เสียงรองเท้าพละหลายสิบคู่เสียดสีไปกับพื้นสังเคราะห์ของโรงยิม เป็นเสียงวิ่งอบอุ่นร่างกายเริ่มต้นก่อนที่จะเริ่มฝึกซ้อมแบดมินตันกันซึ่งเป็นวิชาประจำภาคการศึกษานี้ วิชาพลศึกษาจะผลัดเปลี่ยนกีฬาที่เล่นไปเรื่อย ๆ ตามเทอมและชั้นปี ไล่จากกรีฑา กิจกรรมเข้าจังหวะ ความยืดหยุ่นพวกหกคะเมนตีลังกา วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล กระบี่กระบอง และมาถึงปีนี้ก็เป็นเรื่องของแบดมินตัน ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า หลักสูตรกำหนดยังไงว่า นักเรียนชั้นไหน ควรจะเริ่มเรียนจากวิชาอะไร เอาเถอะ มีหน้าที่เรียน ก็เรียน ฝึกซ้อมพอไม่ให้อายใครเวลาอาจารย์เรียกสอบก็พอ ฉันเองไม่ใช่คนเล่นกีฬาเก่งนักหนา ตอนเรียนมัธยมต้น วิชากรีฑา สอบวิ่ง 100 ม. ฉันวิ่งได้ด้วยเวลา12 วินาที ซึ่งก็ไม่เป็นไรในเมื่อฉันไม่ใช่นักกีฬาวิ่งทีมชาติ วิ่งได้แค่นี้ฉันก็ได้เกรดที่ฉันต้องการแล้ว
แต่สภาพนายกฤษณ์ขณะที่วิ่งตอนนี้นี่ดูไม่จืดจริง ๆ นี่วิ่งรอบโรงยิมเล็ก ๆ ได้เพียง 1 รอบกว่า ๆ หอบเหนื่อยราวกับถูกใช้ให้ไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างไรอย่างนั้น ฉันเองก็เหนื่อยนะ แต่ไม่เท่าเขาแน่ ๆ อาจารย์ถึงกับจำชื่อเพื่อนคนนี้ได้ และต้องส่งเสียงกระตุ้นเป็นระยะ ๆ
กฤษณ์เป็นผู้ชายร่างผอมสูง ผิวขาว ตาเล็ก ๆ แต่ก็มีประกายเสมอ จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีเลยล่ะ เรียนเก่ง หัวดีระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าสิ่งที่เป็น “ภาพจำ” ของกฤษณ์ในสายตาเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน คือ ผู้ชายอ่อนแอ และเป็นตัวตลกในวิชาพละเสมอ ฉันเองเพิ่งได้เรียนห้องเดียวกับเขาในปีนี้เอง แต่เคยได้ยินพวกเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกับกฤษณ์ ก่อนหน้านี้นินทาให้ฟังเสมอ ว่า ตีลูกปิงปองวืดบ้างล่ะ วิ่งไปรับลูกไม่ทันบ้างล่ะ หกสูงไม่ขึ้นบ้างล่ะ ซึ่งฉันเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เสียคะแนนมาก ๆ ในหมู่สาว ๆ
เสร็จจากการวิ่งรอบสนามช่วงแรกนี้ อาจารย์สายลมก็เรียกนักเรียนในชั้นเรียนมานั่งรวมกัน เพื่อจะพูดให้ฟังเกี่ยวกับการสอบปลายภาคสำหรับวิชานี้ ซึ่งจะเป็นการจับคู่กับเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อเป็นคู่แข่งขันกันจริง โดยจำลองการแข่งขันขึ้นมา 1 เกม จับฉลากเลือกคู่แข่งอีก 2 คู่ รวมเป็น 3 คู่ ก่อนถึงวันสอบ 1 สัปดาห์ แข่งกันแบบพบกันหมด โดยอีก 1 คู่ที่ไม่ได้แข่งจะเป็นกรรมการให้ และคอยบันทึกคะแนนในระหว่างการสอบ ซึ่งอาจารย์คงจะไม่สามารถดูนักเรียนได้พร้อมกับทุกคู่ในเวลาเดียว อาจารย์จะให้คะแนนทั้งระหว่างการแข่งขัน และความเข้าใจในกติกาซึ่งดูจากการเป็นกรรมการ ใช้เวลาสอบประมาณ 3 สัปดาห์ แปลว่านักเรียนมีเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์จะถึงการสอบสัปดาห์แรก แล้วสัปดาห์ถัดไปตนก็เวียนบทบาทกัน
“แปลว่าคู่ไหนชนะ ก็จะได้คะแนนเยอะกว่าเหรอคะอาจารย์”ฉันยกมือถามหลังจากที่อาจารย์อธิบายจบ
“ก็ถ้าแข่งแบบพบกันหมด แล้วมี 1 คู่ ชนะหมด อีก 1 คู่ แพ้หมดก็คงได้คะแนนไม่เท่ากัน แต่ที่สำคัญกว่าคือ อาจารย์ดูภาพรวมด้วยว่าเล่นได้สูสีกันหรือเปล่า สู้ได้สมศักดิ์ศรีหรือเปล่า ก็จะมีคะแนนให้ต่างหาก”
นั่นคือห้ามล้มมวยสินะ...ฉันคิดในใจ พลางหันไปมองทางกฤษณ์ สีหน้าของกฤษณ์ตอนนี้ซีดเผือดยิ่งขึ้นไปอีก
“อาจารย์คะ” อรนินทร์ หัวหน้าห้องยกมือถามต่อ “นักเรียนห้องนี้ ผู้ชาย 25 คน ผู้หญิง 23 คน ไม่ว่าจะจับคู่แบบไหน ก็เหลือนักเรียนที่เป็นเศษ แล้วจะทำยังไงล่ะคะ”
อาจารย์ชายร่างเล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง เสียงนักเรียนในห้องเริ่มฮือฮาหารือกันใหญ่
“ก็ถ้าคู่ผสมคู่นั้น ต้องไปแข่งกับชายคู่ หรือหญิงคู่ ผมจะพิจารณาแต้มต่อให้ตามสมควรก็แล้วกัน” ในที่สุดอาจารย์ก็ตัดสินใจออกมาได้ แต่ก็ทำให้เหล่านักเรียนยังกังวลอยู่ ตามประสาพวกที่ไม่เคยยอมให้วิชาเรียนไหนมาเป็นตัวถ่วงของเกรดเฉลี่ยของตน
“ใครที่วิ่งนิดวิ่งหน่อยก็หอบเหนื่อยตัวโยน นอกเหนือจากซ้อมแบดมินตันแล้ว ก็ต้องฝึกฝนร่างกายตนเองเพิ่มเติมด้วยนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นใครเป็นลมเป็นแล้งไปในระหว่างแข่ง”
ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าอาจารย์จงใจมองมาทางกฤษณ์เป็นพิเศษ ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเราไปฝึกหัดการเสริฟแบบต่าง ๆ ของแบดมินตัน และการเล็งให้ลูกเสริฟ ไปลงจุดต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันไประหว่างแบดมินตันแบบเดี่ยว และแบบคู่ อาจารย์สายลมอธิบายว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีกติกาบังคับ ว่าจะใช้วิธีเสริฟแบบไหน แต่ถ้าเป็นการแข่งเดี่ยว ผู้เล่นนิยมใช้ท่าเสริฟโฟร์แฮนด์ ช้อนลูกเสริฟให้ไปตกบริเวณเส้นท้ายคอร์ของคู่แข่ง แต่ถ้าเป็นการแข่งคู่ ผู้เล่นนิยมใช้ท่าเสริฟแบ็คแฮนด์ หยอดให้ไปลงเพียงบริเวณเส้นเสริฟของคู่แข่ง ซึ่งก็ต้องระวังไม่ให้เสริฟเบาเกินไป จนไม่ถึงเส้นเสริฟ เพราะจะกลายเป็นเสียคะแนนแบบง่าย ๆ ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมถึงนักกีฬาถึงนิยมแบบนั้นกัน เอาเป็นว่าฉันจะฝึกโฟร์แฮนด์ให้พอเป็น แต่คงต้องเน้นแบ็คแฮนด์ให้มาก ๆ
ก่อนถึงช่วงพักกลางวัน อรนินทร์บอกเพื่อน ๆ ในห้องว่า เพื่อความยุติธรรม ตอนเย็นหลังเลิกเรียน จะขอประชุมเรื่องจับคู่แข่งในการสอบ ทุกคนอาจตกลงกันได้ล่วงหน้าก่อนถึงเวลา แต่ต้องไปสรุปให้เรียบร้อยในการประชุมเย็นนี้
ดังนั้นในช่วงพักกลางวัน เมื่อฉันและเพื่อนสาวในกลุ่มคือ หลิน และ ฝ้าย กินข้าวกันไปได้คนละสองสามคำ ฝ้ายก็เริ่มการสนทนา
“เราจะจับคู่วิชาพละยังไงล่ะเนี่ย มีกันอยู่สามคน ตอนแรกยังนึกว่า จะให้เป็นทีมสามคนหญิง แข่งกับทีมสามคนชายได้เสียอีก”
“ยัยบ๊อง” หลินแหวใส่เพื่อน “พวกเราจะไปสู้กับผู้ชายสามคนได้ยังไงล่ะ แค่สู้แรงตบลูกแบดก็เต็มทนแล้ว เวลาคิดคะแนนสอบ ต่อให้มีแต้มต่อก็เหอะ ชั้นว่ายังไงก็เสียเปรียบ”
“แล้วถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งต้องไปคู่กับกฤษณ์ล่ะก็ หืยยยย หมดกันอนาคต”
“พูดอะไรแบบนั้นฝ้าย ดิสเครดิตกันเกินไปหรือเปล่า แล้วทำไมถึงคิดว่ากฤษณ์จะเป็นเศษล่ะ”ฉันติงเพื่อนเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ก็พอเข้าใจว่าทำไมฝ้ายถึงพูดแบบนั้น
“ก็สอบแบบนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยากจับคู่กับคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้คนเก่งกว่า อย่างน้อยก็ต้องฝีมือไม่ต่างกันเกินไป แต่นายกฤษณ์เนี่ย ต่างกับคนอื่นเยอะแน่ ๆ ฉันว่าไปจับคู่กับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ยังจะได้เปรียบกว่าไปจับคู่กับกฤษณ์เสียอีก”ถ้ากฤษณ์ได้ยินฝ้ายพูดแบบนี้ คงเสียใจพิลึก
“ไม่เป็นไรนะหลิน ฝ้าย”ฉันสรุปขึ้นมา ฉันพอจะเข้าใจเจตนาของทั้งสองคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอไม่อยากได้คะแนนแย่ ๆ ในวิชาแบบนี้ “พวกเธอจับคู่กันไปเถอะ ฉันไปจับคู่กับคนอื่นเอง จะใครก็ได้”
“เธอจะทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ” หลินถามขึ้น พลางมองมาทางฉันพร้อมกับฝ้าย สายตาของพวกเธอแปลความหมายได้ ระหว่างซึ้งในน้ำใจของฉันจริง ๆ กับ ดีใจที่เป็นไปตามแผนที่พวกเธอจงใจให้ฉันเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง ขึ้นกับว่าจะมองแบบไหน ฉันเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นแบบแรก แล้วจึงพยักหน้าตอบแบบยิ้ม ๆ
อันที่จริงฉันก็กังวลไม่น้อย เรื่องกีฬาฉันเล่นและหัดแค่พอเอาตัวรอดจริง ๆ เรื่องตีแบดมินตัน ฉันก็เคยเล่นมาบ้าง แต่ไม่ได้มีฝีมือระดับรัชนก อินทนนท์ ที่โด่งดังจากโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมาที่ลอนดอน ถ้าหวังว่า ฉันจะช่วยดึงผลการแข่งขันให้ดีขึ้นได้ บอกเลยว่าผิดถนัด
แล้วก็ถึงตอนเย็นที่คุณหัวหน้าห้องนัดหมายไว้ เกี่ยวกับเรื่องการจับคู่ ปรากฏว่าคนในห้องส่วนใหญ่มีปัญหาน้อยกว่าที่คิด คือ ทุกคนจับคู่ได้ก่อนที่จะถึงเวลาประชุมเสียอีก อย่างกลุ่มของวาสนาที่มีเศษเกินอยู่หนึ่งคน ก็ไปจับคู่กับนิยดาที่เป็นเศษจากอีกกลุ่มหนึ่ง สงสัยว่าจะนัดกันผ่านไลน์แหง ๆ ฉันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท อย่างน้อยก็น่าจะไปชิงจับคู่นิยดาให้ได้ก่อน ตอนนี้จึงเหลือส่วนที่ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่คือ ฉัน หลิน ฝ้าย และผู้ชายอีกสามคน แน่นอนว่ามีกฤษณ์อยู่ด้วย ส่วนอีกสองคนคือ ถกล และ กรุณา
ฉันได้แต่คิดในใจว่า นี่เป็นกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติอย่างที่เคยเรียนในชั่วโมงชีววิทยาหรือเปล่านะ สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดได้ คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าและปรับตัวไม่ได้ ก็จะถูกคัดออกจากกลุ่ม ถกลและกรุณาไม่อยากจับคู่กันเองเพราะพวกเขากำลังหลงใหลได้ปลื้มนักเรียนชายรูปหล่อห้อง 15 คนหนึ่งอยู่ ทำให้กระทบกระทั่งกันบ่อย ๆ จากที่เพื่อน ๆ คิดว่าคงทะเลาะกันขำ ๆ ตามประสาชาวสีม่วง ตอนนี้กลายเป็นคู่อริกันไปเสีย และยิ่งไม่อยากจับคู่กับกฤษณ์อีก
อรนินทร์พยายามไกล่เกลี่ยฝ่ายชาย เพราะฝั่งฉันนั้นบอกไปแล้วว่า ฉันจับคู่กับใครก็ได้ ให้หลินจับคู่กับฝ้ายไป แต่ฉันมองไปแล้วรู้สึกกลุ้มใจกับเกรดวิชาพลศึกษาในเทอมนี้เหลือเกิน รู้อยู่แล้วว่ากฤษณ์เป็นตัวตลก ส่วนถกลกับกรุณา อาจจะแข็งแรงกว่านิดหน่อย แต่ดูทัศนคติแล้วคงรับมือยาก แบบนี้จะจับคู่กันยังไง
สุดท้ายกรรมการก็ชี้ขาด
“ถกล...กรุณา ถ้าเธอสองคนตกลงกันไม่ได้ เดี๋ยวเราจับคู่เองแล้วนะ” เสียงอรนินทร์พูดอย่างเด็ดขาด “ถกล...เธอไปจับคู่กับฝ้าย กรุณา...เธอไปจับคู่กับหลิน ส่วนเธอนายกฤษณ์...”เธอหันมามองหน้าฉัน เหมือนอดกลุ้มใจแทนฉันไม่ได้ชอบกล “ช่วยหน่อยนะสิริ เดี๋ยวไงเราบอกอาจารย์เองว่า ให้เธอสามคู่ อยู่ทีมเดียวกัน”
“ได้ไงอ่ะนินทร์ ก็เราบอกแต่แรกแล้วว่าจะจับคู่กันเอง ทำไมเราต้องมาจับคู่กับยัยสองคนนี้ด้วย” ฝ้ายโวยกับอรนินทร์ ในเมื่อแผนที่อุตส่าห์วางไว้พังครืนไปต่อหน้า
“ขืนปล่อยไปแบบนี้ ก็ไม่จบเสียที แล้วถ้าให้สิริจับคู่กับกฤษณ์ ก็กลายเป็นคู่ผสมคู่เดียวในห้อง โดนแต้มต่ออีก มันก็มีผลกับคะแนนของเพื่อนเธอเหมือนกัน”
“โฮ้ย จับคู่กับกฤษณ์ ยิ่งกว่าจับคู่กับผู้หญิงอีก แข่งกับผู้หญิง ยังต้องให้แต้มต่อกับคู่ของกฤษณ์เลยมั้ง” น่าจะเป็นเสียงนายป๋วยที่ทะลึ่งแซวขึ้นมา เพื่อน ๆ ผู้ชายในห้องส่งเสียงโห่ฮาด้วยความชอบใจ
ฉันมองไปทางกฤษณ์ ดวงตาของเขาหลุบต่ำลง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
เมื่อจับคู่กันเสร็จแล้ว เพื่อน ๆ ในห้องเรียนต่างก็เก็บข้าวของทะยอยกันออกไปจากห้อง ดูเหมือนหลินกับฝ้ายจะโกรธมากที่เหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ ระหว่างเก็บของพวกเธอบ่นกระปอดกระแปดตลอดเวลา
ฉันตัดสินใจเดินไปหากฤษณ์ ที่เพิ่งลุกออกจากโต๊ะ กำลังเดินไปทางประตูห้อง ฉันเรียกเขาจากทางด้านหลังเจ้าตัว
“กฤษณ์ มาคุยกันแป็บนึง”
กฤษณ์หันกลับมา ฉันเสียดายจัง ถ้าเขาแข็งแรงกว่านี้ เขาจะเป็นเทพบุตรผู้ป็อบปูลาร์คนหนึ่งในโรงเรียนนี้ได้เลย กะคร่าว ๆ จากความสูงของฉันเอง ตัวเขาน่าจะสูงราว 175 ซม. รูปร่างผอมก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่แนวผอมแห้งแรงน้อยเลย ซึ่งผิดกับสิ่งที่ปรากฏในชั่วโมงพละมาก ๆ ฉันไม่เคยคุยกับเขาจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน ทว่าสิ่งที่เขาพูด และสีหน้าที่แสดงออกมา กลับทำให้ฉันถึงกับผงะไปชั่วครู่
“ไม่อยากจับคู่กับผมล่ะสิ ขอโทษด้วยที่ออกมาเป็นแบบนี้” เสียงห้าว ๆ พูดออกมา นัยน์ตาเล็ก ๆ นั้นมีแววของความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรชอบกล กฤษณ์ทำท่าจะหันหลังกลับไป ฉันพยายามตั้งสติ เพื่อที่จะรีบพูดก่อนที่เขาจะเดินไปไกลกว่านี้
“ฉันจะทำให้คนอื่นเขามองนายใหม่ให้ได้ คู่ของเราจะต้องทำได้ดีในการสอบ คอยดูสิ” ได้ผล กฤษณ์หันหลังกลับมามองฉันอีกครั้ง “เริ่มอาทิตย์หน้าเลย เอาวันที่เรียนพละนี่แหละ จะได้ไม่ต้องถือไม้แบดมาโรงเรียนหลายวัน หลังเลิกเรียนอย่างวันนี้ ฉันจะเคี่ยวเธอให้หนักเลย อ่อ...ก่อนจะถึงอาทิตย์หน้า ตอนเย็นนายต้องออกกำลังกายเพิ่ม ให้ร่างกายมีแรง”
“ออกกำลังกายเพิ่มเนี่ยนะ...ยังไง”
ด้วยความที่พูดออกไปแบบไม่เต็มสติดี ทำให้ฉันต้องใช้เวลาคิดชั่วแวบหนึ่งเพื่อจะตอบคำถาม เสียงฉันออกจะดังกว่าที่ปกติฉันเคยพูด “ก็...ออกกำลังกายเพิ่มไง จะกระโดดเชือก จะวิ่ง จะเดิน จะขว้างจักร จะปั่นจักรยานจะ....อะไรก็ได้ เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะชนะกับเค้าบ้าง อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองก็แข็งแรงสมกับเป็นผู้ชายเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เขาหัวเราะนาย นายก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ซึ่งอย่างแรกก็คือ นายต้องอึดกว่านี้ นายถึงจะสู้ฉันไหวไงล่ะ”
ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรแปลก ๆ ไปมากกว่านี้ ฉันหันหลังวิ่งกลับไปเก็บกระเป๋านักเรียนและรีบพยักเพยิดให้หลินกับฝ้ายลุกจากที่นั่งของพวกเธอ โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทั้งคู่หันกลับมาแซวฉัน และชวนกันออกจากห้องเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน
เรื่องสั้น วัยรุ่น วุ่นวาย - ลูกฮึด
แต่สภาพนายกฤษณ์ขณะที่วิ่งตอนนี้นี่ดูไม่จืดจริง ๆ นี่วิ่งรอบโรงยิมเล็ก ๆ ได้เพียง 1 รอบกว่า ๆ หอบเหนื่อยราวกับถูกใช้ให้ไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างไรอย่างนั้น ฉันเองก็เหนื่อยนะ แต่ไม่เท่าเขาแน่ ๆ อาจารย์ถึงกับจำชื่อเพื่อนคนนี้ได้ และต้องส่งเสียงกระตุ้นเป็นระยะ ๆ
กฤษณ์เป็นผู้ชายร่างผอมสูง ผิวขาว ตาเล็ก ๆ แต่ก็มีประกายเสมอ จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีเลยล่ะ เรียนเก่ง หัวดีระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าสิ่งที่เป็น “ภาพจำ” ของกฤษณ์ในสายตาเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน คือ ผู้ชายอ่อนแอ และเป็นตัวตลกในวิชาพละเสมอ ฉันเองเพิ่งได้เรียนห้องเดียวกับเขาในปีนี้เอง แต่เคยได้ยินพวกเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกับกฤษณ์ ก่อนหน้านี้นินทาให้ฟังเสมอ ว่า ตีลูกปิงปองวืดบ้างล่ะ วิ่งไปรับลูกไม่ทันบ้างล่ะ หกสูงไม่ขึ้นบ้างล่ะ ซึ่งฉันเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เสียคะแนนมาก ๆ ในหมู่สาว ๆ
เสร็จจากการวิ่งรอบสนามช่วงแรกนี้ อาจารย์สายลมก็เรียกนักเรียนในชั้นเรียนมานั่งรวมกัน เพื่อจะพูดให้ฟังเกี่ยวกับการสอบปลายภาคสำหรับวิชานี้ ซึ่งจะเป็นการจับคู่กับเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อเป็นคู่แข่งขันกันจริง โดยจำลองการแข่งขันขึ้นมา 1 เกม จับฉลากเลือกคู่แข่งอีก 2 คู่ รวมเป็น 3 คู่ ก่อนถึงวันสอบ 1 สัปดาห์ แข่งกันแบบพบกันหมด โดยอีก 1 คู่ที่ไม่ได้แข่งจะเป็นกรรมการให้ และคอยบันทึกคะแนนในระหว่างการสอบ ซึ่งอาจารย์คงจะไม่สามารถดูนักเรียนได้พร้อมกับทุกคู่ในเวลาเดียว อาจารย์จะให้คะแนนทั้งระหว่างการแข่งขัน และความเข้าใจในกติกาซึ่งดูจากการเป็นกรรมการ ใช้เวลาสอบประมาณ 3 สัปดาห์ แปลว่านักเรียนมีเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์จะถึงการสอบสัปดาห์แรก แล้วสัปดาห์ถัดไปตนก็เวียนบทบาทกัน
“แปลว่าคู่ไหนชนะ ก็จะได้คะแนนเยอะกว่าเหรอคะอาจารย์”ฉันยกมือถามหลังจากที่อาจารย์อธิบายจบ
“ก็ถ้าแข่งแบบพบกันหมด แล้วมี 1 คู่ ชนะหมด อีก 1 คู่ แพ้หมดก็คงได้คะแนนไม่เท่ากัน แต่ที่สำคัญกว่าคือ อาจารย์ดูภาพรวมด้วยว่าเล่นได้สูสีกันหรือเปล่า สู้ได้สมศักดิ์ศรีหรือเปล่า ก็จะมีคะแนนให้ต่างหาก”
นั่นคือห้ามล้มมวยสินะ...ฉันคิดในใจ พลางหันไปมองทางกฤษณ์ สีหน้าของกฤษณ์ตอนนี้ซีดเผือดยิ่งขึ้นไปอีก
“อาจารย์คะ” อรนินทร์ หัวหน้าห้องยกมือถามต่อ “นักเรียนห้องนี้ ผู้ชาย 25 คน ผู้หญิง 23 คน ไม่ว่าจะจับคู่แบบไหน ก็เหลือนักเรียนที่เป็นเศษ แล้วจะทำยังไงล่ะคะ”
อาจารย์ชายร่างเล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง เสียงนักเรียนในห้องเริ่มฮือฮาหารือกันใหญ่
“ก็ถ้าคู่ผสมคู่นั้น ต้องไปแข่งกับชายคู่ หรือหญิงคู่ ผมจะพิจารณาแต้มต่อให้ตามสมควรก็แล้วกัน” ในที่สุดอาจารย์ก็ตัดสินใจออกมาได้ แต่ก็ทำให้เหล่านักเรียนยังกังวลอยู่ ตามประสาพวกที่ไม่เคยยอมให้วิชาเรียนไหนมาเป็นตัวถ่วงของเกรดเฉลี่ยของตน
“ใครที่วิ่งนิดวิ่งหน่อยก็หอบเหนื่อยตัวโยน นอกเหนือจากซ้อมแบดมินตันแล้ว ก็ต้องฝึกฝนร่างกายตนเองเพิ่มเติมด้วยนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นใครเป็นลมเป็นแล้งไปในระหว่างแข่ง”
ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าอาจารย์จงใจมองมาทางกฤษณ์เป็นพิเศษ ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเราไปฝึกหัดการเสริฟแบบต่าง ๆ ของแบดมินตัน และการเล็งให้ลูกเสริฟ ไปลงจุดต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันไประหว่างแบดมินตันแบบเดี่ยว และแบบคู่ อาจารย์สายลมอธิบายว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีกติกาบังคับ ว่าจะใช้วิธีเสริฟแบบไหน แต่ถ้าเป็นการแข่งเดี่ยว ผู้เล่นนิยมใช้ท่าเสริฟโฟร์แฮนด์ ช้อนลูกเสริฟให้ไปตกบริเวณเส้นท้ายคอร์ของคู่แข่ง แต่ถ้าเป็นการแข่งคู่ ผู้เล่นนิยมใช้ท่าเสริฟแบ็คแฮนด์ หยอดให้ไปลงเพียงบริเวณเส้นเสริฟของคู่แข่ง ซึ่งก็ต้องระวังไม่ให้เสริฟเบาเกินไป จนไม่ถึงเส้นเสริฟ เพราะจะกลายเป็นเสียคะแนนแบบง่าย ๆ ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมถึงนักกีฬาถึงนิยมแบบนั้นกัน เอาเป็นว่าฉันจะฝึกโฟร์แฮนด์ให้พอเป็น แต่คงต้องเน้นแบ็คแฮนด์ให้มาก ๆ
ก่อนถึงช่วงพักกลางวัน อรนินทร์บอกเพื่อน ๆ ในห้องว่า เพื่อความยุติธรรม ตอนเย็นหลังเลิกเรียน จะขอประชุมเรื่องจับคู่แข่งในการสอบ ทุกคนอาจตกลงกันได้ล่วงหน้าก่อนถึงเวลา แต่ต้องไปสรุปให้เรียบร้อยในการประชุมเย็นนี้
ดังนั้นในช่วงพักกลางวัน เมื่อฉันและเพื่อนสาวในกลุ่มคือ หลิน และ ฝ้าย กินข้าวกันไปได้คนละสองสามคำ ฝ้ายก็เริ่มการสนทนา
“เราจะจับคู่วิชาพละยังไงล่ะเนี่ย มีกันอยู่สามคน ตอนแรกยังนึกว่า จะให้เป็นทีมสามคนหญิง แข่งกับทีมสามคนชายได้เสียอีก”
“ยัยบ๊อง” หลินแหวใส่เพื่อน “พวกเราจะไปสู้กับผู้ชายสามคนได้ยังไงล่ะ แค่สู้แรงตบลูกแบดก็เต็มทนแล้ว เวลาคิดคะแนนสอบ ต่อให้มีแต้มต่อก็เหอะ ชั้นว่ายังไงก็เสียเปรียบ”
“แล้วถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งต้องไปคู่กับกฤษณ์ล่ะก็ หืยยยย หมดกันอนาคต”
“พูดอะไรแบบนั้นฝ้าย ดิสเครดิตกันเกินไปหรือเปล่า แล้วทำไมถึงคิดว่ากฤษณ์จะเป็นเศษล่ะ”ฉันติงเพื่อนเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ก็พอเข้าใจว่าทำไมฝ้ายถึงพูดแบบนั้น
“ก็สอบแบบนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยากจับคู่กับคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้คนเก่งกว่า อย่างน้อยก็ต้องฝีมือไม่ต่างกันเกินไป แต่นายกฤษณ์เนี่ย ต่างกับคนอื่นเยอะแน่ ๆ ฉันว่าไปจับคู่กับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ยังจะได้เปรียบกว่าไปจับคู่กับกฤษณ์เสียอีก”ถ้ากฤษณ์ได้ยินฝ้ายพูดแบบนี้ คงเสียใจพิลึก
“ไม่เป็นไรนะหลิน ฝ้าย”ฉันสรุปขึ้นมา ฉันพอจะเข้าใจเจตนาของทั้งสองคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอไม่อยากได้คะแนนแย่ ๆ ในวิชาแบบนี้ “พวกเธอจับคู่กันไปเถอะ ฉันไปจับคู่กับคนอื่นเอง จะใครก็ได้”
“เธอจะทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ” หลินถามขึ้น พลางมองมาทางฉันพร้อมกับฝ้าย สายตาของพวกเธอแปลความหมายได้ ระหว่างซึ้งในน้ำใจของฉันจริง ๆ กับ ดีใจที่เป็นไปตามแผนที่พวกเธอจงใจให้ฉันเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง ขึ้นกับว่าจะมองแบบไหน ฉันเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นแบบแรก แล้วจึงพยักหน้าตอบแบบยิ้ม ๆ
อันที่จริงฉันก็กังวลไม่น้อย เรื่องกีฬาฉันเล่นและหัดแค่พอเอาตัวรอดจริง ๆ เรื่องตีแบดมินตัน ฉันก็เคยเล่นมาบ้าง แต่ไม่ได้มีฝีมือระดับรัชนก อินทนนท์ ที่โด่งดังจากโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมาที่ลอนดอน ถ้าหวังว่า ฉันจะช่วยดึงผลการแข่งขันให้ดีขึ้นได้ บอกเลยว่าผิดถนัด
แล้วก็ถึงตอนเย็นที่คุณหัวหน้าห้องนัดหมายไว้ เกี่ยวกับเรื่องการจับคู่ ปรากฏว่าคนในห้องส่วนใหญ่มีปัญหาน้อยกว่าที่คิด คือ ทุกคนจับคู่ได้ก่อนที่จะถึงเวลาประชุมเสียอีก อย่างกลุ่มของวาสนาที่มีเศษเกินอยู่หนึ่งคน ก็ไปจับคู่กับนิยดาที่เป็นเศษจากอีกกลุ่มหนึ่ง สงสัยว่าจะนัดกันผ่านไลน์แหง ๆ ฉันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท อย่างน้อยก็น่าจะไปชิงจับคู่นิยดาให้ได้ก่อน ตอนนี้จึงเหลือส่วนที่ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่คือ ฉัน หลิน ฝ้าย และผู้ชายอีกสามคน แน่นอนว่ามีกฤษณ์อยู่ด้วย ส่วนอีกสองคนคือ ถกล และ กรุณา
ฉันได้แต่คิดในใจว่า นี่เป็นกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติอย่างที่เคยเรียนในชั่วโมงชีววิทยาหรือเปล่านะ สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดได้ คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าและปรับตัวไม่ได้ ก็จะถูกคัดออกจากกลุ่ม ถกลและกรุณาไม่อยากจับคู่กันเองเพราะพวกเขากำลังหลงใหลได้ปลื้มนักเรียนชายรูปหล่อห้อง 15 คนหนึ่งอยู่ ทำให้กระทบกระทั่งกันบ่อย ๆ จากที่เพื่อน ๆ คิดว่าคงทะเลาะกันขำ ๆ ตามประสาชาวสีม่วง ตอนนี้กลายเป็นคู่อริกันไปเสีย และยิ่งไม่อยากจับคู่กับกฤษณ์อีก
อรนินทร์พยายามไกล่เกลี่ยฝ่ายชาย เพราะฝั่งฉันนั้นบอกไปแล้วว่า ฉันจับคู่กับใครก็ได้ ให้หลินจับคู่กับฝ้ายไป แต่ฉันมองไปแล้วรู้สึกกลุ้มใจกับเกรดวิชาพลศึกษาในเทอมนี้เหลือเกิน รู้อยู่แล้วว่ากฤษณ์เป็นตัวตลก ส่วนถกลกับกรุณา อาจจะแข็งแรงกว่านิดหน่อย แต่ดูทัศนคติแล้วคงรับมือยาก แบบนี้จะจับคู่กันยังไง
สุดท้ายกรรมการก็ชี้ขาด
“ถกล...กรุณา ถ้าเธอสองคนตกลงกันไม่ได้ เดี๋ยวเราจับคู่เองแล้วนะ” เสียงอรนินทร์พูดอย่างเด็ดขาด “ถกล...เธอไปจับคู่กับฝ้าย กรุณา...เธอไปจับคู่กับหลิน ส่วนเธอนายกฤษณ์...”เธอหันมามองหน้าฉัน เหมือนอดกลุ้มใจแทนฉันไม่ได้ชอบกล “ช่วยหน่อยนะสิริ เดี๋ยวไงเราบอกอาจารย์เองว่า ให้เธอสามคู่ อยู่ทีมเดียวกัน”
“ได้ไงอ่ะนินทร์ ก็เราบอกแต่แรกแล้วว่าจะจับคู่กันเอง ทำไมเราต้องมาจับคู่กับยัยสองคนนี้ด้วย” ฝ้ายโวยกับอรนินทร์ ในเมื่อแผนที่อุตส่าห์วางไว้พังครืนไปต่อหน้า
“ขืนปล่อยไปแบบนี้ ก็ไม่จบเสียที แล้วถ้าให้สิริจับคู่กับกฤษณ์ ก็กลายเป็นคู่ผสมคู่เดียวในห้อง โดนแต้มต่ออีก มันก็มีผลกับคะแนนของเพื่อนเธอเหมือนกัน”
“โฮ้ย จับคู่กับกฤษณ์ ยิ่งกว่าจับคู่กับผู้หญิงอีก แข่งกับผู้หญิง ยังต้องให้แต้มต่อกับคู่ของกฤษณ์เลยมั้ง” น่าจะเป็นเสียงนายป๋วยที่ทะลึ่งแซวขึ้นมา เพื่อน ๆ ผู้ชายในห้องส่งเสียงโห่ฮาด้วยความชอบใจ
ฉันมองไปทางกฤษณ์ ดวงตาของเขาหลุบต่ำลง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
เมื่อจับคู่กันเสร็จแล้ว เพื่อน ๆ ในห้องเรียนต่างก็เก็บข้าวของทะยอยกันออกไปจากห้อง ดูเหมือนหลินกับฝ้ายจะโกรธมากที่เหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ ระหว่างเก็บของพวกเธอบ่นกระปอดกระแปดตลอดเวลา
ฉันตัดสินใจเดินไปหากฤษณ์ ที่เพิ่งลุกออกจากโต๊ะ กำลังเดินไปทางประตูห้อง ฉันเรียกเขาจากทางด้านหลังเจ้าตัว
“กฤษณ์ มาคุยกันแป็บนึง”
กฤษณ์หันกลับมา ฉันเสียดายจัง ถ้าเขาแข็งแรงกว่านี้ เขาจะเป็นเทพบุตรผู้ป็อบปูลาร์คนหนึ่งในโรงเรียนนี้ได้เลย กะคร่าว ๆ จากความสูงของฉันเอง ตัวเขาน่าจะสูงราว 175 ซม. รูปร่างผอมก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่แนวผอมแห้งแรงน้อยเลย ซึ่งผิดกับสิ่งที่ปรากฏในชั่วโมงพละมาก ๆ ฉันไม่เคยคุยกับเขาจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน ทว่าสิ่งที่เขาพูด และสีหน้าที่แสดงออกมา กลับทำให้ฉันถึงกับผงะไปชั่วครู่
“ไม่อยากจับคู่กับผมล่ะสิ ขอโทษด้วยที่ออกมาเป็นแบบนี้” เสียงห้าว ๆ พูดออกมา นัยน์ตาเล็ก ๆ นั้นมีแววของความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรชอบกล กฤษณ์ทำท่าจะหันหลังกลับไป ฉันพยายามตั้งสติ เพื่อที่จะรีบพูดก่อนที่เขาจะเดินไปไกลกว่านี้
“ฉันจะทำให้คนอื่นเขามองนายใหม่ให้ได้ คู่ของเราจะต้องทำได้ดีในการสอบ คอยดูสิ” ได้ผล กฤษณ์หันหลังกลับมามองฉันอีกครั้ง “เริ่มอาทิตย์หน้าเลย เอาวันที่เรียนพละนี่แหละ จะได้ไม่ต้องถือไม้แบดมาโรงเรียนหลายวัน หลังเลิกเรียนอย่างวันนี้ ฉันจะเคี่ยวเธอให้หนักเลย อ่อ...ก่อนจะถึงอาทิตย์หน้า ตอนเย็นนายต้องออกกำลังกายเพิ่ม ให้ร่างกายมีแรง”
“ออกกำลังกายเพิ่มเนี่ยนะ...ยังไง”
ด้วยความที่พูดออกไปแบบไม่เต็มสติดี ทำให้ฉันต้องใช้เวลาคิดชั่วแวบหนึ่งเพื่อจะตอบคำถาม เสียงฉันออกจะดังกว่าที่ปกติฉันเคยพูด “ก็...ออกกำลังกายเพิ่มไง จะกระโดดเชือก จะวิ่ง จะเดิน จะขว้างจักร จะปั่นจักรยานจะ....อะไรก็ได้ เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะชนะกับเค้าบ้าง อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองก็แข็งแรงสมกับเป็นผู้ชายเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เขาหัวเราะนาย นายก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ซึ่งอย่างแรกก็คือ นายต้องอึดกว่านี้ นายถึงจะสู้ฉันไหวไงล่ะ”
ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรแปลก ๆ ไปมากกว่านี้ ฉันหันหลังวิ่งกลับไปเก็บกระเป๋านักเรียนและรีบพยักเพยิดให้หลินกับฝ้ายลุกจากที่นั่งของพวกเธอ โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทั้งคู่หันกลับมาแซวฉัน และชวนกันออกจากห้องเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน