มุฮัรรอม ปีใหม่แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช

بسم الله الرحمن الرحيم


ค่ำลงของวันนี้ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของอิสลาม หรือว่า วันที่ 1 เดือนมุฮัรรอม ฮิจเราะฮ์ศักราช1435 ดังนั้นวันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายและสิ้นสุดปี ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1434 สู่ ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1435

ปีฮิจเราะฮ์ศักราช ตามปฏิทินอิสลามนั้นถือตามทางจันทรคติ ซึ่งจะมีจำนวนวันในแต่ละเดือนแตกต่างกับปฏิทินสากล คือ แต่ละเดือนตามปฏิทินอิสลามจะมี 29 หรือ 30 วันเท่านั้น จะไม่มีเดือนที่มี 28 วัน และ 31 วัน เหมือนปฏิทินสากล ซึ่งถือตามทางสุริยคติ เมื่อครบ 1 ปี ตามปีปฏิทินอิสลามจำนวนวันในรอบ 1 ปี จะมีจำนวนวันน้อยกว่าจำนวนวันตามปีปฏิทินสากลประมาณ 10 วัน ดังนั้นวันขึ้นศักราชใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ของอิสลามก็จะร่นเร็วขึ้นประมาณปีละ 10 วัน ทุกปี

การถือศีลอดหรือการบวชของพี่น้องมุสลิมซึ่งจะต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน หรือเดือนที่ 9 ของปฏิทินอิสลามและการประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งจะต้องกระทำในเดือนซุ้ลฮิจยะฮ์ หรือเดือนที่ 12 ของปฏิทินอิสลาม เดือนที่พี่น้องมุสลิมถือศีลอดหรือและทำพิธีฮัจย์ จึงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ซึ่งบางปีจะตรงกับฤดูหนาว บางปีตรงกับฤดูร้อน และบางปีก็ตรงกับฤดูฝน หมุนเวียนไปตลอดกาล ซึ่งเป็นฮิกมะฮ์(ความโปรดปราณ)จากเอกองค์อัลลอฮ์ อย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงโปรดประทานแก่พี่น้องมุสลิม

     
ที่มาและความสำคัญของศักราชอิสลาม หรือฮิจเราะฮ์ศักราชถือเอาการอพยพของท่านนบีมุฮัมมัด และบรรดาผู้ที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อ 1430 ปีที่ผ่านมา โดยอพยพย้ายจากการพำนักที่มหานครมักกะห์สู่นครมาดีนะฮ์ ซึ่งเดิมเรียกว่า “เมืองยัษริบ” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมาดีนะฮ์ตุลนบี เรียกสั้นๆ ว่า “มาดีนะฮ์” ซึ่งเป็นการย้ายถิ่นที่อยู่จากสถานที่ที่มีบรรยากาศแห่งการต่อต้านและทำลายล้างอิสลาม โดยชาวมักกะฮ์มาสู่บรรยากาศแห่งความเอื้ออารี ความมีภารดรภาพเดียวกันระหว่างชาวเมืองมาดีนะฮ์ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธาที่จะรับนับถือศาสนาอิสลาม กับชาวมักกะฮ์ผู้อพยพ


     
ทั้งนี้เนื่องจากการที่ท่านนบีมุฮัมมัด ใช้เวลาในการเทศนาเผยแผร่เชิญชวนชาวมักกะฮ์ให้ศรัทธาในคำสอนของอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าที่แท้จริง เพื่อให้หันกลับมายึดมั่นศรัทธาและประพฤติปฏิบัติตามแนวทางอิสลาม ละทิ้งการเคารพบูชาเจว็ด (รูปปั้น รูปเคารพ รูปสักการะ) และสิ่งงมงายต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งท่านได้รับการต่อต้านจากชาวมักกะฮ์อย่างรุนแรงมาก ถูกข่มเหงรังแกจากชาวมักกะห์ที่เคารพบูชาเจว็ดต่างๆ จนในที่สุดมีการปองร้ายหมายเอาชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด

เพราะชาวมักกะฮ์ที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเห็นว่า ศาสนาอิสลามกำลังจะแผ่ขยายมากขึ้นในมักกะฮ์ จึงพยายามจะทำร้ายถึงขั้นเอาชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงฮิดายะห์(ให้ทางนำ)ให้ท่านนบีมุฮัมมัด อพยพบรรดามุสลิมไปยังเมืองยัษริบ หรือเมืองมาดีนะฮ์ ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะห์อัลอัมฟาลอายะห์(โองการ)ที่ 30 มีความหมายโดยสรุป ว่า

“เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่เนรคุณได้ว่างแผนเพื่อกักกันเจ้าไว้ หรือฆ่าเจ้า หรือขับไล่เจ้าเพื่อไม่ให้มีโอกาสเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
  แต่อัลลอฮ์ ได้ทรงวางแผนที่ประเสริฐยิ่งกว่าแผนใดๆ ทั้งมวล”

     
คือ ให้ท่านนบีมุฮัมมัด อพยพไปสู่เมืองมาดีนะฮ์  ซึ่งในการอพยพดังกล่าวนี้ ชาวมาดีนะฮ์ได้มีการติดต่อท่านนบีมุฮัมมัด มาก่อนหน้าที่จะอพยพแล้ว และมีแนวโน้มว่าชาวเมืองมาดีนะฮ์จะรับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการอพยพสู่นครมาดีนะฮ์ ได้มีการช่วยเหลือกันระหว่างชาวเมืองมะดีนะฮ์ เรียกว่า “อันศ๊อร” (ผู้ช่วยเหลือ) กับผู้อพยพที่เรียกว่า “มูฮาญิรีน” ท่านนบีมุฮัมมัด ได้ใช้ชีวิตในเมืองมาดีนะฮ์ เพื่อเผยแผ่อิสลามเป็นเวลา 10 ปี


ช่วงแรกพี่น้องมุสลิมในนครมาดีนะฮ์ต้องทำสงครามต่อสู้ป้องกันตัวจากการรุกรานของชาวมักกะฮ์ที่หมายจะทำลายล้างพลังของมุสลิมในเมืองมาดีนะฮ์ การทำสงครามนั้นส่วนใหญ่มุสลิมได้รับชัยชนะต่อผู้รุกรานที่ปฏิเสธอิสลาม มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มุสลิมพ่ายแพ้ต่อชาวมักกะห์  คือสงครามอุฮุด ซึ่งเป็นสงครามที่ท่านนบีมุฮัมมัด ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ และมีมุสลิมหลายคนต้องเสียชีวิตในสมรภูมิแห่งนี้ อันเนื่องมาจากกำลังพลมุสลิมบางกลุ่มเห็นแก่ทรัพย์สินของศัตรูในสงคราม จนละทิ้งที่มั่นเป็นเหตุให้กองทัพของมักกะฮ์ ซึ่งคุมทัพโดยท่านคอลิด บินวะลีด โจมตีกองทัพมุสลิมจนแตกพ่าย (ในขณะนั้นท่านคอลิด ยังไม่ได้เข้ารับนับถืออิสลาม)


ในที่สุดชาวมักกะฮ์เองต้องยอมพ่ายแพ้ต่อพลังมุสลิม ยอมให้ท่านนบีมุฮัมมัด และผู้นับถือศาสนาอิสลามเข้ามหานครมักกะฮ์ โดยไม่มีการสู้รบต่อต้านจากชาวนครมักกะฮ์ แต่อย่างใด ท่านนบีมุฮัมมัด ได้ให้อภัยแก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของท่านทุกคน มิได้มีการแก้แค้นต่อผู้ที่เคยทำร้ายท่าน และต่อมาผู้คนในแถบคาบสมุทรอาหรับก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและเป็นประเทศมุสลิมในที่สุด

     
ศักราชของอิสลามใช้คำว่าฮิจเราะห์ศักราช ใช้ตัวอักษรย่อว่า “ฮ.ศ.” คำว่า ฮิจเราะฮ์ หมายถึง “การอพยพ” คือ การอพยพของท่านนบีมุฮัมมัด และบรรดาสหายของท่านพร้อมกับชาวมุสลิมจากมักกะฮ์ไปสู่มาดีนะฮ์ หลังจากที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้เสียชีวิต
ท่านคอลิฟะฮ์(กาหลิบ)อุมัร อิบนุคอฎฎ็อบ  ผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามคนที่สองต่อจากท่านอบูบักร์ ได้ปรึกษากันว่า อิสลามควรจะต้องมีการนับศักราชเพื่อใช้ในการกำหนดวัน เดือน ปี เช่นเดียวกับคริสตศักราช แต่การเริ่มศักราชของอิสลามจะเริ่มเมื่อใดนั้น ได้มีบรรดาอัครสาวกที่ใกล้ชิดของท่านนบีมุฮัมมัด และบรรดาผู้นับถือศาสนาอิสลามในเวลานั้นเสนอแนวทางในการกำหนดศักราชอิสลาม 4 แนวทางด้วยกัน คือ

1. เสนอให้ถือเอาปีเกิดของท่านนบีมุฮัมมัด  เป็นปีเริ่มต้นศักราช

2. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด เริ่มเผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นปีเริ่มต้นศักราช

3. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด อพยพจากเมืองมักกะฮ์สู่เมืองมาดีนะฮ์ เป็นปีเริ่มต้นศักราช

4. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด เสียชีวิต เป็นปีเริ่มต้น ศักราช

ข้อสรุปในที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด อพยพจากมหานครมักกะฮ์สู่นครมาดีนะฮ์ ซึ่งเป็นปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด ถูกชาวมักกะฮ์ที่เคารพบูชาเจว็ด และสิ่งงมงายต่างๆ มุ่งหวังจะเอาชีวิต และเมื่ออพยพสู่นครมาดีนะฮ์นั้น ชาวเมืองมาดีนะฮ์ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก และเป็นปีที่มีความสำคัญในการเริ่มแผ่ขยายการเผยแพร่ศาสนาอิสลามจนประสบกับความสำเร็จในเวลาต่อมา จึงเริ่มต้นนับศักราชของอิสลามตั้งแต่ปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด  และบรรดามุสลิมได้อพยพจากมักกะฮ์สู่มาดีนะฮ์ คือ ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) นับแต่นั้นเป็นต้นมา



มุฮัรรอม ปีใหม่อิสลาม มุสลิมจะทำอะไรกันในเดือนมุฮัรรอม?  

ความสำคัญของเดือนมุฮัรรอม

เดือนมุฮัรรอมเป็นเดือนที่หนึ่งของปฎิทินอิสลาม เป็นเดือนหนึ่งในสี่เดือนที่ฮารอม(ต้องห้าม)
ได้แก่เดือนซุ้ลกอดะฮ์(เดือนที่11) เดือนซุลฮิจยะฮ์(เดือนที่12 เดือนการทำฮัจย์) เดือนมุฮัรรอม(เดือนที่1) และเดือนรอญับ(เดือนที่7)
นักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่าเดือนฮารอมที่ประเสริฐที่สุดได้แก่เดือนมุฮัรรอม

สิ่งที่ควรปฏิบัติในเดือนมุฮัรรอม คือการถือศีลอดในวันที่ 10 มุฮัรรอม

วันที่สำคัญในเดือนมุฮัรรอมคือวันที่ 10  เรียกวันนี้ว่าวันอาชูรอ สิ่งที่ควรปฏิบัติในวันอาชูรอคือการถือศีลอด เพราะเป็นวันที่อัลลอฮ์ได้ให้ความปลอดภัยแก่ท่านนบีมูซา(โมเสส) และชาวบนีอิสรออีล และเป็นวันที่อัลลอฮ์ได้ให้ ฟิรอูน(ฟาโรห์) กับพรรคพวกของเค้าจมน้ำตาย

การเฉลิมฉลองปีใหม่ในอิสลาม

แม้ว่าเดือนมุฮัรรอมจะเป็นเดือนที่หนึ่งในปฏิทินอิสลาม แต่ก็ไม่มีบัญญัติให้มีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่แต่อย่างใด วันสุดท้ายของเดือนซุลฮิจยะฮ์ และวันที่ 1 เดือนมุฮัรรอมของทุกปี จึงเป็นวันทำการปกติของโลกมุสลิมโดยทั่วไป และไม่พบว่ามีประเทศมุสลิมประเทศใดกำหนดให้2วันนี้เป็นวันหยุด หรือมีการจัดงานเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามอิสลามได้กำหนดให้มุสลิมมีวัน 2 วันสำหรับการเฉลิมฉลอง คือวันที่ 1 ของเดือนเชาวาล(เดือนที่10หลังเทศกาลถือศีลอดเดือนรอมฎอน) เรียกว่าวันอิดิลฟิตรี และวันที่ 10 เดือนซุลฮิจยะฮ์ (เดือนที่12 เดือนการทำฮัจย์) เรียกว่าวันอิดิลอัฎฮา มุสลิมจะใช้วันทั้งสองวันนี้เพื่อเฉลิมฉลองแทนวันขึ้นปีใหม่ ถ้าจะให้เข้าใจกันง่ายๆคือ มุสลิมถ้าเป็นเรื่องในทางศาสนา ทุกอย่าง ถ้าหากไม่มีหลักฐานอนุญาติ จากอัลกุรอานหรือไม่มีหลักฐานยืนยันการปฎิบัติของท่านศาสดามุฮัมมัด หรือสหายของท่าน หรือความเห็นจากบรรดานักปราชญ์แห่งยุคสมัย เกี่ยวกับพิธีการต่างๆของศาสนา ก็จะไม่มีการอุตริทำพิธีขึ้นมาเองครับ ที่เราเห็นทุกวันนี้ว่าทำไมมุสลิมปฎิบัติเหมือนกันทั่วโลก ก็เพราะสิ่งที่ปฎิบัติหรือกระทำต้องมีจากอัลกุรอาน และการกระทำจากท่านนบีมุฮัมมัด หรือบรรดาสหายของท่าน และบรรดาปราชญ์ที่มีทรรศนะไม่ขัดกับหลักการครับ ดังนั้น ไม่มีอิสลามแบบไทย อิสลามแบบอาหรับ อิสลามแบบยุโรบ อิสลามแบบอัฟริกา มุสลิมมีแบบอย่างเดียวคือ แบบอย่างจากท่านนบีมุฮัมมัด

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ





แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่