ตรวจบัญชี 2 ปีนโยบายเศรษฐกิจ สูตรประชานิยมตำรับ "ยิ่งลักษณ์"

กระทู้ข่าว
ตรวจบัญชี 2 ปีนโยบายเศรษฐกิจ สูตรประชานิยมตำรับ "ยิ่งลักษณ์"

updated: 28 ต.ค. 2556 เวลา 16:51:44 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


ภารกิจรัฐบาล 2 ปี 2 เดือน ไม่เพียงตกอยู่ในมรสุมการเมือง แต่ยังคงติดกับดักนโยบายตามที่เคยสัญญาไว้กับประชาชน ในนามของนโยบายเร่งด่วน 16 ข้อ


หลายข้อเป็นปมปัญหานับตั้งแต่เริ่มต้น กระทั่งต้องเปลี่ยนแผน แปลงโครงการ ปรับขุนพลฝ่ายบริหาร เพื่อผลักดันให้ผลงานถูกผลิตออกมาสู่รูปธรรม

โดยมี "วราเทพ รัตนากร" รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ รับภารกิจติดตามนโยบายอย่างใกล้ชิด-รายเดือน โดยเฉพาะประเด็นด้านเศรษฐกิจ

ล่าสุดภาพผลงานรายนโยบายถูกแจกแจงเมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงครบรอบ 2 ปีของการบริหารงานของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ปรากฏภาพทั้งความสำเร็จ-ล้มเหลวควบคู่กันไป ดังนี้


1.การช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการจากภาวะเงินเฟ้อ มีการดำเนินการผ่านโครงการ "ธงฟ้า" 1,470 ครั้ง สามารถลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนคิดเป็นมูลค่า 601.20 ล้านบาท

ส่วน แผนงานโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ที่เมื่อเดือนมิถุนายนเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการถึง 6,770 ราย แต่ล่าสุดภายหลังสิ้นสุดโครงการมีร้านค้าขอเข้าร่วมโครงการเพียง 5,009 รายเท่านั้น

ขณะที่ด้านพลังงาน รัฐบาลได้ดำเนินการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทำให้การดำเนินการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล เพื่อรักษาราคาขายปลีกไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร

นับตั้งแต่เริ่มมาตรการจนถึงเดือนสิงหาคม มีการต่ออายุโครงการแบบเดือนต่อเดือนรวม 16 ครั้ง คิดเป็นรายได้ที่ภาครัฐสูญเสียรวม 144,000 ล้านบาท แต่สามารถช่วยเหลือประชาชน-ภาคธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 171,000 ล้านบาท ส่วนการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือนนั้น "วราเทพ" เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการการให้ ความช่วยเหลือ รวมถึงชี้แจงถึงเหตุผลในการปรับขึ้นราคาให้ทั่วถึง


2.การเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ แบ่งเป็นโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย สำหรับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและสถาบันเกษตรกรที่มีหนี้รวมกันทุกสัญญาไม่เกิน 500,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี

โดยก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการ 808,799 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 63,864.73 ล้านบาท แต่ถ้านับผลสำเร็จตามความเห็นชอบจาก ครม. อาจพบว่าเพิ่งมีการอนุมัติวงเงินไปเพียง 3,684.71 ล้านบาท

ส่วน มาตรการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ หลังจากที่มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ ซึ่งยังมีผู้ประกอบการในกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก

อย่าง ไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวได้ถูกประกาศใช้มากว่า 8 เดือน แต่ทว่ามาตรการช่วยเหลือ SMEs ยังคงเป็นเพียง "กรอบ" ที่ยังต้องจัดทำรายละเอียดต่อไป ขณะที่มาตรการภาษี อาทิ โครงการรถคันแรกมีผู้ขอใช้สิทธิ์รวม 1.25 ล้านคัน รวมยอดคืนภาษี 91,907.97 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินการจนถึงปัจจุบันได้มีการจ่ายคืนภาษีแล้ว 466,153 คัน คิดเป็นเงิน 32,579.47 ล้านบาท


3.การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML)


แม้จะสามารถโอนเงินไปแล้วจำนวน 79,048 หมู่บ้าน/ชุมชน ขณะที่โครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้าน ระยะที่ 3 ได้โอนเงินไปแล้ว 44,730 กองทุน คิดเป็นร้อยละ 56.44


4.การ ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและการสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ได้ดำเนินการโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้ส่งมอบไปแล้ว 4.14 ล้านบัตร วงเงินรวม 63,381 ล้านบาท ส่วนโครงการรักษาเสถียรภาพผลผลิตทางการ เกษตร อาทิ โครงการรับจำนำข้าว 55/56 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถรับจำนำข้าวจากสมาชิกสหกรณ์ไปแล้ว 1.74 ล้านตัน และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รับจำนำ 3.70 ล้านตัน มูลค่า 58,396.781 ล้านบาท

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สามารถรับจำนำข้าว 2 รอบได้ปริมาณที่ 21.34 ล้านตัน และ ณ วันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรไปแล้วถึง 317,673.031 ล้านบาท

ทั้งนี้ "วราเทพ" ย้ำว่า โครงการดังกล่าวยังมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอเป็นค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเช่าคลังสินค้า ค่ากรรมกร ค่าตรวจสอบคุณภาพข้าว ค่าดูแลรักษาข้าวสาร และค่าเบี้ยประกัน ทำให้ อ.ต.ก.ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการตามสัญญาได้

ส่วนแผนการรักษาเสถียรภาพราคายางนั้น ปัจจุบันมีการรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรไปแล้ว 213,118.85 ตัน มูลค่า 21,088.32 ล้านบาท และมีเงินสดคงเหลือในบัญชีโครงการอีก 185.64 ล้านบาท แต่ยังคงเป็นหนี้ ธ.ก.ส.จำนวน 22,000 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีการจำหน่ายยางดังกล่าว

นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์ยังรายงานว่า ภายหลังการสุ่มตรวจสอบโรงสี ตลาดกลาง โกดังกลาง และเกษตรกรนั้น
พบการกระทำผิด-ทุจริตโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรถึง 3,249 ราย โดยความผิด 3 อันดับแรกที่พบ ได้แก่ การขนข้าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาต การสวมสิทธิ์เกษตรกร และข้าวขาดบัญชี

ทั้งหมดเป็นสถานะล่าสุดของโครงการประชานิยมของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ที่ยังคงต้องลุ้น-เร่งกันต่อไปว่าเมื่อถึงปลายทาง ผลลัพธ์ของแต่ละนโยบายจะเป็นอย่างไร


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1382954060
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่