ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เด็กหญิงอเมริกันวัย 14 ปี โรงเรียนมัธยมคริสตัล เลก เมืองเลกแลนด์ รัฐฟลอริดา คบหาเพื่อนชายวันเดียวกันมาระยะหนึ่ง เมื่อรู้ว่าแฟนของตัวเองเคยคบกับ ด.ญ.รีเบคกา เซ็ดวิก รุ่นน้องเกรด 7 วัย 12 ปี ก็รู้สึกไม่พอใจ และเริ่มกลั่นแกล้งรังควานต่างๆ นานา ตั้งแต่แบบออฟไลน์ต่อหน้า และขยับไปในโลกออนไลน์ โดยเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิทของรีเบคกามาเป็นคู่หู พร้อมประกาศว่า หากใครคิดเป็นเพื่อนกับยัยรีเบคกา ก็หมายถึงเป็นศัตรูกับเธอ และจะต้องโดนกลั่นแกล้งตามไปด้วย
ที่ตั้งเมืองเลกแลนด์ รัฐฟลอริดา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
รีเบคกา เซ็ดวิก
(ภาพจาก: http://www.csmonitor.com/USA/2013/1016/Rebecca-Sedwick-suicide-Parents-to-blame-for-their-bullying-children-video)
หลังจากถูกคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานับปี มีถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างน้อย 5 ครั้ง ข่มขู่เป็นระยะว่าจะรุมซ้อม ท้าต่อสู้ รวมถึงส่งข้อความผ่านกล่องข้อความเฟซบุ๊กและทางแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนว่า
"ไม่มีใครชอบหล่อน" "เธอควรฆ่าตัวตายซะนะ" "กินบลีช (น้ำยาฟอกขาว) และไปตายซะ" รีเบคกาตัดสินใจกระโดดจากตึกโกดังโรงงานปูนซีเมนต์ร้างแห่งหนึ่ง จบชีวิตตนเองในวัยเพียง 12 ปี เมื่อวันที่ 9 กันยายน
ระหว่างที่ทางการกำลังสอบสวนการเสียชีวิตของรีเบคกา 4 สัปดาห์ผ่านไป โดยรับรู้แล้วว่า สาเหตุการฆ่าตัวตายน่าจะมาจากการกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ และข้อความทารุณพวกนี้คือฟางเส้นสุดท้าย แต่ยังไม่ได้เร่งร้อนวางแผนคิดจับกุมผู้ต้องสงสัยคนใด แต่เมื่อเด็กหญิงวัย 14 ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคมว่า
"ใช่ ฉันรู้ ฉันแกล้งรีเบคกา และหล่อนฆ่าตัวตาย แต่ฉันไม่แคร์" ถึงจุดนั้น
นายอำเภอเกรดี้ จัดด์ จากโพล์ค เคาน์ตี้ ที่ทำคดีนี้ ตัดสินใจทันทีว่า คงปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นอาจจะมีใครตกเป็นเหยื่อรังแกของสาวน้อยนักเลงอีกก็ได้ จึงได้เข้าจับกุมเด็กหญิงวัย 14 และอดีตเพื่อนสนิทของรีเบคกาที่ร่วมกันรังควานผู้ตาย และแจ้งข้อหาสะกดรายตามเพื่อคุกคามทำให้เกิดอันตราย ซึ่งเป็นข้อหาอาญา แต่ยังไม่แน่ชัดว่าหากถูกตัดสินมีความผิดในศาลเยาวชน จะถูกกักในสถานพินิจฯ เป็นเวลากี่ปี เพราะทั้งสองไม่มีประวัติเคยทำผิดมาก่อน
ข้อความที่เด็กหญิงวัย 14 โพสต์หลังการตายของรีเบคกา
(ภาพจาก: http://www.abcactionnews.com/subindex/news/region_polk)
การจับกุมมีขึ้นเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เด็กโตกว่าซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่รู้สึกผิด ถูกส่งคุมตัวในแผนกผู้เยาว์ของเรือนจำโพล์ค เคาน์ตี้ ระหว่างรอขึ้นศาลในวันที่ 25 ตุลาคม ส่วนคนเด็กกว่าซึ่งแสดงความสำนึกผิด ได้รับการปล่อยตัวกลับไปอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองดังเดิม
ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร นายอำเภอจัดด์กล่าวว่า โพสต์ (ความเห็น) ของเด็กวัย 14 ผ่านเฟซบุ๊กช่างเย็นชาและก้าวร้าว จนต้องตัดสินใจจับกุม จากเดิมตั้งใจว่าจะรอข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการแอพส่งข้อความสั้น ask.fm กับ Kik ก่อน เพื่อรวบรวมหลักฐานให้ได้มากกว่านี้
ใครควรรับผิดชอบ พ่อแม่ โรงเรียน?
ประโยคเด็ดของนายอำเภอระหว่างแถลงข่าวคือ น่าโมโหและผิดหวังที่พ่อแม่ของเด็กไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ยังปล่อยให้
เด็กหญิงทั้งสองเล่นเฟซบุ๊กและใช้โทรศัพท์มือถือต่อไปหลังรีเบคกาฆ่าตัวตายแล้ว และตำรวจไปสอบปากคำแล้ว หากเรามีข้อหาใดที่จะแจ้งเอาผิดกับพ่อแม่ของเด็กได้ เราจะทำอย่างแน่นอน (หมายความว่า เป็นไปไม่ได้ภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน)
"คนเป็นพ่อเป็นแม่แทนที่จะฉวยโทรศัพท์และทุบพังเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเด็ก แต่กลับบอกว่า บัญชีผู้ใช้ของเธอถูกแฮ็ก"
คำพูดของนายอำเภอจุดประเด็นถกเถียงว่า ผู้เป็นพ่อแม่ควรรับผิดชอบกับความประพฤติเกเรทางออนไลน์ของลูกแค่ไหน หากเลยเถิดทำให้ผู้ถูกกลั่นแกล้วถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง
วิดีโอการแถลงข่าวของนายอำเภอจัดด์
เด็กนักเรียนฆ่าตัวตายเพราะปัญหากลั่นแกล้งรังแกผ่านออนไลน์ในโรงเรียนสหรัฐและเพื่อนบ้านแคนาดาหลายปีมานี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังเป็นเรื่องที่แก้ไม่ตก รัฐบาลสหรัฐเผยข้อมูลเมื่อปีที่แล้ว พบว่า การรังแกและการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นเพิ่มขึ้น แม้มีความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ทางการ เพื่อสกัดปัญหา ผ่านการออกเป็นกฎหมาย และโครงการปลูกจิตสำนึกให้ความรู้ความเข้าใจ
การสอบสวนคดีฆ่าตัวตายของรีเบคกายังไม่จบ เชื่อว่ามีเด็กหญิงร่วมขบวนการทรมานจิตใจของผู้ตายมากถึง 15 คน แต่สองคนแรกที่ถูกจับเป็นหัวโจก โดยเฉพาะคนโตวัย 14 และยังพิจารณาอยู่ว่า จะแจ้งข้อหาผู้ปกครองเด็กด้วยหรือไม่
เดบรา จอห์นสตัน ผู้ประสานงานร่างกฎหมายของ Bully Police USA กลุ่มผลักดันกฎหมายต่อต้านการรังแก ซึ่งเคยสูญเสียลูกชายจากการฆ่าตัวตายหลังถูกรังแกไม่หยุดหย่อนเมื่อ 8 ปีก่อน กล่าวว่า ต้องให้กฎหมายเป็นกลไกบอกเราว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกและควรจะทำ เพราะปัญหาไม่ใช่ว่าเด็กไม่บอก แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่ไม่ฟังและไม่ติดตาม
กรณีลูกชายของเธอ การรังแกทางออนไลน์เกิดขึ้นนาน 3 ปีกว่าจะทราบ และทั้งที่พ่อแม่ของเด็กอีกฝ่ายรับรู้พฤติกรรมของลูกตัวเองแล้ว แต่ยังคงให้เขาใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวและรังแกคนอื่นต่อไปโดยไม่ติดตามสอดส่อง
กฎหมายที่นางจอห์นสตันผลักดันจนผ่านการรับรองจากสภารัฐฟลอริดาเมื่อปี 2551 กำหนดให้ทุกเขตต้องดำเนินนโยบายต่อต้านการรังแก ต้องสอบสวนทันทีที่มีข้อกล่าวหาเกิดขึ้น กำหนดขั้นตอนแจ้งเหตุ และบอกผลที่ตามมาหากละเมิดนโยบาย ครอบครัวเหยื่อจะต้องได้รับแจ้งว่า ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินอย่างใดแล้วเพื่อปกป้องคุ้มครองเหยื่อ
แต่ในกรณีของรีเบคกา ไม่แน่ชัดว่าทางโรงเรียนพยายามมากพอหรือยัง
นางทริเซีย นอร์ตัน มารดาของรีเบคกา กล่าวว่า พ่อแม่ของผู้ต้องสงสัยและโรงเรียนควรต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอแจ้งเหตุโรงเรียนแล้วหลายครั้ง แต่โรงเรียนไม่ได้พยายามมากพอ
มารดาของรีเบคกา เมื่อรู้เรื่องตอนแรก ลังเลไมยึดโทรศัพท์มือถือ เพราะไม่ต้องการให้ลูกรู้สึกแปลกแยก และคิดว่าน่าจะให้ลูกได้พูดคุยกับเพื่อนๆ คนอื่นได้ต่อไป แต่พยายามแอบดูการใช้โทรศัพท์ของรีเบคกาเป็นระยะ และปิดบัญชีเฟซบุ๊ก
ธันวาคมปีที่แล้ว การกลั่นแกล้งรังแกรุนแรงขนาดที่ลูกสาวกรีดข้อมือตัวเอง ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจ 3 วัน จากนั้นลูกสาวเล่าถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ในที่สุด มารดาจึงพาลูกไปลาออก ให้เรียนที่บ้านแทน เพื่อให้ห่างจากผู้ต้องสงสัย และย้ายโรงเรียนใหม่เมื่อสิงหาคม แต่การกลั่นแกล้งออนไลน์ยังไม่เลิกรา ส่วนใหญ่ผ่านการส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น ask.fm กับ Kik ซึ่งมารดาไม่ทราบว่าลูกสาวใช้อยู่ เช่น ข้อความหนึ่ง
"อะไรนะ เธอยังไม่ตายเหรอเนี่ย"
ก่อนหน้าฆ่าตัวตายไม่กี่ชั่วโมง รีเบคกาเปลี่ยนชื่อที่ใช้ในแอพเป็น
"เด็กหญิงคนนั้นที่ตายไปแล้ว" (To That Dead Girl) และส่งข้อความอำลาถึงเพื่อนหลายคนว่า "ฉันกำลังจะกระโดดแล้วนะ"
จากไดอารี่ที่พนักงานสอบสวนพบที่บ้านพัก บรรยายความหดหู่ที่เผชิญ จึงมั่นใจว่า การฆ่าตัวตายของเธอเป็นเพราะถูกรังแก
แต่บิดาและมารดาของเด็ก 14 ปี ให้สัมภาษณ์เอบีซีนิวส์เมื่อวันพุธ มั่นใจว่า ลูกสาวเป็นเด็กประพฤติดี มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่มีวันที่เธอจะโพสต์สิ่งเหล่านั้น บัญชีเฟซบุ๊กของลูกถูกแฮ็กอย่างแน่นอน
การทำให้การรังแกออนไลน์ หรือ Cyberbullying เป็นอาชญากรรม เป็นการแก้ปัญหาถูกทางหรือไม่ เป็นอีกคำถามหนึ่ง
จัสติน แพทชิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์วิจัยการรังแกทางไซเบอร์ กล่าวว่า โศกนาฏกรรมของรีเบคกาเป็นผลเลวร้ายแบบสุดขั้วจากปัญหานี้ แต่ไม่คิดว่า การบัญญัติให้การรังแกออนไลน์เป็นอาชญากรรมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ คือสิ่งจำเป็น
ปัจจุบัน มีกฎหมายหลายฉบับอยู่แล้วที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับคดีรังแกออนไลน์แบบร้ายแรง และเห็นว่า ข้อหาอาญาที่นายอำเภอแจ้งกับผู้ก่อเหตุก็เหมาะสมในคดีของรีเบคกา แต่หากจะนำกรณีนี้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่น ยังเป็นเรื่องต้องพึงระวัง
รัฐฟลอริดาเป็น 1 ใน 49 รัฐที่มีกฎหมายต่อต้านการรังแก และเป็น 1 ใน 47 รัฐที่บัญญัติให้การรังควานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนหนึ่งในนิยามของการรังแกไซเบอร์ กระนั้น ฟลอริดาเหมือนรัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐที่ให้โรงเรียนมีอำนาจและบทบาทแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าเหตุจะเกิดในรั้วโรงเรียนหรือไม่ ในคาบเรียนหรือไม่ ตราบใดที่กระทบต่อสภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน ถือว่าโรงเรียนมีหน้าที่ต้องจัดการ
(หมายเหตุ:
- มอนตานาเป็นรัฐเดียวที่ยังไม่มีกฎหมายต่อต้านการรังแก อ้างอิง: https://antibullyingsoftware.com/bullying-laws-policies/anti-bullying-laws.html)
กรณีของเด็กหญิงสองคนที่ถูกแจ้งข้อหาสะกดรอยตามเพื่อคุกคามให้ผู้อื่นได้รับอันตราย เป็นข้อหาความผิดแยกออกมาจากการรังแก จึงนอกเหนืออำนาจโรงเรียน
แพทชินกล่าวว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะผลักดันให้เอาผิดพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกทางอาญา เพื่อให้คนที่ต้องรับผิดชอบโดนลงโทษ และเพื่อป้องปรามพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก แต่นักวิจัยด้านนี้เชื่อว่า การใช้บทลงโทษทางกฎหมายมาขู่หรือป้องปรามนั้น ไม่ได้ผลกับวัยรุ่น เพราะพวกเขาไม่กลัว ผลวิจัยหลายชิ้นพบว่า ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ อย่างกับเพื่อน พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู คือสิ่งที่มีอิทธิพลกับวัยรุ่นมากกว่าผลที่ตามมาทางกฎหมาย
กรณีการรังแกออนไลน์ทั่วไป ส่วนมากวัยรุ่นทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความเห็นร้ายๆ โดยอาจไม่ได้ตระหนักว่า สิ่งที่กำลังทำร้ายแรงแค่ไหน ดังนั้น การให้ความรู้ความเข้าใจยังจำเป็นมากกว่าบทลงโทษทางอาญา
แนนซี วิลลาร์ด ผู้อำนวยการองค์กรรณรงค์ "ความศิวิไลซ์ในยุคดิจิตอล" ซึ่งทำงานด้านปราบปรามการรังแกไซเบอร์เช่นกัน เห็นด้วยว่า ในหลายๆ กรณี ผู้ใหญ่คือฝ่ายที่ละเลยเพิกเฉย ทั้งที่รับรู้แล้วว่าปัญหากำลังเกิดขึ้น อย่างกรณีรีเบคกา ขนาดมารดาพาลูกออกจากโรงเรียนเพราะทนถูกข่มเหงไม่ไหว แต่ดูเหมือนโรงเรียนไม่ได้ขยับเข้ามาแก้ไข
แนนซี วิลลาร์ด
(ภาพจาก: http://www.submitthedocumentary.com/aboutacyberbullyingfilm/experts/)
สิ่งหนึ่งที่วิลลาร์ดรู้สึกไม่สบายใจคือ การส่งสารมากเกินไปถึงวัยรุ่นเวลานี้ว่า การรังแกและการรังแกไซเบอร์อาจเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายได้ ข้อความที่อาจยุให้คนฆ่าตัวตายได้จริงๆ อย่าง "เธอน่าจะฆ่าตัวตายนะ" อาจถูกใช้เป็นเทคนิครังแก หรืออาจทำให้วัยรุ่นบางคนคิดว่า การจบชีวิตตนเองอาจเป็นทางที่เหมาะสม
เธอมองว่า การป้องกันการถูกรังแกในหมู่วัยรุ่นยังให้ผู้ใหญ่เป็นศูนย์กลาง ผู้ใหญ่สร้างกฎ คุมนักเรียน และลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎ แต่ในความเป็นจริงคื ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองมิใช่ผู้สร้างกฎของเว็บไซต์ พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมดิจิตอลของวัยรุ่น หากพวกเขาลงโทษเด็ก อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางดิจิตอลอย่างยากจะควบคุม ดังนั้น ผู้ที่ควรมีบทบาทกับปัญหานี้มากที่สุด คือ วัยรุ่นนั่นเอง
สำหรับนายอำเภอจัดด์ที่น่าจะเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่า ก่อนเสียชีวิต รีเบคกาต้องเจอกับอะไรบ้าง อยากฝากถึงผู้เป็นพ่อและแม่ว่า เป็นเรื่องยากที่พ่อแม่จะล่วงรู้ถึงข้อความที่ส่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือและสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอพแชร์รูปภาพ แต่ขอให้ใส่ใจเฝ้าดูลูก เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและผู้ปกครองที่ดีที่สุดในเวลาเดียวกัน นั่นคือสิ่งสำคัญ
"ตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่า มีแค่ก้อนหินและท่อนไม้ที่ทำให้เจ็บตัวได้ แต่ไม่เคยเจ็บเพราะคำพูด แต่เดี๋ยวนี้ คำพูดสร้างความเจ็บปวด เพราะมันถูกเผยแพร่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป"
ถ้ายังมีชีวิตอยู่ รีเบคกาจะได้ฉลองวันเกิดครบ 13 ปีในสุดสัปดาห์นี้
อุไรวรรณ นอร์มา
[สหรัฐอเมริกา] รังแกออนไลน์ โศกนาฏกรรมซ้ำซาก
เด็กหญิงอเมริกันวัย 14 ปี โรงเรียนมัธยมคริสตัล เลก เมืองเลกแลนด์ รัฐฟลอริดา คบหาเพื่อนชายวันเดียวกันมาระยะหนึ่ง เมื่อรู้ว่าแฟนของตัวเองเคยคบกับ ด.ญ.รีเบคกา เซ็ดวิก รุ่นน้องเกรด 7 วัย 12 ปี ก็รู้สึกไม่พอใจ และเริ่มกลั่นแกล้งรังควานต่างๆ นานา ตั้งแต่แบบออฟไลน์ต่อหน้า และขยับไปในโลกออนไลน์ โดยเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิทของรีเบคกามาเป็นคู่หู พร้อมประกาศว่า หากใครคิดเป็นเพื่อนกับยัยรีเบคกา ก็หมายถึงเป็นศัตรูกับเธอ และจะต้องโดนกลั่นแกล้งตามไปด้วย
ที่ตั้งเมืองเลกแลนด์ รัฐฟลอริดา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
รีเบคกา เซ็ดวิก
(ภาพจาก: http://www.csmonitor.com/USA/2013/1016/Rebecca-Sedwick-suicide-Parents-to-blame-for-their-bullying-children-video)
หลังจากถูกคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานับปี มีถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างน้อย 5 ครั้ง ข่มขู่เป็นระยะว่าจะรุมซ้อม ท้าต่อสู้ รวมถึงส่งข้อความผ่านกล่องข้อความเฟซบุ๊กและทางแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนว่า "ไม่มีใครชอบหล่อน" "เธอควรฆ่าตัวตายซะนะ" "กินบลีช (น้ำยาฟอกขาว) และไปตายซะ" รีเบคกาตัดสินใจกระโดดจากตึกโกดังโรงงานปูนซีเมนต์ร้างแห่งหนึ่ง จบชีวิตตนเองในวัยเพียง 12 ปี เมื่อวันที่ 9 กันยายน
ระหว่างที่ทางการกำลังสอบสวนการเสียชีวิตของรีเบคกา 4 สัปดาห์ผ่านไป โดยรับรู้แล้วว่า สาเหตุการฆ่าตัวตายน่าจะมาจากการกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ และข้อความทารุณพวกนี้คือฟางเส้นสุดท้าย แต่ยังไม่ได้เร่งร้อนวางแผนคิดจับกุมผู้ต้องสงสัยคนใด แต่เมื่อเด็กหญิงวัย 14 ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคมว่า "ใช่ ฉันรู้ ฉันแกล้งรีเบคกา และหล่อนฆ่าตัวตาย แต่ฉันไม่แคร์" ถึงจุดนั้น นายอำเภอเกรดี้ จัดด์ จากโพล์ค เคาน์ตี้ ที่ทำคดีนี้ ตัดสินใจทันทีว่า คงปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นอาจจะมีใครตกเป็นเหยื่อรังแกของสาวน้อยนักเลงอีกก็ได้ จึงได้เข้าจับกุมเด็กหญิงวัย 14 และอดีตเพื่อนสนิทของรีเบคกาที่ร่วมกันรังควานผู้ตาย และแจ้งข้อหาสะกดรายตามเพื่อคุกคามทำให้เกิดอันตราย ซึ่งเป็นข้อหาอาญา แต่ยังไม่แน่ชัดว่าหากถูกตัดสินมีความผิดในศาลเยาวชน จะถูกกักในสถานพินิจฯ เป็นเวลากี่ปี เพราะทั้งสองไม่มีประวัติเคยทำผิดมาก่อน
ข้อความที่เด็กหญิงวัย 14 โพสต์หลังการตายของรีเบคกา
(ภาพจาก: http://www.abcactionnews.com/subindex/news/region_polk)
การจับกุมมีขึ้นเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เด็กโตกว่าซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่รู้สึกผิด ถูกส่งคุมตัวในแผนกผู้เยาว์ของเรือนจำโพล์ค เคาน์ตี้ ระหว่างรอขึ้นศาลในวันที่ 25 ตุลาคม ส่วนคนเด็กกว่าซึ่งแสดงความสำนึกผิด ได้รับการปล่อยตัวกลับไปอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองดังเดิม
ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร นายอำเภอจัดด์กล่าวว่า โพสต์ (ความเห็น) ของเด็กวัย 14 ผ่านเฟซบุ๊กช่างเย็นชาและก้าวร้าว จนต้องตัดสินใจจับกุม จากเดิมตั้งใจว่าจะรอข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการแอพส่งข้อความสั้น ask.fm กับ Kik ก่อน เพื่อรวบรวมหลักฐานให้ได้มากกว่านี้
ใครควรรับผิดชอบ พ่อแม่ โรงเรียน?
ประโยคเด็ดของนายอำเภอระหว่างแถลงข่าวคือ น่าโมโหและผิดหวังที่พ่อแม่ของเด็กไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ยังปล่อยให้เด็กหญิงทั้งสองเล่นเฟซบุ๊กและใช้โทรศัพท์มือถือต่อไปหลังรีเบคกาฆ่าตัวตายแล้ว และตำรวจไปสอบปากคำแล้ว หากเรามีข้อหาใดที่จะแจ้งเอาผิดกับพ่อแม่ของเด็กได้ เราจะทำอย่างแน่นอน (หมายความว่า เป็นไปไม่ได้ภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน)
"คนเป็นพ่อเป็นแม่แทนที่จะฉวยโทรศัพท์และทุบพังเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเด็ก แต่กลับบอกว่า บัญชีผู้ใช้ของเธอถูกแฮ็ก"
คำพูดของนายอำเภอจุดประเด็นถกเถียงว่า ผู้เป็นพ่อแม่ควรรับผิดชอบกับความประพฤติเกเรทางออนไลน์ของลูกแค่ไหน หากเลยเถิดทำให้ผู้ถูกกลั่นแกล้วถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง
วิดีโอการแถลงข่าวของนายอำเภอจัดด์
เด็กนักเรียนฆ่าตัวตายเพราะปัญหากลั่นแกล้งรังแกผ่านออนไลน์ในโรงเรียนสหรัฐและเพื่อนบ้านแคนาดาหลายปีมานี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังเป็นเรื่องที่แก้ไม่ตก รัฐบาลสหรัฐเผยข้อมูลเมื่อปีที่แล้ว พบว่า การรังแกและการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นเพิ่มขึ้น แม้มีความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ทางการ เพื่อสกัดปัญหา ผ่านการออกเป็นกฎหมาย และโครงการปลูกจิตสำนึกให้ความรู้ความเข้าใจ
การสอบสวนคดีฆ่าตัวตายของรีเบคกายังไม่จบ เชื่อว่ามีเด็กหญิงร่วมขบวนการทรมานจิตใจของผู้ตายมากถึง 15 คน แต่สองคนแรกที่ถูกจับเป็นหัวโจก โดยเฉพาะคนโตวัย 14 และยังพิจารณาอยู่ว่า จะแจ้งข้อหาผู้ปกครองเด็กด้วยหรือไม่
เดบรา จอห์นสตัน ผู้ประสานงานร่างกฎหมายของ Bully Police USA กลุ่มผลักดันกฎหมายต่อต้านการรังแก ซึ่งเคยสูญเสียลูกชายจากการฆ่าตัวตายหลังถูกรังแกไม่หยุดหย่อนเมื่อ 8 ปีก่อน กล่าวว่า ต้องให้กฎหมายเป็นกลไกบอกเราว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกและควรจะทำ เพราะปัญหาไม่ใช่ว่าเด็กไม่บอก แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่ไม่ฟังและไม่ติดตาม
กรณีลูกชายของเธอ การรังแกทางออนไลน์เกิดขึ้นนาน 3 ปีกว่าจะทราบ และทั้งที่พ่อแม่ของเด็กอีกฝ่ายรับรู้พฤติกรรมของลูกตัวเองแล้ว แต่ยังคงให้เขาใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวและรังแกคนอื่นต่อไปโดยไม่ติดตามสอดส่อง
กฎหมายที่นางจอห์นสตันผลักดันจนผ่านการรับรองจากสภารัฐฟลอริดาเมื่อปี 2551 กำหนดให้ทุกเขตต้องดำเนินนโยบายต่อต้านการรังแก ต้องสอบสวนทันทีที่มีข้อกล่าวหาเกิดขึ้น กำหนดขั้นตอนแจ้งเหตุ และบอกผลที่ตามมาหากละเมิดนโยบาย ครอบครัวเหยื่อจะต้องได้รับแจ้งว่า ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินอย่างใดแล้วเพื่อปกป้องคุ้มครองเหยื่อ
แต่ในกรณีของรีเบคกา ไม่แน่ชัดว่าทางโรงเรียนพยายามมากพอหรือยัง
นางทริเซีย นอร์ตัน มารดาของรีเบคกา กล่าวว่า พ่อแม่ของผู้ต้องสงสัยและโรงเรียนควรต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอแจ้งเหตุโรงเรียนแล้วหลายครั้ง แต่โรงเรียนไม่ได้พยายามมากพอ
มารดาของรีเบคกา เมื่อรู้เรื่องตอนแรก ลังเลไมยึดโทรศัพท์มือถือ เพราะไม่ต้องการให้ลูกรู้สึกแปลกแยก และคิดว่าน่าจะให้ลูกได้พูดคุยกับเพื่อนๆ คนอื่นได้ต่อไป แต่พยายามแอบดูการใช้โทรศัพท์ของรีเบคกาเป็นระยะ และปิดบัญชีเฟซบุ๊ก
ธันวาคมปีที่แล้ว การกลั่นแกล้งรังแกรุนแรงขนาดที่ลูกสาวกรีดข้อมือตัวเอง ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจ 3 วัน จากนั้นลูกสาวเล่าถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ในที่สุด มารดาจึงพาลูกไปลาออก ให้เรียนที่บ้านแทน เพื่อให้ห่างจากผู้ต้องสงสัย และย้ายโรงเรียนใหม่เมื่อสิงหาคม แต่การกลั่นแกล้งออนไลน์ยังไม่เลิกรา ส่วนใหญ่ผ่านการส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น ask.fm กับ Kik ซึ่งมารดาไม่ทราบว่าลูกสาวใช้อยู่ เช่น ข้อความหนึ่ง "อะไรนะ เธอยังไม่ตายเหรอเนี่ย"
ก่อนหน้าฆ่าตัวตายไม่กี่ชั่วโมง รีเบคกาเปลี่ยนชื่อที่ใช้ในแอพเป็น "เด็กหญิงคนนั้นที่ตายไปแล้ว" (To That Dead Girl) และส่งข้อความอำลาถึงเพื่อนหลายคนว่า "ฉันกำลังจะกระโดดแล้วนะ"
จากไดอารี่ที่พนักงานสอบสวนพบที่บ้านพัก บรรยายความหดหู่ที่เผชิญ จึงมั่นใจว่า การฆ่าตัวตายของเธอเป็นเพราะถูกรังแก
แต่บิดาและมารดาของเด็ก 14 ปี ให้สัมภาษณ์เอบีซีนิวส์เมื่อวันพุธ มั่นใจว่า ลูกสาวเป็นเด็กประพฤติดี มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่มีวันที่เธอจะโพสต์สิ่งเหล่านั้น บัญชีเฟซบุ๊กของลูกถูกแฮ็กอย่างแน่นอน
การทำให้การรังแกออนไลน์ หรือ Cyberbullying เป็นอาชญากรรม เป็นการแก้ปัญหาถูกทางหรือไม่ เป็นอีกคำถามหนึ่ง
จัสติน แพทชิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์วิจัยการรังแกทางไซเบอร์ กล่าวว่า โศกนาฏกรรมของรีเบคกาเป็นผลเลวร้ายแบบสุดขั้วจากปัญหานี้ แต่ไม่คิดว่า การบัญญัติให้การรังแกออนไลน์เป็นอาชญากรรมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ คือสิ่งจำเป็น
ปัจจุบัน มีกฎหมายหลายฉบับอยู่แล้วที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับคดีรังแกออนไลน์แบบร้ายแรง และเห็นว่า ข้อหาอาญาที่นายอำเภอแจ้งกับผู้ก่อเหตุก็เหมาะสมในคดีของรีเบคกา แต่หากจะนำกรณีนี้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่น ยังเป็นเรื่องต้องพึงระวัง
รัฐฟลอริดาเป็น 1 ใน 49 รัฐที่มีกฎหมายต่อต้านการรังแก และเป็น 1 ใน 47 รัฐที่บัญญัติให้การรังควานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนหนึ่งในนิยามของการรังแกไซเบอร์ กระนั้น ฟลอริดาเหมือนรัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐที่ให้โรงเรียนมีอำนาจและบทบาทแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าเหตุจะเกิดในรั้วโรงเรียนหรือไม่ ในคาบเรียนหรือไม่ ตราบใดที่กระทบต่อสภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน ถือว่าโรงเรียนมีหน้าที่ต้องจัดการ
(หมายเหตุ:
- มอนตานาเป็นรัฐเดียวที่ยังไม่มีกฎหมายต่อต้านการรังแก อ้างอิง: https://antibullyingsoftware.com/bullying-laws-policies/anti-bullying-laws.html)
กรณีของเด็กหญิงสองคนที่ถูกแจ้งข้อหาสะกดรอยตามเพื่อคุกคามให้ผู้อื่นได้รับอันตราย เป็นข้อหาความผิดแยกออกมาจากการรังแก จึงนอกเหนืออำนาจโรงเรียน
แพทชินกล่าวว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะผลักดันให้เอาผิดพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกทางอาญา เพื่อให้คนที่ต้องรับผิดชอบโดนลงโทษ และเพื่อป้องปรามพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก แต่นักวิจัยด้านนี้เชื่อว่า การใช้บทลงโทษทางกฎหมายมาขู่หรือป้องปรามนั้น ไม่ได้ผลกับวัยรุ่น เพราะพวกเขาไม่กลัว ผลวิจัยหลายชิ้นพบว่า ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ อย่างกับเพื่อน พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู คือสิ่งที่มีอิทธิพลกับวัยรุ่นมากกว่าผลที่ตามมาทางกฎหมาย
กรณีการรังแกออนไลน์ทั่วไป ส่วนมากวัยรุ่นทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความเห็นร้ายๆ โดยอาจไม่ได้ตระหนักว่า สิ่งที่กำลังทำร้ายแรงแค่ไหน ดังนั้น การให้ความรู้ความเข้าใจยังจำเป็นมากกว่าบทลงโทษทางอาญา
แนนซี วิลลาร์ด ผู้อำนวยการองค์กรรณรงค์ "ความศิวิไลซ์ในยุคดิจิตอล" ซึ่งทำงานด้านปราบปรามการรังแกไซเบอร์เช่นกัน เห็นด้วยว่า ในหลายๆ กรณี ผู้ใหญ่คือฝ่ายที่ละเลยเพิกเฉย ทั้งที่รับรู้แล้วว่าปัญหากำลังเกิดขึ้น อย่างกรณีรีเบคกา ขนาดมารดาพาลูกออกจากโรงเรียนเพราะทนถูกข่มเหงไม่ไหว แต่ดูเหมือนโรงเรียนไม่ได้ขยับเข้ามาแก้ไข
แนนซี วิลลาร์ด
(ภาพจาก: http://www.submitthedocumentary.com/aboutacyberbullyingfilm/experts/)
สิ่งหนึ่งที่วิลลาร์ดรู้สึกไม่สบายใจคือ การส่งสารมากเกินไปถึงวัยรุ่นเวลานี้ว่า การรังแกและการรังแกไซเบอร์อาจเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายได้ ข้อความที่อาจยุให้คนฆ่าตัวตายได้จริงๆ อย่าง "เธอน่าจะฆ่าตัวตายนะ" อาจถูกใช้เป็นเทคนิครังแก หรืออาจทำให้วัยรุ่นบางคนคิดว่า การจบชีวิตตนเองอาจเป็นทางที่เหมาะสม
เธอมองว่า การป้องกันการถูกรังแกในหมู่วัยรุ่นยังให้ผู้ใหญ่เป็นศูนย์กลาง ผู้ใหญ่สร้างกฎ คุมนักเรียน และลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎ แต่ในความเป็นจริงคื ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองมิใช่ผู้สร้างกฎของเว็บไซต์ พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมดิจิตอลของวัยรุ่น หากพวกเขาลงโทษเด็ก อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางดิจิตอลอย่างยากจะควบคุม ดังนั้น ผู้ที่ควรมีบทบาทกับปัญหานี้มากที่สุด คือ วัยรุ่นนั่นเอง
สำหรับนายอำเภอจัดด์ที่น่าจะเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่า ก่อนเสียชีวิต รีเบคกาต้องเจอกับอะไรบ้าง อยากฝากถึงผู้เป็นพ่อและแม่ว่า เป็นเรื่องยากที่พ่อแม่จะล่วงรู้ถึงข้อความที่ส่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือและสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอพแชร์รูปภาพ แต่ขอให้ใส่ใจเฝ้าดูลูก เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและผู้ปกครองที่ดีที่สุดในเวลาเดียวกัน นั่นคือสิ่งสำคัญ
"ตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่า มีแค่ก้อนหินและท่อนไม้ที่ทำให้เจ็บตัวได้ แต่ไม่เคยเจ็บเพราะคำพูด แต่เดี๋ยวนี้ คำพูดสร้างความเจ็บปวด เพราะมันถูกเผยแพร่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป"
ถ้ายังมีชีวิตอยู่ รีเบคกาจะได้ฉลองวันเกิดครบ 13 ปีในสุดสัปดาห์นี้
อุไรวรรณ นอร์มา