน เม.ย.
ข้อสังเกต: อาจสะท้อนถึง “ความไม่รอบคอบ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
2. ความผิดพลาดในเอกสารแนบท้าย (ละติจูดเขียนผิดเป็นลองจิจูด)
จุดที่ควรระบุว่า 11°N (ละติจูด) กลับเขียนเป็น 11°E (ลองจิจูด)
แม้จะดูเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิค” แต่ในเอกสารที่เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ เพราะส่งผลต่อขอบเขตสิทธิในทรัพยากรทางทะเล
ชี้ถึงการจัดทำอย่าง ไม่รอบคอบ หรือมีเจตนาแฝง
3. เปลี่ยนท่าทีการเจรจาของไทย ทำให้เสียเปรียบ
ก่อนปี 2544 ท่าทีไทยคือ กัมพูชาต้องปรับเส้นไหล่ทวีปให้ถูกต้องตามอนุสัญญาเจนีวา 1958
แต่ MOU 2544 กลับเปลี่ยนเป็นยอม ร่วมพัฒนา (JDA) โดยไม่ต้องปรับเส้นไหล่ทวีป
นำไปสู่การเปิดทางให้กัมพูชาอ้างสิทธิพื้นที่มากขึ้น ทั้งที่ตามหลักกฎหมายทะเล กัมพูชาแทบไม่มีสิทธิในพื้นที่เหนือ 11°N
4. ข้อผูกพันทางกฎหมาย – ยกเลิกได้ยาก
แม้เป็น MOU ไม่ใช่สนธิสัญญาเต็มรูปแบบตอนเริ่มต้น แต่เมื่อพัฒนาไปสู่การตกลงร่วม (JDA) จะเข้าข่าย หนังสือสัญญา ตามรัฐธรรมนูญ ม.178
MOU ไม่มีข้อกำหนดให้ยกเลิกได้ฝ่ายเดียว
การยกเลิกตามกฎหมายระหว่างประเทศ (เช่น อนุสัญญาเวียนนา 1969) ต้องอาศัยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หรือมีเหตุผลพิเศษที่ชัดเจนเท่านั้น
⚖️ ข้อพิจารณาทางกฎหมาย
MOU 2544 ณ ขณะลงนาม:
ไม่เข้าข่าย “หนังสือสัญญา” ตาม รธน. 2540 ม.224 (ไม่ต้องผ่านรัฐสภา)
แต่ ถ้ากลไก MOU นำไปสู่การตกลงที่เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยหรือสิทธิในพื้นที่นอกอาณาเขตไทย → เข้าข่ายตาม รธน. 2560 ม.178 → ต้องผ่านรัฐสภา และมีการรับฟังประชาชน
ความผูกพันระหว่างประเทศ:
แม้ไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาเวียนนา 1969 แต่กฎที่ใช้ก็เป็น จารีตประเพณีกฎหมายระหว่างประเทศ → ผูกพันทั้งสองประเทศอยู่ดี
การยกเลิก MOU จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเรื่อง “fundamental change of circumstance” ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิสูจน์
รัฐบาลปัจจุบัน ควรจะ
1.ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางการทูตอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเขตแดน
2.เปิดเผย MOU และเอกสารแนบท้ายทั้งหมดต่อสาธารณะ เพื่อความโปร่งใส
3.ให้รัฐสภาตรวจสอบความชอบธรรมของข้อตกลงที่มีผลต่ออธิปไตย
4.จัดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ
5.เจรจาใหม่หรือทบทวนข้อตกลง หากเป็นไปได้ ภายใต้หลักแห่งความเสมอภาคและประโยชน์ร่วมกัน