เราเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนค่ะ อยากให้สิ่งที่ตัวเองเขียนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผ็อื่นได้ ถ้าอ่านแล้วได้รับอะไรไปจะดีใจมากๆเลยค่ะ แหะๆ
รบกวนช่วยวิจารณ์ให้ด้วยนะคะ(เป็นครั้งแรกที่เขียนแล้วให้คนอื่นดู รู้สึกเปลือยเปล่ามากเลยค่ะ!)
ขอบคุณค่ะ
v
v
v
v
v
v
เรื่องหัวขโมยกระดาษ
“ถ้าการสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมามันง่ายขนาดนั้น ศิลปินก็คงไม่ต่างจากแกนกระดาษชำระหรอก”
ผมยังจำคำพูดและแววตาของเขาได้ดี ชายหนุ่มแปลกประหลาดที่เติมเชื้อฟืนให้กับสิ่งที่ผมคิดว่าดับมอดไปแล้ว
การที่คนเราจะข้ามผ่านเส้นบางๆที่กั้นระหว่างตัวเรา กับสิ่งที่เราอยากเป็นมักยากลำบากเสมอ ด้วยความที่ว่ามนุษย์มีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนความคาดหวังให้กลายเป็นความกลัว จนท้ายที่สุดก็ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ เช่นเดียวกับที่หลายวันมานี้ผมพยายามจะสร้างงานศิลปะของตัวเอง แต่พบว่าสุดท้ายแล้วมีเพียงแค่ความผิดหวังเท่านั้นที่กระจายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด สิ่งที่ตัวเองคาดว่ามันดีพอกลับกลายเป็นภาพที่ยุ่งเหยิงและไร้แก่นสาร
ผมอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆก็ได้
ผมถอนหายใจยืดยาว บางทีผมน่าจะเชื่อคำของคุณป้าข้างบ้านว่าทำงานน่าเบื่อๆไปเถอะแล้วจะชินไปเอง แต่ผมว่ามันน่าเศร้าและขมขื่นเกินไป เหมือนกับการขายวิญญาณตัวเองให้กับเงินนั่นแหละ มันดีแล้วหรือ? สิ่งที่ทำอยู่ก็จับต้องอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าทำงานที่มั่นคงคุณแม่กับคุณพ่อที่อยู่บนสวรรค์รวมถึงคุณยายที่เลี้ยงดูผมมาอาจจะสบายใจก็ได้ มันน่าจะเป็นแบบนั้น หากแต่บางอย่างภายในตัวผมกลับครางเบาๆอยากเศร้าสร้อยเวลาผมเริ่มคิดแบบนั้นเสมอ
ผมควรจะทำอะไรสักอย่าง
ฝนตกโปรยปรายด้านนอกหน้าต่างยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่สามารถหลุดออกไปจากสภาวะนี้ได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจหยิบร่มลายทางที่จับฉลากได้ตอนวันปีใหม่พร้อมหมวกแก๊ปลายทหาร มุ่งหน้าไปแกลเลอรี่เก่าๆที่อยู่อีกฝากหนึ่งของถนน จริงๆแล้วถือว่าเป็นที่สร้างแรงบัลดาลใจที่ใกล้มาก แต่ถ้าเป็นไปได้ผมเลือกที่จะไม่ไป เพราะอิทธิพลจากรูปภาพเหล่านั้นอาจทำให้ผมไขว้เขวและเพลอเลียนแบบไอเดียของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว มันทำให้ผมรู้สึกแย่
แม้ว่าถนนหนทางจะเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังด่ากราดเรื่องฝนตกและรถติด กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคืองใดๆ อย่างน้อยเขาก็มีเรี่ยวแรงพอที่จะตะโดนด่ากัน ต่างกับผมซึ่งรู้สึกกลวงโบ๋เหมือนแกนกระดาษชำระ
ภายนอกตัวอาคารไม่ได้ดูโดดเด่นนัก ติดจะดูซอมซ่อเกินไปเสียหน่อยด้วยซ้ำ แตกต่างจากภายในแบ่งเป็นชั้นมากมายตามประเภทของงานศิลป์ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพสีน้ำมัน สีน้ำ รูปถ่าย รูปปั้น ฯลฯ แต่ละรูปราคาแพงมากๆ เกินกว่าค่าผ่อนรถเดือนแรกซะอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของอาคารจะนำเงินที่ได้มาปรับปรุงรูปลักษณ์ของตัวอาคารแต่อย่างใด
การเข้าแต่ละครั้งต้องเสียค่าเข้าชมร้อยบาทต่อวัน พนักงานเก็บเงินมีสภาพเหมือนฮิปปี้ผมยาวผอมแห้งชอบสูบบุหรี่ตามหนังอินดี้ทุนต่ำ แต่ต่างกันตรงที่เขาชอบเล่นไอแพดมาก และมักจะเหลือบตามองผมช้าๆเพื่อเตือนให้ผมรู้ว่าต้องจ่ายเงิน หลังจากนั้นจะเมินผมราวกับไม่มีอะไรในโลกน่าสนใจกว่าไอแพดสีขาวเครื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นของภาพสีน้ำมัน ผมชอบสีน้ำมันมากที่สุด เพราะเราสามารถแก้ไขมันได้เรื่อยๆ แล้วยังสามารถทนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างยาวนาน เช่นเดียวกับงานของศิลปินเอกอย่างLeonardo Da Vinci และ Vincen Van Gogh หวังว่าผมจะมีโอกาสได้สร้างสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของผู้คนแบบนั้นได้บ้าง
ภายในชั้นถูกตกแต่งด้วยสีขาวราวกับเป็นผืนกระดาษที่ว่างเปล่า เรียงรายไปด้วยภาพขนาดเล็ก ใหญ่มากมาย หากสิ่งที่สะดุดตาของผมกลับไม่ใช่ภาพ แต่เป็นชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งสเก็ตภาพของหญิงสาวในชุดแต่งงานสีแดงรายล้อมไปด้วยนักบัลเลท์ และฉากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวดำ ตัวเจ้าสาวราวกับกำลังมองเขาด้วยใบหน้าที่ยากจะบ่งบอกอารมณ์ ดูเหม่อลอยและเศร้าสร้อย ผมอดไม่ได้ที่จะเดินไปใกล้เขา โดยที่ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปทำไม
“การยืนมองคนอื่นวาดรูปไม่ใช่มารยาทที่ดีเลยนะ”
เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาจากงานสเก็ตในมือ ดูเหมือนจะเป็นรูปเจ้าสาวคนนั้น แต่เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอโทษครับ”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับรู้ เขามีผมสีดำสนิทและหยักศกเล็กน้อย ซึ่งยาวพอให้เจ้าตัวมัดรวบไว้ด้วยความรำคาญ หลังจากเขาลงดินสอเส้นสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นสบตาผม ในปากคาบแท่งพลาสติกสีขาว ซึ่งเวลาต่อมาผมรู้ว่ามันคือจูป้าจุ๊บรสสตรอเบอรี่ เขาเอียงคอแล้วเกาหัว มองผมเหมือนกับคุณครูที่ไม่เข้าใจว่าลูกศิษย์ทำบ้าอะไรอยู่
“ผมไม่ถือหรอก แต่คุณต้องการอะไร”
ผมอึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร อยากคุยก็ไม่เชิง อยากดูรูปที่เขาวาดก็ไม่ใช่ แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาดึงดูดผม เหมือนกับเขามีบางสิ่งที่ผมขาด และผมต้องการมันมาก
“เอ่อ.. ทำไมคุณถึงลอกงานของคนอื่นล่ะ”
เขาหรี่ตา ปิดสมุดสเกตรูปเล่มเล็ก แล้ววางมันไว้ข้างตัวพร้อมกับดึงจูป้าจุ๊บรสสตรอเบอรี่ออกมาจากปาก
“นายคิดว่าฉันลอกเธอ? ฉันดัดแปลงเธอต่างหาก เธอไม่อยากทำหน้าแบบนั้นไปตลอดกาลหรอก”
เขาหันไปยิ้มให้กับรูปภาพ แล้วมองผมเหมือนผมมาจากดาวอื่น ซึ่งความจริงแล้วผมว่าเขานั่นแหละที่น่าจะมาจากดาวอื่น การลอกเลียนแบบหรือดัดแปลงงานของคนอื่นมันก็ไม่ดีทั้งนั้น ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน
“แต่คุณก็ลอกงานคนอื่นอยู่ดี แถมดัดแปลงด้วย มันไม่แย่ไปหน่อยเหรอ”
เขาเลิกคิ้ว
“คุณไม่มีนักวาดที่ชอบหรือไง ไม่เคยวาดรูปตามพวกเขาเหรอ”
ชายคนนั้นจ้องผมเหมือนผมทรยศต่ออะไรบาง เขาเลียลูกอมสีชมพูนั่นพร้อมกับหันหน้าไปหาเจ้าสาวในชุดสีแดง ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่า วาดรูปตามคนที่ชอบงั้นเหรอ?แน่นอนว่าเคย ผมชอบนักวาดชาวรัสเซียคนหนึ่งมาก งานของเขาเป็นการวาดภาพเหมือนโดยใช้การแรเงา และฝนภาพด้วยดินสอและผงถ่าน ผมรู้สึกเสมอเวลาผมเห็นภาพเหล่านั้น แต่ถ้าลอกเลียนแบบภาพเหล่านั้นต่อไป เมื่อไหร่จะสามารถสร้างงานที่เป็นของเราจริงๆได้เล่า ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ในเงาของนักวาดที่เราชื่นชอบต่อไปหรอกหรือ
“แน่นอนว่าเคย แต่ถ้าลอกต่อไปเรื่อยๆเมื่อไหร่จะมีเป็นของตัวเองจริงๆสักที”
“ใจแคบจัง ทั้งๆที่ศิลปินขายวิญญาณตัวเองเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจต่อผู้อื่นแท้ๆ”
“อย่าพูดเหมือนรู้ดีไปหน่อยเลย”
“คุณเลยไม่ทำอะไรสักอย่าง” เขายิ้ม แต่ผมกลับโมโห
“คุณจะไปรู้อะไร!”
ผมตะคอกเสียงดัง ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีแต่เสียงลมหายใจ และผมก็เริ่มรู้สึกว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร เขายังคงยิ้มอยู่แต่ตาเบิกโพลง
“...”
“ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร ไม่นึกว่าจะโกรธจริงๆ”
เขาตบไหล่ผมเบาๆ ขยับตัวไปด้านซ้ายแล้วโบกมือให้ผมไปนั่งข้างเขา โดยที่หันหน้าเข้าหาภาพเจ้าสาวคนเดิมซึ่งผมแอบคิดว่าสีหน้าเธอดูแอบตกใจ และโกรธในคราวเดียวกัน
“คุณอยากเป็นจิตรกรเหรอ” เขาพูด
“แน่นอน... แต่ว่าผลงานของผมมันไม่น่าพอใจ ไม่มีแรงบันดาลใจ คงจะเป็นไม่ได้หรอก”
เขาจ้องผมพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด พร้อมเคี้ยวจูป้าจุ๊บที่เหลือ
“ฝึกฝนไปเรื่อยๆ การกระโดดข้ามหน้าผามันน่ากลัวแถมยากลำบาก คุณจำเป็นต้องเตรียมพร้อม”
“ให้ฝึกฝนโดยการเลียนแบบงานคนอื่นงั้นเหรอ? ผมว่ามันจะทำให้หาตัวเองไม่เจอสักที”
เขาถอนหายใจ เหมือนคนแก่ที่กำลังอธิบายเด็กงี่เง่าให้อาบน้ำ
“จริงๆแล้วคนเราไม่สามารถวาดภาพเหมือนอะไรได้ร้อยเปอร์เซ็นหรอก ท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นงานของเขาเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็... ถ้าเกิดเราลอกงานคนๆเดียวมันคือการเลียนแบบ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่าเอาแรงบันดาลใจมาจากหลายคน จนกลายเป็นงานที่ดีกว่า ก็จะกลายเป็นของใหม่ถูกไหม?”เขาเคี้ยวไม้จูปาจุ๊บพลางเกาหัว
ผมยอมรับว่าตัวเองคาดหวังสูงมากเกินความสามารถของตัวเอง พอผลงานออกมาห่วยแตก การตกลงมานั้นเจ็บจนไม่อยากแม้แต่จะทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อ
“คุณว่าผมทำได้เหรอ แค่ทัศนคติต่อภาพผมยังสอบตกเลยนะ”
“แค่ความอยากกับความพยายาม ก็เพียงพอแล้ว ถ้าการสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมามันง่ายขนาดนั้น ศิลปินก็คงไม่ต่างจากแกนกระดาษชำระหรอก”
เขามองไปที่ภาพเจ้าสาวในชุดแดงอีกครั้ง
“คุณชอบเธอไหม”
“แน่นอน เธอดูสวยงาม ลึกลับ เศร้าโศก และดูสมจริงมาก ดูมีมิติเหมือนเธอเป็นคนที่กำลังหายใจอยู่ต่อหน้าผม”
“ผมให้เธอกับคุณได้ไหม”
“อะไรนะ!?”
“เธอเป็นงานของผมเอง ผมเสียใจที่ต้องเห็นเธอทำหน้าแบบนี้ทุกวัน ถ้าเกิดเธอได้ไปอยู่กับคนที่เข้าใจเธอก็คงจะดี ผมรู้สึกเหมือนเป็นคุณพ่อที่กำลังส่งลูกสาวออกเรือนเลยล่ะ”
--------จบ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
รบกวนวิจารณ์เรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วยค่ะ
รบกวนช่วยวิจารณ์ให้ด้วยนะคะ(เป็นครั้งแรกที่เขียนแล้วให้คนอื่นดู รู้สึกเปลือยเปล่ามากเลยค่ะ!)
ขอบคุณค่ะ
v
v
v
v
v
v
เรื่องหัวขโมยกระดาษ
“ถ้าการสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมามันง่ายขนาดนั้น ศิลปินก็คงไม่ต่างจากแกนกระดาษชำระหรอก”
ผมยังจำคำพูดและแววตาของเขาได้ดี ชายหนุ่มแปลกประหลาดที่เติมเชื้อฟืนให้กับสิ่งที่ผมคิดว่าดับมอดไปแล้ว
การที่คนเราจะข้ามผ่านเส้นบางๆที่กั้นระหว่างตัวเรา กับสิ่งที่เราอยากเป็นมักยากลำบากเสมอ ด้วยความที่ว่ามนุษย์มีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนความคาดหวังให้กลายเป็นความกลัว จนท้ายที่สุดก็ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ เช่นเดียวกับที่หลายวันมานี้ผมพยายามจะสร้างงานศิลปะของตัวเอง แต่พบว่าสุดท้ายแล้วมีเพียงแค่ความผิดหวังเท่านั้นที่กระจายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด สิ่งที่ตัวเองคาดว่ามันดีพอกลับกลายเป็นภาพที่ยุ่งเหยิงและไร้แก่นสาร
ผมอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆก็ได้
ผมถอนหายใจยืดยาว บางทีผมน่าจะเชื่อคำของคุณป้าข้างบ้านว่าทำงานน่าเบื่อๆไปเถอะแล้วจะชินไปเอง แต่ผมว่ามันน่าเศร้าและขมขื่นเกินไป เหมือนกับการขายวิญญาณตัวเองให้กับเงินนั่นแหละ มันดีแล้วหรือ? สิ่งที่ทำอยู่ก็จับต้องอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าทำงานที่มั่นคงคุณแม่กับคุณพ่อที่อยู่บนสวรรค์รวมถึงคุณยายที่เลี้ยงดูผมมาอาจจะสบายใจก็ได้ มันน่าจะเป็นแบบนั้น หากแต่บางอย่างภายในตัวผมกลับครางเบาๆอยากเศร้าสร้อยเวลาผมเริ่มคิดแบบนั้นเสมอ
ผมควรจะทำอะไรสักอย่าง
ฝนตกโปรยปรายด้านนอกหน้าต่างยิ่งตอกย้ำว่าผมไม่สามารถหลุดออกไปจากสภาวะนี้ได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจหยิบร่มลายทางที่จับฉลากได้ตอนวันปีใหม่พร้อมหมวกแก๊ปลายทหาร มุ่งหน้าไปแกลเลอรี่เก่าๆที่อยู่อีกฝากหนึ่งของถนน จริงๆแล้วถือว่าเป็นที่สร้างแรงบัลดาลใจที่ใกล้มาก แต่ถ้าเป็นไปได้ผมเลือกที่จะไม่ไป เพราะอิทธิพลจากรูปภาพเหล่านั้นอาจทำให้ผมไขว้เขวและเพลอเลียนแบบไอเดียของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว มันทำให้ผมรู้สึกแย่
แม้ว่าถนนหนทางจะเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังด่ากราดเรื่องฝนตกและรถติด กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคืองใดๆ อย่างน้อยเขาก็มีเรี่ยวแรงพอที่จะตะโดนด่ากัน ต่างกับผมซึ่งรู้สึกกลวงโบ๋เหมือนแกนกระดาษชำระ
ภายนอกตัวอาคารไม่ได้ดูโดดเด่นนัก ติดจะดูซอมซ่อเกินไปเสียหน่อยด้วยซ้ำ แตกต่างจากภายในแบ่งเป็นชั้นมากมายตามประเภทของงานศิลป์ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพสีน้ำมัน สีน้ำ รูปถ่าย รูปปั้น ฯลฯ แต่ละรูปราคาแพงมากๆ เกินกว่าค่าผ่อนรถเดือนแรกซะอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของอาคารจะนำเงินที่ได้มาปรับปรุงรูปลักษณ์ของตัวอาคารแต่อย่างใด
การเข้าแต่ละครั้งต้องเสียค่าเข้าชมร้อยบาทต่อวัน พนักงานเก็บเงินมีสภาพเหมือนฮิปปี้ผมยาวผอมแห้งชอบสูบบุหรี่ตามหนังอินดี้ทุนต่ำ แต่ต่างกันตรงที่เขาชอบเล่นไอแพดมาก และมักจะเหลือบตามองผมช้าๆเพื่อเตือนให้ผมรู้ว่าต้องจ่ายเงิน หลังจากนั้นจะเมินผมราวกับไม่มีอะไรในโลกน่าสนใจกว่าไอแพดสีขาวเครื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นของภาพสีน้ำมัน ผมชอบสีน้ำมันมากที่สุด เพราะเราสามารถแก้ไขมันได้เรื่อยๆ แล้วยังสามารถทนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างยาวนาน เช่นเดียวกับงานของศิลปินเอกอย่างLeonardo Da Vinci และ Vincen Van Gogh หวังว่าผมจะมีโอกาสได้สร้างสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของผู้คนแบบนั้นได้บ้าง
ภายในชั้นถูกตกแต่งด้วยสีขาวราวกับเป็นผืนกระดาษที่ว่างเปล่า เรียงรายไปด้วยภาพขนาดเล็ก ใหญ่มากมาย หากสิ่งที่สะดุดตาของผมกลับไม่ใช่ภาพ แต่เป็นชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งสเก็ตภาพของหญิงสาวในชุดแต่งงานสีแดงรายล้อมไปด้วยนักบัลเลท์ และฉากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวดำ ตัวเจ้าสาวราวกับกำลังมองเขาด้วยใบหน้าที่ยากจะบ่งบอกอารมณ์ ดูเหม่อลอยและเศร้าสร้อย ผมอดไม่ได้ที่จะเดินไปใกล้เขา โดยที่ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปทำไม
“การยืนมองคนอื่นวาดรูปไม่ใช่มารยาทที่ดีเลยนะ”
เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาจากงานสเก็ตในมือ ดูเหมือนจะเป็นรูปเจ้าสาวคนนั้น แต่เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอโทษครับ”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับรู้ เขามีผมสีดำสนิทและหยักศกเล็กน้อย ซึ่งยาวพอให้เจ้าตัวมัดรวบไว้ด้วยความรำคาญ หลังจากเขาลงดินสอเส้นสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นสบตาผม ในปากคาบแท่งพลาสติกสีขาว ซึ่งเวลาต่อมาผมรู้ว่ามันคือจูป้าจุ๊บรสสตรอเบอรี่ เขาเอียงคอแล้วเกาหัว มองผมเหมือนกับคุณครูที่ไม่เข้าใจว่าลูกศิษย์ทำบ้าอะไรอยู่
“ผมไม่ถือหรอก แต่คุณต้องการอะไร”
ผมอึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร อยากคุยก็ไม่เชิง อยากดูรูปที่เขาวาดก็ไม่ใช่ แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาดึงดูดผม เหมือนกับเขามีบางสิ่งที่ผมขาด และผมต้องการมันมาก
“เอ่อ.. ทำไมคุณถึงลอกงานของคนอื่นล่ะ”
เขาหรี่ตา ปิดสมุดสเกตรูปเล่มเล็ก แล้ววางมันไว้ข้างตัวพร้อมกับดึงจูป้าจุ๊บรสสตรอเบอรี่ออกมาจากปาก
“นายคิดว่าฉันลอกเธอ? ฉันดัดแปลงเธอต่างหาก เธอไม่อยากทำหน้าแบบนั้นไปตลอดกาลหรอก”
เขาหันไปยิ้มให้กับรูปภาพ แล้วมองผมเหมือนผมมาจากดาวอื่น ซึ่งความจริงแล้วผมว่าเขานั่นแหละที่น่าจะมาจากดาวอื่น การลอกเลียนแบบหรือดัดแปลงงานของคนอื่นมันก็ไม่ดีทั้งนั้น ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน
“แต่คุณก็ลอกงานคนอื่นอยู่ดี แถมดัดแปลงด้วย มันไม่แย่ไปหน่อยเหรอ”
เขาเลิกคิ้ว
“คุณไม่มีนักวาดที่ชอบหรือไง ไม่เคยวาดรูปตามพวกเขาเหรอ”
ชายคนนั้นจ้องผมเหมือนผมทรยศต่ออะไรบาง เขาเลียลูกอมสีชมพูนั่นพร้อมกับหันหน้าไปหาเจ้าสาวในชุดสีแดง ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่า วาดรูปตามคนที่ชอบงั้นเหรอ?แน่นอนว่าเคย ผมชอบนักวาดชาวรัสเซียคนหนึ่งมาก งานของเขาเป็นการวาดภาพเหมือนโดยใช้การแรเงา และฝนภาพด้วยดินสอและผงถ่าน ผมรู้สึกเสมอเวลาผมเห็นภาพเหล่านั้น แต่ถ้าลอกเลียนแบบภาพเหล่านั้นต่อไป เมื่อไหร่จะสามารถสร้างงานที่เป็นของเราจริงๆได้เล่า ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ในเงาของนักวาดที่เราชื่นชอบต่อไปหรอกหรือ
“แน่นอนว่าเคย แต่ถ้าลอกต่อไปเรื่อยๆเมื่อไหร่จะมีเป็นของตัวเองจริงๆสักที”
“ใจแคบจัง ทั้งๆที่ศิลปินขายวิญญาณตัวเองเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจต่อผู้อื่นแท้ๆ”
“อย่าพูดเหมือนรู้ดีไปหน่อยเลย”
“คุณเลยไม่ทำอะไรสักอย่าง” เขายิ้ม แต่ผมกลับโมโห
“คุณจะไปรู้อะไร!”
ผมตะคอกเสียงดัง ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีแต่เสียงลมหายใจ และผมก็เริ่มรู้สึกว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร เขายังคงยิ้มอยู่แต่ตาเบิกโพลง
“...”
“ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร ไม่นึกว่าจะโกรธจริงๆ”
เขาตบไหล่ผมเบาๆ ขยับตัวไปด้านซ้ายแล้วโบกมือให้ผมไปนั่งข้างเขา โดยที่หันหน้าเข้าหาภาพเจ้าสาวคนเดิมซึ่งผมแอบคิดว่าสีหน้าเธอดูแอบตกใจ และโกรธในคราวเดียวกัน
“คุณอยากเป็นจิตรกรเหรอ” เขาพูด
“แน่นอน... แต่ว่าผลงานของผมมันไม่น่าพอใจ ไม่มีแรงบันดาลใจ คงจะเป็นไม่ได้หรอก”
เขาจ้องผมพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด พร้อมเคี้ยวจูป้าจุ๊บที่เหลือ
“ฝึกฝนไปเรื่อยๆ การกระโดดข้ามหน้าผามันน่ากลัวแถมยากลำบาก คุณจำเป็นต้องเตรียมพร้อม”
“ให้ฝึกฝนโดยการเลียนแบบงานคนอื่นงั้นเหรอ? ผมว่ามันจะทำให้หาตัวเองไม่เจอสักที”
เขาถอนหายใจ เหมือนคนแก่ที่กำลังอธิบายเด็กงี่เง่าให้อาบน้ำ
“จริงๆแล้วคนเราไม่สามารถวาดภาพเหมือนอะไรได้ร้อยเปอร์เซ็นหรอก ท้ายที่สุดแล้วมันจะกลายเป็นงานของเขาเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็... ถ้าเกิดเราลอกงานคนๆเดียวมันคือการเลียนแบบ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่าเอาแรงบันดาลใจมาจากหลายคน จนกลายเป็นงานที่ดีกว่า ก็จะกลายเป็นของใหม่ถูกไหม?”เขาเคี้ยวไม้จูปาจุ๊บพลางเกาหัว
ผมยอมรับว่าตัวเองคาดหวังสูงมากเกินความสามารถของตัวเอง พอผลงานออกมาห่วยแตก การตกลงมานั้นเจ็บจนไม่อยากแม้แต่จะทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อ
“คุณว่าผมทำได้เหรอ แค่ทัศนคติต่อภาพผมยังสอบตกเลยนะ”
“แค่ความอยากกับความพยายาม ก็เพียงพอแล้ว ถ้าการสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมามันง่ายขนาดนั้น ศิลปินก็คงไม่ต่างจากแกนกระดาษชำระหรอก”
เขามองไปที่ภาพเจ้าสาวในชุดแดงอีกครั้ง
“คุณชอบเธอไหม”
“แน่นอน เธอดูสวยงาม ลึกลับ เศร้าโศก และดูสมจริงมาก ดูมีมิติเหมือนเธอเป็นคนที่กำลังหายใจอยู่ต่อหน้าผม”
“ผมให้เธอกับคุณได้ไหม”
“อะไรนะ!?”
“เธอเป็นงานของผมเอง ผมเสียใจที่ต้องเห็นเธอทำหน้าแบบนี้ทุกวัน ถ้าเกิดเธอได้ไปอยู่กับคนที่เข้าใจเธอก็คงจะดี ผมรู้สึกเหมือนเป็นคุณพ่อที่กำลังส่งลูกสาวออกเรือนเลยล่ะ”
--------จบ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ