เมื่อนมแม่เข้าโรงพยาบาล

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ดิฉันได้พาลูกน้อยวัยขวบเศษเข้าโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัด เพราะคุณพ่อน้องมีสิทธิ์เบิกจ่ายตรงที่นั่น
เนื่องจากเราเป็นครอบครัวราชการ

คุณหมอเจาะเลือดตรวจพบว่าน้องเป็นโรคเดงกี่ หรือ ไข้เลือดออก อย่างที่เราๆนิยมเรียกกันนั่นแหล่ะค่ะ
จึงแอดมิทนอน ร.พ. และเนื่องจากไข้เลือดออกเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง สังเกตและติดตามอาการอยู่ตลอด
คุณหมอจึงไม่อนุญาติให้นอนห้องพิเศษตามที่ได้ขอไว้


เมื่อเข้าไปในห้องผู้ป่วย น้องไม่ยอมขึ้นเตียงคนไข้เลย เพราะนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกใน ร.พ. สำหรับเขา
และด้วยอาการป่วยที่ไข้ขึ้นสูงตลอดเวลาจึงเกาะติดอยู่กับแม่ ร้องงอแง และอ้อนขอจุ๊บนมอยู่เรื่อยๆไม่ยอมปล่อย
(ด้วยอาการของโรค จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระหายน้ำตลอดเวลา ดิฉันเองก็เพิ่งมาทราบเอาตอนหลัง)
ดิฉันจึงได้แต่อุ้มลูกไว้แนบอกบนเก้าอี้พลาสติกที่ไม่มีพนักพิงหลัง และให้ลูกกินนมหลับสบายในกอดแม่ได้ตามอัธยาศัย
แต่นานเข้าก็ให้เกิดอาการปวดหลัง จึงร้องขอถามว่ามีเก้าอี้แบบมีพนักพิงไหม ขืนเป็นอย่างนี้ทั้งวันและตลอดไป
ดิฉันคงเดี้ยงก่อนลูกแน่ๆ ("   --)

แรกทีเดียวคุณพยาบาลใจดีก็จัดให้ (เป็นเก้าอี้พนักพิงที่เค้าเอาไว้ให้ญาติผู้ป่วยนอนเฝ้าไข้ในเวลากลางคืนเท่านั้น)
แถมด้วยผ้าม่านกั้น ทำให้ดิฉันรู้สึกดี ที่มีความเป็นส่วนตัวขึ้นมานิดนึง
(เพราะน้องเป็นเด็กผู้ชายที่กินนมแม่อย่างโหด ปากดูดข้างนึงไม่พอ มืออีกข้างต้องบี้ พอแม่เอาผ้าปิดกันอาย ฮีไม่ชอบใจปัดผ้าทิ้งอีกต่างหาก เฮ้อ....)
และแอบดีใจที่ ร.พ. นี้ให้ความสำคัญกับการให้นมแม่จึงอำนวยความสะดวกให้
เราสองคนแม่ลูกจึงได้นอนบนเก้าอี้เอนหลังในผ้าม่านกั้น..........................
(พร้อมกับเริ่มมีเสียงจากคุณพยาบาลบางท่านว่า อยู่ที่บ้านนอนกันแบบนี้เหรอ? ดิฉันไม่ตอบคำถาม เพราะป่วยการไม่รู้จะอธิบายไปทำไมถึงจะเข้าใจ)

แต่ความสุขมักมาเร็วไปเร็ว เค้าว่าไว้
เราสองคนถูกย้ายให้ไปนอนอีกล็อคหนึ่ง ที่มีเด็กเป็นโรคปอดอักเสบ
ไอแค่กๆไม่ปิดปากและพ่นมาทางลูกดิฉันตลอดเวลา (แน่นอนตอนออกจาก ร.พ. น้องได้ของแถมติดมาด้วย)
พร้อมกับโดนยึดเอาเก้าอี้แสนสุขคืน เอาล่ะสิ ทีนี้ ดิฉันจะทำยังไง เราคงดูสุขสบายเกินหน้าเกินตาคนอื่นไปละมัง

ดิฉันกวาดสายตาหาเพื่อนร่วมชะตากรรมนมแม่ทั้งห้องผู้ป่วยรวมจำนวนเกือบสามสิบเตียงนับนิ้วได้แค่ 2 นิ้วเท่านั้น
แต่คุณแม่ท่านนั้นโชคดีลูกเขายอมนอนบนเตียง(สูง)ซึ่งความสูงของคุณแม่ท่านนั้นยืนให้นมได้ในระดับที่พอดี
แต่สำหรับดิฉันในท่าเดียวกันต้องโน้มตัวลงหาลูกเพราะสูงกว่า (น้องมายอมนอนเมื่อผ่านไปซัก 3 วันค่ะ แต่นอนไม่นานเพราะสะดุ้งบ่อยก็ต้องมานอนบนอกแม่แล้วหลับไปเหมือนเดิม)

คุณพยาบาลท่านเดียวกันที่เคยเอาเก้าอี้มาให้ ที่ดิฉันเคยมองว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ
กลับเปลี่ยนคำพูด เอาซะดื้อๆ โดยให้เหตุผลว่า กลัวว่าเดี๋ยวคนอื่นจะเอาเยี่ยงอย่าง (?)
(ดิฉันยืนงง อึ้ง มึน เยี่ยงอัลไร?!??!)
เพราะว่าน้องต้องกินนมแม่แล้วได้เก้าอี้พิเศษหรือ?

ในเมื่อลูกน้อยไม่ยอมนอนบนเตียง
ดิฉันจึงยินดีที่จะแบกน้ำหนักสิบกว่าโลเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มใจ เต็มรัก และพร้อมเสมอทุกสถานการณ์ไม่วาจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
และอดทนกัยเสียงวิพากษ์จากคุณพยาบาลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น
"อยู่ที่บ้านนอนกันยังไง" "อยู่ที่บ้านนอนกันอย่างเนี้ยะเหรอ" "ทำไมให้น้องกินนมตลอดเวลา" "คุณแม่ให้น้องกินนมบ่อยไปหรือเปล่าคะ"
บางครั้งก็มาแหวกม่านขณะที่ดิฉันกำลังให้นมลูกอยู่และเธอก็หันไปพูด(เกือบตะโกน)กับเพื่อนเธอว่า "ยังขลุกอยู่เลย" และบลาๆๆๆ

ความรู้สึกของคนเป็นแม่คนหนึ่งนะคะ เลี้ยงลูกด้วยความทะนุถนอมมาตลอดในระยะเวลาปีกว่า (เลี้ยงคนเดียวไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยช่วย)
ไม่เคยปล่อยปละละเลย มือโบกผ้าสะบัดกันยุงให้แทบตลอดเวลา ดูได้จากผิวพรรณที่เกลี้ยงเกลาแทบไม่มีรอยยุงด่างดำเมื่อเทียบกันเด็กคนอื่นๆในละแวกเดียวกัน แต่ก็ยังพลาดโชคร้ายถูกแจ็คพอตเข้าจนได้จากยุงเพียงตัวเดียว

อยู่มาวันหนึ่งไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อความเจ็บป่วยไปทั่วร่างกายมาเยือน และยังต้องโดนเจาะเลือดไปตรวจแทบทุก 4 ชั่วโมง
(ในช่วงวันที่ 6-7 ของการรักษา และทุกวันวันละครั้งก่อนหน้านั้น) ทั้งที่นิ้วเล็กๆโดนเจาะแทบทุกนิ้ว ทั้งเข็มน้ำเกลือที่มือ สองข้าง บ้างที่ขา(เพราะน้องดิ้นจึงหลุดและเจาะใหม่)

ดิฉันสะเทือนใจ อัดอั้น และสงสารลูกอย่างที่สุด กว่าจะข้ามพ้นคืนวันมันต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่ต้องทนดูสภาพลูก
เป็นคุณจะทำยังไงเมื่อลูกน้อยที่เคยแข็งแรงและร่าเริงสดใสของเรา ที่ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยงอแง ต้องมานอนป่วยด้วยโรคร้าย
จะเป็นหรือจะตายยังไงก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ ทำได้แค่เพียงกอดลูกไว้แนบอกและรักษาแบบประคองอาการไปเท่านั้น
ด้วยอาการไข้ขึ้นสูง 38-40 องศา เป็นเวลา 5-6 วัน น้องมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กทีเคยกินเก่ง กลับกลายเป็นเบื่ออาหาร
นอนสะดุ้ง หวาดผวา ร้องจนเสียงแห้งเมื่อโดนเจาะเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นเด็กงอแง ตกใจและตื่นกลัว.............

คนเป็นแม่อย่างดิฉันคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าไปกว่ากอดลูกไว้แนบอก ใช้อกและน้ำนมอุ่นๆช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของลูกได้เพียงเท่านั้น
ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่น้องยังกินนมแม่ได้ เท่านี้มันก็ตื้นตันปนสะเทือนใจให้สำหรับคนเป็นแม่ได้พอสมควร
ด้วยไม่รู้ว่าลูกที่เรากอดอยู่วันนี้ เวลานี้ วันต่อไปเค้าจะยังอยู่กับเราหรือไม่

นอกจากการรักษาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า การเช็ดตัวและกินยาลดไข้แค่นั้น........
ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันไปขัดเคืองสายตาใครหรือไม่อย่างไร ถึงได้มีคำพูดกดดันดิฉันตลอดเวลาเมื่อมองมาก็จะเห็นลูกน้อยดิฉันร้องงอแงขอกินนมแม่
และนอนอยู่บนอกดิฉันตลอดเวลา จนได้รับฉายาจากหัวหน้าพยาบาลว่าเป็นลูกลิง!

ก่อนวันที่จะได้กลับบ้าน ดิฉันได้มีโอกาสพูดเปิดอกคุยกับพยาบาลท่านหนึ่ง
ดิฉันพูดทั้งน้ำตาด้วยความอัดอั้นตลอดระยะเวลาเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า
"พวกคุณเป็นพยาบาลในแผนกเด็ก คุณแม่ขอถามพวกคุณนิดนึงว่า พวกคุณรู้จักเด็กดีมากน้อยแค่ไหน เด็กเล็กๆมีความอดทนต่ำ พวกคุณเอาเด็กผึกงานมาเจาะเลือดให้เด็ก มันใช้เวลานานกว่าจะเสร็จ คุณเห็นไหมลูกดิฉันจะแย่อยู่แล้ว ดิฉันกลัวว่าแกจะไม่ได้ช็อคเพราะโรคแต่จะช็อคเพราะโดนเจาะเลือดนานๆมากกว่า ทำไมคุณไม่เอาพยาบาลวิชาชีพมาเจาะเลือดให้เด็กซึ่งจะเซฟกับตัวคนไข้มากกว่า อีกอย่างหนึ่งเด็กเค้าไม่รู้ว่าร่างกายเขาเป็นอะไร การที่เขาร้องกินนมแม่อยู่ตลอดเวลานั้นไม่ได้แปลว่าเขาหิวเสมอไป แต่เขากินเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกาย ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวลและความหวาดกลัว จากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น แม่เป็นแม่ แม่ไม่ได้เรียนจบพยาบาลเหมือนพวกคุณแต่แม่ก็เรียนรู้ และศึกษาหาความรู้ในเรื่องจิตยาเด็กและนมแม่มาบ้าง พวกคุณเข้าใจบ้างไหม อย่าปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีความรู้ จะพูดหรือจะทำยังไงกับเราก็ได้ " (จากแม่คนหนึ่งซึ่งเคยเข้มแข็งพูดด้วยน้ำตาร่วงพรู....)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่