จงมาคุยเรื่อง KILL la KILL กันให้สนุกสนานแล้วมองให้ทะลุถึงตับไตไส้พุงกันเถอะ!!![2]

***ระวังโดนสปอยสำหรับใครที่ยังดูไม่ถึงตอนสี่***
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***


ถ้าอย่างนั้นเรามาต่อความยาว สาวความยืดกันต่อนะ

จากที่อนิเมเรื่องนี้เปิดตัวมา ก็ได้มีการเกริ่นถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในเรื่องไปแล้วว่ามีการใช้ “เครื่องแบบ” และ “ระบอบเผด็จการ” หรือ เป็นการปกครองในแบบของ “ทหาร” ในการปกครองสังคม ซึ่งก็แทบไม่ต้องยืนยันอะไรให้มากมายแล้วนอกเสียจากจะกลับไปดูตึกสภานักเรียนที่มีภาพลักษณ์ของ “เครื่องแบบกะลาสี” “เรือรบ” (ซึ่งมาจากความเห็นที่ยอดเยี่ยม เพิ่มเติมจากกระทู้ที่แล้ว) และยังอาจจะมีความหมายซ่อนเร้นอื่น ๆ อีก ซึ่งจขกท.ก็จะขอตีความหมายแต่เพียงโดยสรุปเท่านี้ก่อนละกัน

พอเนื้อเรื่องได้เริ่มตอนสี่มา ก่อนที่เพลงเปิดในอนิเมจะขึ้นเสียอีก จขกท.ก็รู้สึกคล้าย ๆ เหมือนจะเมาอากาศ (55555555)
อย่างที่หลาย ๆ คนก็น่าจะคิดกันไว้อยู่แล้วว่าตอนสี่นี้เป็น “ตอนปล่อยมุข” หรืออาจหาสาระแทบไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วมันก็ยังพอจะมี “สอดไส้” มาให้เหมือนเดิมนี่แหละ

โดยประเด็นเริ่มแรกที่น่าคิดก็คือ “เซ็นเก็ตสึ” สามารถที่จะ “คุย” หรือ “สื่อสาร” กับริวโกะได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือก็คือ “มีแค่ริวโกะคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นว่าเซ็นเก็ตสึมีชีวิต!” อันนี้ก็แตกความเป็นไปได้ในหลายแนวทางเลย อย่างเช่น 1.)มีแค่ตระกูลของริวโกะเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับเครื่องแบบคามุอิได้ 2.)ตระกูลของซัตสึกิกับริวโกะเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับเครื่องแบบคามุอิได้เหมือนกัน 3.)ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลหรือสายเลือด แต่เป็นเพราะริวโกะเท่านั้นที่ “ถูกเลือก” หรือมี “ความเหมาะสม” ที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด 4.)ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลหรือสายเลือด แต่เป็นเพราะตัวของริวโกะและซัตสึกิแค่สองคนเท่านั้น 5.)มี “ปัจจัย” อื่นที่มากกว่านั้นที่จะสามารถทำให้ “คน ๆ นั้น” สื่อสารได้ หรือไม่ได้กับเครื่องแบบคามุอิ ซึ่งในกรณีนี้ทั้งหมดจะยังไม่ขอตีความเพราะยังไม่มีความชัดเจนมากพอ แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาจากเหตุในลักษณะใด แต่ถ้าเป็นเพราะ “การถูกเลือก” ที่ดูไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลมากพอ มันจะไปเข้าลูบของสิ่งที่เรามักจะคุ้นเคยกัน คือ “วีรบุรุษเกิดมาเพื่อที่จะเป็น” ซึ่งจริง ๆ แล้วจขกท. ชอบการคิดในลักษณะที่ว่าแท้จริงแล้วทุกคนเป็น “Hero-in-waiting” มากกว่า

ต่อมาก็เป็นประเด็นของ “No-Late Day” หรือ “วันห้ามสาย” อันนี้จขกท.ไม่รู้ว่ามีบางโรงเรียนที่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ที่อยู่ดี ๆ ก็จะมีวันหนึ่งของเทอมที่มีคณะกรรมการมาคอยดูแล ตรวจสอบการมาสายของนักเรียนอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันก็แสดงถึงความไม่สม่ำเสมอของการอบรมให้นักเรียนรักษาวินัยเพราะมันดันไปเน้นเอาแค่วัน ๆ เดียวที่ถือเป็น “วันพิเศษ” คือแทนที่จะตั้งใจทำตลอดแต่ดันทิ้งไอ้วันที่เหลือไปแบบไม่สนใจไยดี อาจจะดูนอกเรื่องหน่อยแต่มันก็เหมือนกับเลิกเหล้าเข้าพรรษา แต่วันอื่น ๆ มันก็ไปวนเอาวงจรเดิม ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเอาอีหรอบเดิม

กลับมาที่ประเด็นวันห้ามสายต่อ คือสำหรับวันนี้จขกท.รู้สึกว่าคณะกรรมการควบคุมวินัย “ตั้งใจ” เป็นอย่างมากที่จะสร้างไอ้วัน ๆ นี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อที่จะ “ขัดเกลา” พวกหมู หมา กา ไก่ หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียกพวกที่ “ไม่มีดาว” ให้ดูสมกับเป็น “คน” มากขึ้น แต่ก็อย่างนี้ละนะ คือมันจริงที่สังคมหรือสภาพแวดล้อมนั้นเองที่จะเป็นผู้ขัดเกลาเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ แต่หลายคนก็ลืมไปว่าไอ้การขัดนั้นนะมันทำให้เกิดการ “เว้าแหว่ง” ไปมากแค่ไหน แล้วถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นเปราะบาง บวกกับการเจียระไนที่ไม่ถูกวิธีมันก็สามารถทำให้ถึงขั้นแตกหักกันได้ เสร็จแล้วก็จะถูกโยนทิ้งไปแบบเหมือนขยะชิ้นนึง ซึ่งอนิเมมันตั้งใจจะสื่อตรงนี้จริง ๆ เพราะมันทำให้กฎดูเข้มข้นเกินเหตุ อย่างถ้าใครไม่ผ่านการทดสอบละก็จะต้องโดน “ไล่ออก” หรือเอาตรง ๆ ก็คือ “เนรเทศ” จากสังคมนี้ออกไปเลย คือโอเคอย่างเรา ๆ ดูกันให้เพลิดเพลิน ให้ดูคลายเครียดมันก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากให้ลึกไปมากกว่านั้นก็ต้องบอกว่าการดำเนินเรื่องมันทำให้ดูสุดขั้วเกินเหตุ และทำให้ดูสนุก ดูตลกเพื่อให้ดูง่าย อย่างเช่นว่าตั้งกฎธรรมดา ๆ ให้มาเข้าห้องก่อนเช็คชื่อให้ทันแปดโมงครึ่ง  เสร็จแล้วก็จะมีเซ็ทกับดักเตรียมพร้อมเอาไว้ “หลอก” เหมือนเราได้เข้าไปผจญภัย ไปเล่นเป็น survivor หรืออย่างน้อยที่สุดก็เหมือนเข้าบ้านผีสิง มันก็สนุกดี แต่พอมาคิดอีกทีมันก็สะท้อนความเป็นจริงออกมาหลายอย่างที่น่าเศร้ามาก ซึ่งจะขอพูดต่อในประเด็นของ “ความไม่เท่าเทียม” โดยเรามาเริ่มกันที่ “พาหนะ” ก่อนเลย

พาหนะในการเดินทางเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนไปไหนมาไหนก็มีความสะดวกสบายมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่ว่าเป็น “สิทธิ์” ที่ทุกคนพึงมี แต่แท้จริงมันมีให้กันครบทุกคนในสังคมหรือเปล่าต้องลองมาดูกัน เพราะจริง ๆ แล้วในเรื่องคนแต่ละระดับชั้นจะมีพาหนะเป็นของชนชั้นตัวเองทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น รถรางของพวกชนชั้นล่างที่ไม่มีดาว ซึ่งก็ถูกกามากอริยึดเอาไว้แล้ว รถบัสหุ้มเกราะของพวกดาวเดียว แล้วยังตู้ชิงช้าสำหรับคนรวยอีกเล่า มันสื่อถึงความไม่เท่าเทียมกันเลยแม้แต่สิ่งที่เป็นขั้นพื้นฐานเหล่านี้ อนิเมมันต้องการจะบอกอะไร กับการที่ “ต้องมาโรงเรียนให้ทัน” คือ “ทำตามกฎ” มันแค่เล็กน้อยมากกับการอยู่ในสังคม เหมือนกับเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม อันนี้ริวโกะก็ไม่ได้ไปขัดข้องอะไรกับบรรทัดฐานธรรมดาเหล่านั้นตั้งแต่ต้นเรื่อง คือก็ไปโรงเรียน ใส่ชุดนักเรียน แล้วยังจะสู้กันตามกติกาของฝ่ายตรงกันข้ามด้วย เพราะจริง ๆ ไม่มีใครที่ไหนหรอกที่อยากเจอปัญหาที่หนักกว่าคือถูกตีตราว่าเป็น “เด็กไม่เอาไหน” อย่างที่ไมโกะตั้งใจจะทำให้ริวโกะเป็น แต่นี่มันถึงขั้น “เบียดเบียน” กันแบบสุดฤทธิ์ แสดงกันให้เห็นจะ ๆ ไปเลยว่าสำหรับพวกที่ไม่มีอำนาจในสังคมแล้วแค่ความพยายามที่จะ “เข้าถึง” โรงเรียนอันเป็นสถานศึกษานั้น หยั่งกับจะต้องฝ่าสงครามที่มีผู้คนนับร้อยอันเป็นตัวของสังคมเองนี่แหละ ที่กีดกันพวกเขาอยู่ได้ ดีนะที่พวกดาวเดียวยังมีรถหุ้มเกราะ แต่พวกที่เดินเท้าล้วน ๆ นี่ถ้าไม่ใช่ริวโกะที่เก่งจริงจะฝ่าไปยังไงเนี่ย มันแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมนั้นยังยึดติดกับการเล่นเส้นสาย ง่าย ๆ เลยว่าใกว่าก็ได้เรียน จ่ายเข้าไปเพื่อให้ได้เรียน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเวลาสอบแข่งขันเข้ามหาลัย หรือการสมัครงานนะ เดี๋ยวมันจะยาว

เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า ต่อไปจะพูดถึงตัวละครที่ชื่อว่า “ไมโกะ” แต่ก่อนที่จะเริ่มประเด็นจะขอวกกลับออกมาสักนิดนึงเพื่อที่จะพูดถึงความเชื่อมโยงของอนิเมเรื่องนี้กับ “Nineteen Eighty-Four” ที่เป็นนิยายระดับตำนานของ George Orwell ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 1949 คือลักษณะเนื้อเรื่องที่เป็น Dystopia ซึ่งจะเรียกแบบซื่อ ๆ อย่างจขกท. ก็ได้ว่า “นรก” และตรงข้ามกับ Utopia ที่จขกท. ก็เรียกซื่อ ๆ ไปว่า “สวรรค์” ความคล้ายกันของนรกที่ว่ามันเห็นได้ค่อนข้างชัดทีเดียวในเรื่อง ถ้าหากใครเคยอ่านละก็จะต้องรู้จักตัวละครที่ชื่อว่า “O'Brien” ที่ตอนแรกเข้ามาหาพระเอกที่ชื่อ “Winston” ซึ่งเป็นกบฎ และทำท่าให้พระเอกเชื่อว่าตนเองนั้นอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่สุดท้าย O'Brien ก็ทรยศพระเอกและทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ซื่อสัตย์ให้กับรัฐบาลเผด็จการ จัดการเข้าควบคุมตัวพระเอกในภายหลัง แน่นอนว่าตัวละครที่ชื่อไมโกะนี้มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของ O'Brien ในรูปแบบดังกล่าว แต่มันก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีใครคนอื่นที่มีความเหมาะสมที่จะเป็น O'Brien แบบเน้น ๆ มากกว่าในเรื่อง ซึ่งก็คงจะต้องลุ้นกันต่อไป

กลับมาที่ไมโกะต่อ ประเด็นที่น่าพูดถึงก็คือ “ทำไมไมโกะสามารถแปลงร่างด้วยเซ็นเก็ตสึได้?” อันนี้ก็สามารถกระจายความเป็นไปได้ได้อีกเยอะทีเดียว แต่เพื่อไม่ให้ยืดมากจะขอพูดถึงแค่ความเห็นของ จขกท. เฉพาะตอนนี้แล้วกัน คือเธอมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำก็แค่ในด้าน “พลีกายให้” ก็เท่านั้น ซึ่งการสละตนเองแบบนี้ไม่ได้ไปเน้นความหมายเช่นว่าความมีน้ำใจ เผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัวหรืออะไร แต่ตรงกันข้าม มันเป็นการพุ่งไปที่เป้าหมายอย่างเดียวอย่างไม่เลือกวิธีการ อีกทั้งยังทำเพื่อตัวเองล้วน ๆ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ชัดเจนว่าประชาชนเขาไม่เอาด้วยหรอก การมีผู้นำอย่างซัตสึกิที่มีพลังอำนาจ และมีปัญญาเฉลียวฉลาด มันก็มีทั้งด้านดีที่สวยงาม และมีทั้งด้านมืดที่เลวร้ายผสมกันขับเคลื่อนสังคมไปได้พอควร แต่ถ้ายิ่งมีผู้นำที่มีแค่พลังอำนาจแต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีสติปัญญาที่มองการณ์ไกลอะไรเลยนี่มันยิ่งนำพาเอาสังคมไปสู่ความยิ้มวายวอดเป็นแน่แท้

จากที่กล่าวมา เราได้เข้าเรื่องของ Nineteen Eighty-Four ไปแล้วก็จะขอต่อเลยละกัน โดยจขกท.จะพยายามอธิบายง่าย ๆ ว่ามันคล้ายกับอนิเมนี้ยังไง เริ่มด้วยรัฐที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการที่ชื่อ  Oceania ผู้นำสูงสุดถูกขนานนามเรียกง่าย ๆ ว่า “Big Brother” คนในรัฐนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามระดับชั้น อันได้แก่ 1.) upper-class หรือ “Inner Party” 2.) middle-class หรือ “Outer Party” และ 3.) lower-class หรือ “Proles” ซึ่งมีปริมาณร้อยละ 85 ของประชากร ในสภาของรัฐนี้ประกอบไปด้วยกระทรวงหลักสี่กระทรวง อันได้แก่ 1.) Ministry of Peace ที่จะคอยดูแลจัดการเรื่อง “สงคราม” 2.) Ministry of Plenty ที่คอยดูแลจัดการเรื่องเศรษฐกิจ หรือ “การแบ่งสันปันส่วน” และ “ความอดอยาก” 3.) Ministry of Love ที่น่ากลัวสุด ๆ ที่จัดการเรื่องกฎหมาย และ “การทรมาน” สุดท้าย 4.) Ministry of Truth ที่คอยจัดการด้าน “propaganda” หรือ “การโฆษณา”



ทีนี้ก็พอจะนึกกันออกบ้างแล้วถูกไหม ซึ่งถ้าให้มาเทียบกับสี่จัตุรเทพในอนิเมแล้วคงไม่มีอะไรให้ต้องสาธยายให้มากความ สามารถเดากันต่อได้สนุกไปเลยละว่าใครจะทำหน้าที่อะไร และอย่างไร มากันที่คนแรกเลย 1.) Ira Gamagoori (蟇郡 苛) ดำรงตำแหน่งหัวหน้า Disciplinary Committee หรือคณะกรรมการรักษาระเบียบ ซึ่งก็เข้าทางมากกับเครื่องแบบที่มีแซ่เอาไว้ผูกและเฆี่ยนตีเหล่านักเรียนที่ละเมิดกฏ 2.) Uzu Sanageyama (猿投山 渦) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของเหล่าชมรมกีฬาทั้งหลาย จะเห็นว่าพกดาบไม้ไผ่ไว้กลางหลัง จริง ๆ เป็นหัวหน้าชมรมเคนโด้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ 3.) Houka Inumuta (犬牟田 宝火) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของ Intelligence and Tactics Committee ซึ่งท่าทางน่ากลัวอยู่ใช่ย่อย อีกทั้งยังคอยดูแลการทดลองและสร้าง Ultima Uniform ให้กับ Sewing Club อีกด้วย 4.) Nonon Jakuzure (蛇崩 乃音) อันนี้น่าสนใจ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของเหล่าชมรมวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ไม่ใช่กีฬา เดากันต่อได้อย่างเมามันส์เลยละ

นอกจากที่กล่าวไปทั้งหมดยังมีประเด็นที่น่าพูดถึงอยู่แต่จะขอข้ามไปก่อน เช่นว่า 1.)มีกล้องวงจรปิด หรือกล้องตรวจตราอยู่ทั่วไปหมดในเมือง 2.)ตัวประชาชนจำนวนมากที่ทำตัวเป็นสายลับ เป็นหน่วยงานที่สวามิภักดิ์แบบถวายหัวต่อซัตสึกิ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างมากหากอ่านจบ คิดว่าตอนหน้ามันจะต้องมีอะไรโผล่มาเพิ่มเติมแน่นอน แต่เนื่องด้วยว่าจขกท.ตอนนี้ติดภารกิจ คงจะต้องขอตัวไปสักพักใหญ่ ๆ เลย แต่ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจหรือมีโอกาสละก็จะรีบแวบกลับมาทันทีเลยละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่