วงจรธุรกิจ จาก จม.ของ Berkshire Hathaway ปี 1982
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=249613945189723&id=173599296124522
บริษัท Berkshire ของ คุณปู่ Warren Buffett นั้น เชื่อว่า ผู้ที่อยู่ในโลกของการลงทุน คงไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่ง บริษัท Berkshire แห่งนี้ Buffett ได้เข้าไปบริหาร ในตั้งแต่ปี คศ. 1965 และทุกๆปี Buffett จะเขียนจดหมายสรุปความเป็นมาของบริษัท แนวคิดทางธุรกิจ และการลงทุนของตัวเองให้ผู้ถือหุ้น Berkshire ได้อ่าน สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ชื่นชอบในตัว Buffett ผมแนะนำให้ลองหามาอ่านกันดูครับ สนุกและได้ความรู้ด้านการลงทุนเยอะมากทีเดียว(เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับการลงทุนก็ได้) ที่สำคัญอ่านฟรีๆ และจดหมายของปีเก่าๆ ก็เนื้อหาที่ทรงคุณค่า ไม่ขึ้นกับ เวลาก็มีอยู่เยอะ
ผมจะขอยกตัวอย่าง จดหมายใน ปี ค.ศ. 1982 มาให้อ่านกัน ซึ่งฉบับเต็มอ่านได้จาก Link นี้ครับ อธิบายก่อนว่าปี 1982 เป็นปีที่ Berkshire ได้มีการทำธุรกิจประกันภัยมาแล้วหลายปี และ เป็นช่วงสถานกาณ์ที่ บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่ขาดทุนจากการประกันภัย ซึ่งแปลว่า เบี้ยรับต่อปีน้อยกว่าค่าชดเชยประกัน ที่จ่ายให้ผู้ประกันไป ซึ่งธุรกิจ ประกันภัยในเครือของ Berkshire ก็ไม่เว้น และ Buffett ได้อธิบายใน จดหมายก่อนหน้านี้มาว่า ไม่อยากให้ผู้ถือหุ้นคาดหวังว่า ธุรกิจประกันจะกำไรเหมือนที่เคยเป็น ซึ่งจดหมายถึงผู้อถือหุ้นฉบับนี้ Buffett อธิบายได้อย่างหน้าสนใจว่า ทำไม ค.ศ. 1950-1970 ถึงเป็น ปีทองของธุรกิจประกัน ส่วนช่วง ปี 1980 นั้นไม่ใช่ และตัว Buffett ก็ไม่คิดว่าว่า Cycle ของธุรกิจจะกลับมาเร็วๆนี้ ในช่วงเวลานั้น (1982) ซึ่งผมคิดแนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ได้กับ หลายๆธุรกิจเลยทีเดียว ข้างล้างนี้ผมแปลแบบ เล่าให้ฟังมาจาก จดหมาย ครับลองอ่านกันดู
Insurance Industry Conditions
Buffett อธิบายว่า ธุรกิจที่มีสินค้าเป็น Commodity คือ สินค้าที่ ไม่มีความแตกต่างในมุมมองของผุ้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นแง่ของคุณภาพ รูปลักษณ์ การให้บริการ และอื่น จะมีเป็นกลุ่มธุรกิจที่จะมีปัญหาในการทำกำไร แต่ในบางช่วงธุรกิจนี้ จะสามารถทำกำไรได้ดี ถ้าหากว่า มีลักษณะบางอย่างเกิดขึ้น ได้แก่ การที่ ราคาหรือต้นทุนของสินค้า ถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ตลาดผิดปกติ ได้แก่ (a) การเข้าแทรกแซงของรัฐบาล เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร (b) การฮั้วกันของธุรกิจ ซึ่งถือว่าผิดกฏหมาย หรือการ ฮั้วกันแบบถูกกฏหมาย เช่นการตั้งกลุ่ม OPEC เป็นต้น
ถ้า ราคาและต้นทุนของธุรกิจ เป็นไปตามการแข่งขันอย่างเต็มที่ทางธุรกิจ โดยที่มีกำลังผลิตจำนวนมาก และผู้บริโภคไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในตัวสินค้าแต่ละยี่ห้อ กำไรของธุรกิจก็จะน้อย และบางทีถึงขึ้นหายนะในทีเดียว ดังนั้น โจทย์ของธุรกิจ จึงต้องการพยายามสร้างความแตกต่างให้ตัวสินค้าหรือบริการของตัวเอง ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำได้ในธุรกิจขาย ลูกอม ( ลูกค้าซื้อโดยบอกถึงยี่ห้อของลูกอม ไม่ได้ซื้อโดยบอกว่าขอซื้อ ลูกอม 2 ขีด) แต่กลยุทธ์นี้ทำไม่ได้กับการขาย น้ำตาล (Buffett บอกว่าคุณคงไม่เคยได้ยินคนบอกจะทานกาแฟโดยของน้ำตาลนี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้)
ในหลายๆอุตสาหกรรม การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ก็อาจจะไม่มีความหมายมากนัก ผู้ผลิตบางรายอาจจะทำกำไรได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าหลายอื่นๆ แต่ต้นทุนที่ต่ำนั้นต้องยั่งยืนและลอกเลียนแบบไม่ได้ด้วย ซึ่งถ้ามองตามนี้ ก็จะแทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะทำกำไรได้ดีอย่างยั่งยืนได้เลย สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้า Commodity กำลังการผลิตที่มากเกินไป ต้นทุนและราคาขายที่ไม่มีการควบคุมจะเท่ากับ การทำกำไรที่แย่เสมอ
ซึ่งกำลังผลิตส่วนเกินนั้น ในระยะยาวในที่สุดก็จะต้องปรับลดลงมาเอง (self-correct) ไม่ว่าจะมาจากการลดกำลังการผลิต หรือว่าความต้องการของสินค้าเพิ่มขึ้นมาทันกำลังผลิต แต่โชคไม่ดีที่ว่าการ self-correct นี้มักจะเกินขึ้นช้ามาก และเมื่อมันเกิดขึ้น ก็จะเกิดการขยายกำลังการผลิต ตามขึ้นมา ทำให้ในระยะเวลาไม่นาน จะเกิดสภาวะแบบเดิมอีก Buffett เรียกว่า “Nothing fails like success”
ในอุตสาหกรรมเหล่านี้นั้น อัตราการทำกำไรในระยะยาวก็คือ อัตราส่วนระหว่าง ช่วงเวลากำลังการผลิตขาด(Suppy-tight) หารด้วยช่วงเวลาที่กำลังการผลิตล้น(Suppy-amble) นั้นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนตรงนี้ จะต่ำมาก ( Buffett ยกตัวอย่างติดตลกว่าใน Textile business ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของ Berkshire ว่า ช่วงเวลาที่กำลังการผลิตขาด อยู่แค่ช่วงตอนเช้าของวันแค่นั้นเอง)
ในบางอุตสาหกรรมนั้นช่วงเวลาที่ Supply-tight อาจจะกินเวลานานก็ได้ ถ้าหากว่า ความต้องการสินค้าพึ่งสูงขึ้นเกิดกว่าที่คาดไว้เป็นระยะเวลานาน หรือในกรณีที่การเพิ่มกำลังการผลิตต้องใช้เวลานาน เช่นการสร้างโรงงานใหม่ทั้งโรงเลย เป็นต้น
แต่สำหรับ ธุรกิจประกันภัยนั้น Supply สามารถเพิ่มได้ทันที โดยเพียงแต่การเพิ่มเงินทุนของบริษัทประกัน รวมกับลายเซ็นที่จะใช้ออกกรมธรรม์ (บางครั้งเงินทุนก็ไม่จำเป็น เพราะบางช่วงเวลารัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน กรมธรรม์แทนบริษัทประกัน) ซึ่งด้วยสาเหตุเหล่านี้บริษัทประกันภัย จะดำเนินกิจการอยู่ในสภาวะล้นตลาดอยู่ตลอด เพราะประกันภัยก็เป็น Commodity ประเภทนึง
Buffett อธิบายต่อว่า ทำไม่ ช่วง 1950-1970 ธุรกิจประกันภัยจึงสามารถทำกำไรได้ดีในช่วงดังกล่าว สาเหตุเกิดจากการที่ Pricing-system ของอุตสาหกรรมประกันภัย ถูกควมคุมจากหน่วยงานภาครัฐ แม้จะมีสงครามราคาอยู่ แต่ว่าบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ก็ไม่ได้แข่งกันด้านราคา การแข่งขันไปเกิดกับตัวแทนขายประกันภัยมากกว่า แต่ไม่ใช่เรื่องของราคา เพราะตัวแทนถูกห้ามตามกฏหมายในเรื่องของการลดค่าเบี้ยมาต่ำกว่าที่กำหนด บริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ตั้งเบี้ยประกันในอัตราที่ตกลงกันระหว่างบริษัท และหน่วยงานรัฐ การต่อรองค่าเบี้ยก็มี แต่เป็นไประหว่าง บริษัทประกัน กับหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่ บริษัทกับลูกค้า ทำให้อัตราเบี้ยประกันภัย ที่บริษัทคิดในช่วงนั้น เป็นอัตราที่สามารถทำกำไรได้ และไม่มีสงความราคาเกิดขึ้น เรียกได้ว่าธุรกิจประกันภัย มี One-price standard
แต่ในหลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมา โครงสร้างธุรกิจประกันภัยแบบใหม่ก็ได้เกิดขึ้น ถึงแม้โครงสร้างแบบเดิมที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐจะยังมีอยู่ แต่โครงสร้างใหม่ ทำให้ไม่เกิดการควบคุมราคาขึ้น ผู้เล่นใหม่ๆ ใช้ราคามาเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน และเมื่อผู้บริโภคได้รับรู้แล้วว่า การซื้อประกันภัย ไม่ได้มีราคาเดียว เหมือนในช่วงก่อนปี ค.ศ.1970 ดังนั้นการจะกลับมาเป็น One-price เหมือนสมัยก่อนจึงทำไม่ได้
การทำกำไรของอุตสาหกรรม จะขึ้นอยู่กับสภาวะการแข่งขันในอนาคต ไม่ใช่ในอดีต ซึ่งผู้บริหารในหลายๆธุรกิจ มักจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ช้า การทำธุรกิจและการลงทุนบ่อยครั้งก็เกิดจากการดูไปที่อดีต ซึ่งสำหรับทีมงานที่ Berkshire นั้น มีแค่สถานการณ์เดียวที่จะทำให้ธุรกิจประกันภัย สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นเหมือนสาเหตุที่ธุรกิจ อลูมิเนียม ทองแดง หรือผู้ผลิตข้าวโพด จะกำไรดีขึ้นทันตา นั้นก็คือ การที่ Demand เพิ่มขึ้นมาทัน Supply แต่โชคร้ายที่ ธุรกิจประกันภัย ไม่มีการเพิ่มของ Demand อย่างรวดเร็วเหมือนธุรกิจอลูมิเนียม นอกจากนั้น Supply ของธุรกิจประกันภัยก็ยังเพิ่มได้ โดยไม่ถูกจำกัดโดยโรงงาน หรือเครื่องจักร
แต่ว่า Supply ของธุรกิจประกันภัย จะหายไปจากตลาดได้ ในกรณีที่เกินเหตุไม่คาดฝันขึ้น เช่น ภัยทางธรรมชาติ หรือ เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดพรุ่งนี้ หรือว่าอีกหลายๆปีต่อจากนี้ก็ได้ ซึ่งไม่อาจจะทราบได้ว่าจะเกิดเมื่อใด แต่ทาง ธุรกิจประกันภัยในเครือของ Berkshire ก็ได้เตรียมพร้อมและเชื่อว่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หากสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น
วงจรธุรกิจ จาก จม.ของ Berkshire Hathaway ปี 1982
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=249613945189723&id=173599296124522
บริษัท Berkshire ของ คุณปู่ Warren Buffett นั้น เชื่อว่า ผู้ที่อยู่ในโลกของการลงทุน คงไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่ง บริษัท Berkshire แห่งนี้ Buffett ได้เข้าไปบริหาร ในตั้งแต่ปี คศ. 1965 และทุกๆปี Buffett จะเขียนจดหมายสรุปความเป็นมาของบริษัท แนวคิดทางธุรกิจ และการลงทุนของตัวเองให้ผู้ถือหุ้น Berkshire ได้อ่าน สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ชื่นชอบในตัว Buffett ผมแนะนำให้ลองหามาอ่านกันดูครับ สนุกและได้ความรู้ด้านการลงทุนเยอะมากทีเดียว(เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับการลงทุนก็ได้) ที่สำคัญอ่านฟรีๆ และจดหมายของปีเก่าๆ ก็เนื้อหาที่ทรงคุณค่า ไม่ขึ้นกับ เวลาก็มีอยู่เยอะ
ผมจะขอยกตัวอย่าง จดหมายใน ปี ค.ศ. 1982 มาให้อ่านกัน ซึ่งฉบับเต็มอ่านได้จาก Link นี้ครับ อธิบายก่อนว่าปี 1982 เป็นปีที่ Berkshire ได้มีการทำธุรกิจประกันภัยมาแล้วหลายปี และ เป็นช่วงสถานกาณ์ที่ บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่ขาดทุนจากการประกันภัย ซึ่งแปลว่า เบี้ยรับต่อปีน้อยกว่าค่าชดเชยประกัน ที่จ่ายให้ผู้ประกันไป ซึ่งธุรกิจ ประกันภัยในเครือของ Berkshire ก็ไม่เว้น และ Buffett ได้อธิบายใน จดหมายก่อนหน้านี้มาว่า ไม่อยากให้ผู้ถือหุ้นคาดหวังว่า ธุรกิจประกันจะกำไรเหมือนที่เคยเป็น ซึ่งจดหมายถึงผู้อถือหุ้นฉบับนี้ Buffett อธิบายได้อย่างหน้าสนใจว่า ทำไม ค.ศ. 1950-1970 ถึงเป็น ปีทองของธุรกิจประกัน ส่วนช่วง ปี 1980 นั้นไม่ใช่ และตัว Buffett ก็ไม่คิดว่าว่า Cycle ของธุรกิจจะกลับมาเร็วๆนี้ ในช่วงเวลานั้น (1982) ซึ่งผมคิดแนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ได้กับ หลายๆธุรกิจเลยทีเดียว ข้างล้างนี้ผมแปลแบบ เล่าให้ฟังมาจาก จดหมาย ครับลองอ่านกันดู
Insurance Industry Conditions
Buffett อธิบายว่า ธุรกิจที่มีสินค้าเป็น Commodity คือ สินค้าที่ ไม่มีความแตกต่างในมุมมองของผุ้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นแง่ของคุณภาพ รูปลักษณ์ การให้บริการ และอื่น จะมีเป็นกลุ่มธุรกิจที่จะมีปัญหาในการทำกำไร แต่ในบางช่วงธุรกิจนี้ จะสามารถทำกำไรได้ดี ถ้าหากว่า มีลักษณะบางอย่างเกิดขึ้น ได้แก่ การที่ ราคาหรือต้นทุนของสินค้า ถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ตลาดผิดปกติ ได้แก่ (a) การเข้าแทรกแซงของรัฐบาล เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร (b) การฮั้วกันของธุรกิจ ซึ่งถือว่าผิดกฏหมาย หรือการ ฮั้วกันแบบถูกกฏหมาย เช่นการตั้งกลุ่ม OPEC เป็นต้น
ถ้า ราคาและต้นทุนของธุรกิจ เป็นไปตามการแข่งขันอย่างเต็มที่ทางธุรกิจ โดยที่มีกำลังผลิตจำนวนมาก และผู้บริโภคไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในตัวสินค้าแต่ละยี่ห้อ กำไรของธุรกิจก็จะน้อย และบางทีถึงขึ้นหายนะในทีเดียว ดังนั้น โจทย์ของธุรกิจ จึงต้องการพยายามสร้างความแตกต่างให้ตัวสินค้าหรือบริการของตัวเอง ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำได้ในธุรกิจขาย ลูกอม ( ลูกค้าซื้อโดยบอกถึงยี่ห้อของลูกอม ไม่ได้ซื้อโดยบอกว่าขอซื้อ ลูกอม 2 ขีด) แต่กลยุทธ์นี้ทำไม่ได้กับการขาย น้ำตาล (Buffett บอกว่าคุณคงไม่เคยได้ยินคนบอกจะทานกาแฟโดยของน้ำตาลนี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้)
ในหลายๆอุตสาหกรรม การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ก็อาจจะไม่มีความหมายมากนัก ผู้ผลิตบางรายอาจจะทำกำไรได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าหลายอื่นๆ แต่ต้นทุนที่ต่ำนั้นต้องยั่งยืนและลอกเลียนแบบไม่ได้ด้วย ซึ่งถ้ามองตามนี้ ก็จะแทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะทำกำไรได้ดีอย่างยั่งยืนได้เลย สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้า Commodity กำลังการผลิตที่มากเกินไป ต้นทุนและราคาขายที่ไม่มีการควบคุมจะเท่ากับ การทำกำไรที่แย่เสมอ
ซึ่งกำลังผลิตส่วนเกินนั้น ในระยะยาวในที่สุดก็จะต้องปรับลดลงมาเอง (self-correct) ไม่ว่าจะมาจากการลดกำลังการผลิต หรือว่าความต้องการของสินค้าเพิ่มขึ้นมาทันกำลังผลิต แต่โชคไม่ดีที่ว่าการ self-correct นี้มักจะเกินขึ้นช้ามาก และเมื่อมันเกิดขึ้น ก็จะเกิดการขยายกำลังการผลิต ตามขึ้นมา ทำให้ในระยะเวลาไม่นาน จะเกิดสภาวะแบบเดิมอีก Buffett เรียกว่า “Nothing fails like success”
ในอุตสาหกรรมเหล่านี้นั้น อัตราการทำกำไรในระยะยาวก็คือ อัตราส่วนระหว่าง ช่วงเวลากำลังการผลิตขาด(Suppy-tight) หารด้วยช่วงเวลาที่กำลังการผลิตล้น(Suppy-amble) นั้นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนตรงนี้ จะต่ำมาก ( Buffett ยกตัวอย่างติดตลกว่าใน Textile business ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของ Berkshire ว่า ช่วงเวลาที่กำลังการผลิตขาด อยู่แค่ช่วงตอนเช้าของวันแค่นั้นเอง)
ในบางอุตสาหกรรมนั้นช่วงเวลาที่ Supply-tight อาจจะกินเวลานานก็ได้ ถ้าหากว่า ความต้องการสินค้าพึ่งสูงขึ้นเกิดกว่าที่คาดไว้เป็นระยะเวลานาน หรือในกรณีที่การเพิ่มกำลังการผลิตต้องใช้เวลานาน เช่นการสร้างโรงงานใหม่ทั้งโรงเลย เป็นต้น
แต่สำหรับ ธุรกิจประกันภัยนั้น Supply สามารถเพิ่มได้ทันที โดยเพียงแต่การเพิ่มเงินทุนของบริษัทประกัน รวมกับลายเซ็นที่จะใช้ออกกรมธรรม์ (บางครั้งเงินทุนก็ไม่จำเป็น เพราะบางช่วงเวลารัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน กรมธรรม์แทนบริษัทประกัน) ซึ่งด้วยสาเหตุเหล่านี้บริษัทประกันภัย จะดำเนินกิจการอยู่ในสภาวะล้นตลาดอยู่ตลอด เพราะประกันภัยก็เป็น Commodity ประเภทนึง
Buffett อธิบายต่อว่า ทำไม่ ช่วง 1950-1970 ธุรกิจประกันภัยจึงสามารถทำกำไรได้ดีในช่วงดังกล่าว สาเหตุเกิดจากการที่ Pricing-system ของอุตสาหกรรมประกันภัย ถูกควมคุมจากหน่วยงานภาครัฐ แม้จะมีสงครามราคาอยู่ แต่ว่าบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ก็ไม่ได้แข่งกันด้านราคา การแข่งขันไปเกิดกับตัวแทนขายประกันภัยมากกว่า แต่ไม่ใช่เรื่องของราคา เพราะตัวแทนถูกห้ามตามกฏหมายในเรื่องของการลดค่าเบี้ยมาต่ำกว่าที่กำหนด บริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ตั้งเบี้ยประกันในอัตราที่ตกลงกันระหว่างบริษัท และหน่วยงานรัฐ การต่อรองค่าเบี้ยก็มี แต่เป็นไประหว่าง บริษัทประกัน กับหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่ บริษัทกับลูกค้า ทำให้อัตราเบี้ยประกันภัย ที่บริษัทคิดในช่วงนั้น เป็นอัตราที่สามารถทำกำไรได้ และไม่มีสงความราคาเกิดขึ้น เรียกได้ว่าธุรกิจประกันภัย มี One-price standard
แต่ในหลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมา โครงสร้างธุรกิจประกันภัยแบบใหม่ก็ได้เกิดขึ้น ถึงแม้โครงสร้างแบบเดิมที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐจะยังมีอยู่ แต่โครงสร้างใหม่ ทำให้ไม่เกิดการควบคุมราคาขึ้น ผู้เล่นใหม่ๆ ใช้ราคามาเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน และเมื่อผู้บริโภคได้รับรู้แล้วว่า การซื้อประกันภัย ไม่ได้มีราคาเดียว เหมือนในช่วงก่อนปี ค.ศ.1970 ดังนั้นการจะกลับมาเป็น One-price เหมือนสมัยก่อนจึงทำไม่ได้
การทำกำไรของอุตสาหกรรม จะขึ้นอยู่กับสภาวะการแข่งขันในอนาคต ไม่ใช่ในอดีต ซึ่งผู้บริหารในหลายๆธุรกิจ มักจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ช้า การทำธุรกิจและการลงทุนบ่อยครั้งก็เกิดจากการดูไปที่อดีต ซึ่งสำหรับทีมงานที่ Berkshire นั้น มีแค่สถานการณ์เดียวที่จะทำให้ธุรกิจประกันภัย สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นเหมือนสาเหตุที่ธุรกิจ อลูมิเนียม ทองแดง หรือผู้ผลิตข้าวโพด จะกำไรดีขึ้นทันตา นั้นก็คือ การที่ Demand เพิ่มขึ้นมาทัน Supply แต่โชคร้ายที่ ธุรกิจประกันภัย ไม่มีการเพิ่มของ Demand อย่างรวดเร็วเหมือนธุรกิจอลูมิเนียม นอกจากนั้น Supply ของธุรกิจประกันภัยก็ยังเพิ่มได้ โดยไม่ถูกจำกัดโดยโรงงาน หรือเครื่องจักร
แต่ว่า Supply ของธุรกิจประกันภัย จะหายไปจากตลาดได้ ในกรณีที่เกินเหตุไม่คาดฝันขึ้น เช่น ภัยทางธรรมชาติ หรือ เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดพรุ่งนี้ หรือว่าอีกหลายๆปีต่อจากนี้ก็ได้ ซึ่งไม่อาจจะทราบได้ว่าจะเกิดเมื่อใด แต่ทาง ธุรกิจประกันภัยในเครือของ Berkshire ก็ได้เตรียมพร้อมและเชื่อว่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หากสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น