ประวิติศาสตร์จุดเริ่มและอนาคตจุดจบของความแตกแยก

วันนี้พอดีว่างๆนะครับ แล้วผมเองก็เพิ่งกลับมาในราชดำเนินแห่งนี้ เลยเกิดอาการของขึ้น เพราะนั่งคิดอะไรเพลินๆเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอยู่ ก็สะดุดกับคำถามของตัวเองที่ว่า ทำไมต้องออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม? ออกเพราอะไร? แล้วก็คิดต่อไปเรื่อยจนย้อนไปถึงคำถามสำคัญที่ว่า เราแตกแยกตั้งแต่เมื่อไร? และเราจะรักกันเหมือนเดิมได้ไหม? (จริงๆเอาแค่ไม่เป็นศัตรูกับผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน รับฟังคนที่เห็นต่างอย่างไม่มีอคติแค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงกับรักกันหรอกครับ)

    มีใครลองมองย้อนกลับไปดูบ้างไหม ว่าประเทศไทยตกอยู่ใน สภาวะแตกแยก ตั้งแต่เมื่อใด และเคยลองคิดทบทวนกันดูบ้างไหม ว่าต้องทำเช่นไร ให้ระบบประชาธิปไตยที่ทุกคนบอกว่า มันคืออำนาจของประชาชนได้ทำหน้าที่ของมันจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงประเด็นที่ต้องช่วงชิงจนเกิดความแตกแยก เราลองมาย้อนอดีต เพื่อหาทางออกให้อนาคตกันดูครับ แล้วผมจะลองสรุปประเด็นตามทัศนะของผมเองว่า อะไรมันคือสาเหตุ ของความแตกแยกระหว่างคนในชาติ

    เท่าที่ผมจำได้และค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อยืนยัน จุดเริ่มความแตกแยกที่แบ่งคนในประเทศนี้ออกเป็น 2 ฝ่าย (เริ่มตอนแรกยังไม่มีสีครับ มีแค่ชอบทักษิณ กับไม่ชอบทักษิณ)คือต้นปี 2549 ที่ คุณทักษิณและเครือญาติ ได้ขายหุ้น บ.ชินคอร์ป ในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 73000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มเทมาเส็กจากสิงคโปร์ จนเกิดกระแสความไม่พอใจจากกลุ่มนักวิชาการบางกลุ่ม (เท่าที่จำได้ มีอยู่ 2 คนที่ออกทีวีบ่อยๆ คือ นายธีรยุทธ บุญมี กับ นาย แก้วสรร อดิโพธิ) ซึ่งโจมตีการทำงานของรัฐบาลในยุคนั้น ว่าเป็น “ระบอบทักษิณ” มีการทุจริตอย่างเบ็ดเสร็จ

    แต่คนที่นำคำว่า “ระบอบทักษิณ” มาใช้สร้างความแตกแยกของสังคมไทยเป็นผลสำเร็จ คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งโดนมติให้ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ปลายปี 2548 และคนอย่างนายสนธิ “ฆ่าได้ หยามไม่ได้” จึงตอบโต้ด้วยการเปลี่ยนเป็นการจัดรายการนอกสถานที่แทน โดยเริ่มต้นที่สวนลุม เนื้อหาในรายการตอนจัดนอกสถานที่ คือการโจมตี รัฐบาลทักษิณ เพียงอย่างเดียว รับลูกเอาคำว่า “ระบอบทักษิณ” มาขยายผล และแตกประเด็นโจมตีลุกลามไปถึง การล้มล้างสถาบัน

    และประเด็นการล้มล้างสถาบันนี้ ก็เป็นจุดเริ่มของ คนเสื้อเหลือง หรือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่แสดงตนอย่างเปิดเผยว่าต้องการให้ ทักษิณออกจากตำแหน่ง และล็อคสเป็คให้  นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรับช่วงตำแหน่งต่อไป (พล่ามมาตั้งหลายบรรทัด พี่หล่อของGU เพิ่งจะโผล่) จุดขายของพันธมิตรเน้นวิธีทางการตลาด มีการใส่เสื้อสีเหลืองพร้อมผ้าโพกศีรษะที่มีข้อความว่า "กู้ชาติ"ร้องไห้ขอใช้อคตินิดนึงครับ ที่ชาติ GU กู่ไม่กลับ ก็เพราะเมิงงงนั้นแหละ)

    โดยส่วนตัวแล้ว เรื่องโกงหรือทุจริตคอรัปชั่นและเรื่องล้มสถาบัน คือประเด็นแรกที่ผมขอสรุปว่า มันคือสาเหตุของความแตกแยกในครั้งนี้ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิของทุกคน ผมเองก็เชื่อว่า โกง แต่ก็ยังเชื่อต่อไปอีกว่า นักการเมืองมันก็โกงกันทุกคนนั้นแหละ ไม่ต้องมากระแดะเอาทองปิดหน้าตัวเองแล้วทำตาใสด่าคนอื่นว่าโกงแต่ตัวเองสุจริต ส่วนเรื่องล้มสถาบันผมมองบอกมันเป็นเพียงคำโกหกที่มุ่งร้ายทำลายกันทางการเมืองมากกว่า ไม่ต่างอะไรกับการตะโกน “ปรีดีฆ่าในหลวง” ในโรงหนังสมัยก่อนเลย แต่ที่แน่ๆ 2เรื่องนี้คือกระแสที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกันแน่นอน

    15 ก.ย. 2549 ได้มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซึ่งมีความเห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ควรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล จนกระทั่งลงเอยด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร ส่งผลให้ฝ่ายทหาร คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก้าวขึ้นสู่อำนาจ และเข้ามามีบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550

    และ นปก แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้เอง เพื่อต่อต้านรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และขับไล่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กับ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และกลุ่ม นปก.ก็เริ่มใช้สีแดงเพื่อ รณรงค์ให้ประชาชนลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (ตอนนี้เอง ที่คนไทยเริ่มถูกแบ่งเป็น 2 สี)

    ต่อมาผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 พรรคพลังประชาชน ชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยดำเนินการเคลื่อนไหวก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร กลับมาชุมนุมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้มีการปิดล้อมท่าอากาศยานนานาชาติหลายแห่ง อันส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

    2551 นี้เอง ที่ลุงหมักที่รักของผมตกเก้าอี้เพราะทำกับข้าว เจอสุดยอดกระบวนยุทธ เปิดพจนานุกรม ของคำว่าลูกจ้าง กระแส ดับเบิ้ลสแตนดาร์ด เกิดขึ้นมาในองค์กรอิสระ ที่ถูกตั้งขึ้นในยุค คมช.

    โดยส่วนตัวแล้วประเด็น 2มาตรฐานนี้แหละ ที่ผมเห็นว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริงอีกสาเหตุหนึ่งของความแตกแยกในชาติเรา ถ้าเกิดความยุติธรรมให้ทั้งสองฝ่าย เรื่องราวมันจะไม่บานปลายมาขนาดนี้แน่นอน

    และ 2551 นี้เองที่ นปก. เปลี่ยนชื่อเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช.และได้ออกมาปะทะกับกลุ่มพันธมิตร การปะทะกันของทั้งสองกลุ่มเป็นสัญญาณที่เด่นชัดแล้วว่า นับต่อจากนี้เป็นต้นไป “ใครที่เห็นต่างจากกู พวกมันผิด” และด้วยแนวคิดแบบสุดโต่งนี้เอง ทำให้คนที่เห็นต่างจากตัวเอง ถูกยัดเยียดจากอีกฝ่ายทันที ว่าอยู่สีนั้น สีนี้ (ผมเองจากคนไม่มีสี อยู่ดีๆก็เป็นเสื้อแดงซะง้าน เป็นตอนไหนหว่า การชุมนุมอะไรกะเขาก็ไม่เคยไป แค่แสดงออกว่าชอบการทำงานของทักษิณ ก็โดนมองว่าเป็นเสื้อแดง)

    และดับเบิ้ลแสตนดาร์ดก็แพลงฤทธิ์อีกครั้ง ภายหลังจากมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 นาย สมชาย ก็ต้องตกเก้าอี้นายกไปในคราวนี้ด้วย ในวันรุ่งขึ้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศยุติการชุมนุมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง

    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้เกิดการชุมนุมต่อต้านจนนำไปสู่ความรุนแรงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 สงกรานต์เลือด เป็นเหตุการณ์การเดินขบวนทางการเมืองและความไม่สงบตามมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 14 เมษายน พ.ศ. 2552 ในกรุงเทพมหานครและพัทยาต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและมีการสลายการชุมนุมด้วยทหารตามมา ช่วงที่การประท้วงถึงขีดสุด มีผู้ประท้วงมากถึง 100,000 คน(ไม่ได้อ้างเอง วิกิเขาบอกมานะ)

    และอีกครั้งใน ปี 2553 ที่การปะทะกันของผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ รุนแรงถึงขั้น สงครามกลางเมือง มีความรุนแรงไปถึงระดับ ใช้อาวุธสงคราม ปืน M79 และพลซุ่มยิง เข้าห้ำหั่นกัน ผลสุดท้าย คือตายเจ็บหลายร้อยชีวิต ประเทศชาติเสียหายหลายร้อยล้าน ความเสียหายทางความรู้สึกมากมายมหาศาลจนไม่อาจประมาณได้

    2 ปี  231 วัน ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีหลายร้อยชีวิตที่ต้องสูญเสียไป เพราะว่ามีความเห็นที่แตกต่าง และประเด็นความรุนแรงก็คือประเด็นสุดท้าย ที่ผมมองว่าทำให้บ้านเมืองเราแตกแยก

    ขอสรุปอีกที ตามทัศนะส่วนตัวผมเอง ความแตกแยกในชาติเราจริงๆไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล ไม่ใช่เรื่องของทักษิณ และก็ไม่ใช่เรื่องของอธิสิทธิด้วย แต่เป็นแค่ 3 ประเด็นนี้
1.ประเด็นโกงหรือทุจริตคอรัปชั่นและกระแสปลุกปั่นล้มเจ้า
2.ประเด็น 2มาตรฐาน
3.ประเด็นความรุนแรงที่ใช้จัดการกับผู้ชุมนุม
    ส่วนทักษิณหรืออภิสิทธิจะไปเกี่ยวเนื่องกับประเด็นใด มันก็เป็นเรื่องของการกระทำ ไม่ใช่จะเอาตัวบุคคลมาตั้งข้อกล่าวหา

    พ.ร.บ.นิรโทษกรรม(เหมาเข่ง)ก็ไม่จำเป็น ถ้าลองคิดแก้ไขปัญหา 3 จุดนี้ได้ ก็พอจะมองเห็นทางออกของประเทศชาติ ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหา3จุดนี้ ต้องทำอย่างไรนั้นลองใช้ความคิดตรึงตรองกันดูนะครับ ผมคิดของผมได้แล้ว แต่เก็บเอาไว้เองไม่ขอแสดงออกมา
และถ้าคิดให้ดี คิดโดยเจือปนอคติให้น้อยที่สุด(ผมเองก็มีอคติ ตอนเขียนบทความนี้ แต่ก็พยายามเจือปนมาให้น้อยที่สุด) ก็น่าจะได้รูปแบบที่ใกล้เคียงกับหนทางรอดของประเทศชาติครับ

                            ด้วยความรักและห่วงใยประเทศชาติ
                                     นายพระรองตลอดกาล

ป.ล.มีจิกกัดนิดหน่อย คนที่เห็นต่างจากผมคงไม่ถือนะครับ คิดเสียว่ามันเป็นสีสันของราชดำเนิน
กะทู้นี้ผมอยากมีส่วนช่วยส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือเกิน 7 บรรทัดนะครับ ยาวๆตามสไตล์นายพระรองฯ
และถ้าหากคิดจะโต้แย้งก็ทำได้นะครับ แต่ขอให้มาจากสติปัญญา มิได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกด้านลบ เพราะถ้าคุณทำเช่นนั้น ความเห็นของคุณจะถูกตีค่าเป็นเพียงมลภาวะทางสายตาสำหรับผู้อ่านนะครับ
สมองใช้ให้เยอะๆครับ จินตนาการใช้น้อยๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่