สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกคน วันนี้ผมมีบทความจากชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมาให้อ่านครับ เป็นเรื่องราวของขบวนการฉ้อโกงประชาชน ที่ทำการปั่นราคาที่ดินครับ ทุกท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องของเมืองเจริญปุระนคร หรือพระใหญ่ชัยภูมิ ที่สร้างขึ้นตามคำทำนายของ อ.ทิพากร รินไธสงค์ ว่าถ้าหากสร้างแล้วประเทศไทยจะรอดพ้นภัยพิบัติต่าง ๆ แล้ว อ.ทิพากร เป็นใคร ? ดังนั้นผมจะขอลงประวัติของบุคคลผู้นี้เป็นตอนแรกครับ
อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 ณ บ้านหนองหว้าน้อย ต.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เดิมชื่อ นายวรรณลพ รินไธสงค์ ชื่อเล่นเรียกกันโดยทั่วไปว่า อาจารย์เปี๊ยก เป็นบุตรคนแรกของคุณพ่อสรินทร์ และคุณแม่คำตา รินไธสง ชีวิตในช่วงเยาว์วัยของอาจารย์ทิพากร ดำเนินชีวิตตามวิถีของชาวชนบทร่วมกับบรรดาพี่น้องร่วมสายโลหิต 7 คน ที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ เติบโตมาท่ามกลางท้องทุ่งนา จนอายุครบตามเกณฑ์เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และได้ศึกษาต่อ ชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ (กศ.น.) ที่อำเภอพุทไธสงค์ จนจบระดับมัธยมศึกษา ด้วยความมุมานะในการที่จะศึกษาต่อได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ และเมื่อจบจากวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ แล้วเข้าสอบบรรจุเข้ารับราชการครู ที่โรงเรียนในอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการเริ่มต้นรับราชการเป็นครั้งแรก
อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ รับราชการครูประถมศึกษาอยู่ที่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จนถึง พ.ศ. 2526 ได้แต่งงานกับ
คุณบุษราคัม รินไธสงค์ ที่บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ จึงย้ายมารับราชการครูที่โรงเรียนนางแดดเหนือ
อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ต่อมาได้ย้ายมารับราชการที่โรงเรียนปากห้วยเดื่อ และย้ายมาที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา
อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ รับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง ซึ่งเป็นบ้านภรรยาจนถึงปัจจุบัน (บ้านเลขที่ 284 บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ)
ด้วยความมุมานะที่จะทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ภรรยา และบุตร 2 คน คือ นางสาววิลาวัลย์ รินไธสงค์ และ นายอภิภู รินไธสงค์ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข อาจารย์ทิพากร ได้ใช้เวลาหลังจากเสร็จภารกิจจากการสอนหนังสือแต่ละวัน และวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เพื่อประกอบธุรกิจเสริม เช่น เจียรนัยพลอย เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ปลูกกุหลาบขาย
อาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดขาดทุนยับเยิน ผลจากการประกอบธุรกิจเสริมล่มสลายยังไม่พอ กลับมีหนี้สิน ทำให้เงินเดือนไม่พอเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน การดำรงชีวิต ฝืดเคืองชักหน้าไม่ถึงหลัง เกิดความทุกข์จากความขยันอย่างหาที่สุดมิได้ ยังพอโชคดีอยู่บางที่ได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดิน 70-80 ไร่ ปลูกต้นสักทองไว้ จะไปเสนอขายให้ใครก็ไม่มีใครซื้อ บางครั้งคิดว่าจะได้ก็มีอันพลาดไป จากสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทำให้เกิดทุกข์อย่างยิ่ง จนบางครั้งคิดว่าเป็นเรื่องเคราะห์กรรม มีผู้รู้บางท่านให้คำแนะนำให้แก้กรรมโดยการบวช อาจารย์ทิพากรบวชได้ 15 วัน มุ่งมั่นอยู่กับการทำความเพียร พักผ่อนวันละ 4 ชั่วโมง บวชได้ 6-7 วัน ก็ได้ออกธุดงค์กับ ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระครูศรี วัดผาเกิ้ง ได้มองเห็นวิญญาณคนตายวนเวียนให้เห็น แม้ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งลึกลับมาก่อน แต่ในขณะนั้นเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นแล้ว ว่าวิญญาณและสิ่งลึกลับกลับมีจริง เมื่อบวชได้ครบ 15 วันแล้ว จึงได้ลาสิกขาบท ฐานะความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น แต่สภาวะจิตสงบลงไม่วุ่นวาย สภาวะที่รุมเร้าด้วยความดีงามเริ่มปรากฏอยู่ทุกขณะจิต จึงได้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเอง ด้วยการเดินภาวะนาวันละ 36 กิโลเมตร
อาจารย์ทิพากร กลับมาสอนหนังสือเด็กที่ โรงเรียนบ้านห้วยกนทาอีกดังเดิม แต่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอยู่แบบสมถะ สันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร เฝ้าดูแต่อารมณ์ภายในใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อพิจารณาภายนอกทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์ ถูกคนนินทา ถูกมองว่าเสียสติ หนี้ก็ถูกทวงถาม จึงเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง สังเกตอารมณ์ของตนเองทุกขณะจิต
มุ่งปฎิบัติธรรมมาตลอดเวลา 3-4 เดือน มีคนแนะนำให้สวดมนต์ภาวนา ไหว้พระวันละ 18 จบทุกวัน โดยการสวดอิปิติโส และยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก อย่างละ 9 จบ ทุกเช้า-เย็น แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
อาจารย์ทิพากรมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความตายมาตลอดเวลา 3-4 เดือน ได้มีร่างทรง (องค์) มาประทับทรงบอกให้ทราบว่า อาจารย์ทิพากรดวงดีแล้ว ตีนภูเขาน้อยห่างจาก บ้านห้วยกนทา 18 กิโลเมตร มีทองคำอยู่ในภูเขาหนักถึง 10 ตัน ตลอดทั้งของมีค่าต่างๆ อาจารย์ทิพากรไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง แต่ต้องการพิสูจน์จีงได้นำคณะรวมกัน 6 คน เดินไปที่ภูเขาน้อย จิตอยู่กับอารมณ์ ภาวนา พุท-โธ กลางคืนภาวนาไปจนถึงตีหนึ่ง จึงนอนพักผ่อน ช่วงใดไม่มีงานสอนหนังสือจะภาวนาไปจนถึงสว่าง
ด้วยความมุ่งมั่นอาจารย์ทิพากรฝึกฝนอบรมจิตเช่นนี้เป็นประจำทุกวันทุกเย็นหลังจากเลิกโรงเรียน วันจันทร์-วันศุกร์ เดินทางจากบ้านภูเขาน้อย 18 กิโลเมตร บำเพ็ญภาวนาจนถึงตีสาม จึงออกเดินจงกรมลงจากภูเขากลับบ้าน เพื่อสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา เดินทางไปกลับ 36 กิโลเมตร พอถึงวันสาร์ วันอาทิตย์ ก็จะมาอยู่อาศัยภาวนาบนภูเขาน้อยนี้
ทุกอาทิตย์หมู่คณะที่ร่วมเดินทางมาด้วยก็เริ่มร่อยหรอลงทีละคน 2 คน จนต้องอาศัยอยู่ลำพังคนเดียว การภาวนาอยู่ที่ภูเขาน้อยนี้เองทำให้อาจารย์ทิพากรนิมิตรเห็นภาพต่างๆบางคืนนิมิตรเห็นรูปดอกบัวสีทองสวยงามลอยมาปรากฎ บางครั้งก็ปรากฏ
วิญญาณอสูรกายมาแหกอกให้เห็นไส้พุงในร่งกายหลอกหลอนให้หวั่นไหวหวาดกลัว อาจารย์ทิพากรได้แผ่เมตาให้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด บางค่ำคืนก็มองเห็นใญญาณมาดึงศรีษะหลุดออกมาจากคอ บางครั้งก็มองเห็นร่างคนที่เคยรู้จักที่ได้ตายไปแล้ว
เมื่อสามสิบปีก่อน
การปฎิบัติธรรมภาวนาบนภูเขาน้อยแห่งนี้ของอาจารย์ทิพากร เพื่อต้องการพิสูจน์เรื่องราวบางอย่างของร่างทรง (องค์)
ที่บอกว่า บนภูเขาลูกนี้มีทรัพย์สมบัติ แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อาจารย์ทิพากรฝึกฝนอารมณ์จนจิตตั้งมั่นในอารมณ์ สมถกรรมฐานจิตรวมลงเป็นสมาธิได้ปรากฏเห็นเทวดา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองมาก่อนในอดีตของสถานที่แห่งนี้ได้มาบอกว่า ข้างล่างมีสมบัติจะพาขุดให้เห็นนะ จะพาล้างอาถรรพ์เอาสมบัติในเมืองนี้ พลันสิ้นเสียงเทวดาเจ้าเมืองในอดีตแห่งนี้ ทันใดนั้นเองอาจารย์ทิพากร ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนปิดปังไว้ด้วยตาเนื้อ เป็นประตูหิน เป็นแผ่นจารึกจากแม่ธรณีลงไปประมาณ 6 เมตร มองทะลุลงไปก็เห็นทองคำ เพชรนิลจินดา เต็มไปหมด อาจารย์ทิพากรเกิดความสงสัยในจิตไม่ปราถนาที่จะได้ แต่ต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง หรืออุปทาน
คณะเดิมที่เคยร่วมหาสมบัติทราบข่าวก็มาพบอาจารย์ทิพากรที่ภูเขาน้อย โดยอาจารย์ทิพากรเป็นผู้แจ้งบริเวณใช้เวลาขุดลึงลงไป 1 เมตร จะพบแต่ดินเปล่า ลึงลงไปอีกเมตรที่ 2 พบก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อย เมตรที่ 3-5 เป็นหินดินขาวที่ทับถมกันมานาน พอขุดลงไปเมตรที่ 6 ก็ได้พบประตูหินขนาดเว้นผ่าศุนย์กลางกว้าง 2 เมตร อย่างน่าอัศจรรย์จริงมีตราสัญลักษณ์บริเวณรอบหินสัณฐานกลมนั้น คณะขุดทองทั้ง 5 คน ต่างพากันทุบตีกระแทกก้อนหินให้แตกวาดฝันว่าจะนำสมบัติในนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดจะจัดสรรสมบัติเหล่านี้อย่างไร ทุกคนลืมสัญญาต่างปรารถนาถึงประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้า
ส่วนอาจารย์ทิพากรได้มองเห็นก้อนทองคำเคลื่อนห่างออกไป แต่ทันใดนั้นกลุ่มผู้ขุดทองที่กำลังทุบก้อนหินอย่างไม่คิดชีวิต
เกิดอาการปวดหัว ร้องโอดครวญ ทรมานต้องนำส่งสถานีอนามัย ในขณะนั้นจิตของอาจารย์ทิพากรทราบว่า วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะทรงกลดตอนเที่ยง ให้ทำลายอาถรรพ์ตรงนั้น เทวดาเจ้าเมืองแห่งนี้ คือ พ่อขุนถาด ได้บอกพระคาถา 7 ตัว
ให้อาจารย์ทิพากร คือ “นะ โม ตะ โป ยา จา ถะ” วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงวันพระอาทิตย์ทรงกลดให้ปรากฏได้เห็นเด่นชัด
อาจารย์ทิพากรใช้นิ้วชี้ กลาง นาง แนบชิดกันชี้ไปที่ดวงอาทิตย์แล้วชี้ไปยังก้อนหินที่ปิดประตูอยู่นั้น พร้อมตั้งนะโมนำหน้า 3 จบ
แล้วตามด้วยพระคาถา “นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ” ประตูก้อนนั้นค่อยๆเซาะแตกออกอย่าง่ายดาย สามารถมองเห็นอุโมงค์มีบันไดลึกลงไป แต่ไม่ปรากฏเห็นทองคำทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่ในทิพย์จักษุของ อาจารย์ทิพากร ที่มีวิญญาณพ่อขุนถาดครอบงำ ทำให้อาจารย์ทิพากรมองเห็นก้อนทองคำและสมบัติต่างๆ เคลื่อนลงไปอีก 10 เมตร ทำให้อาจารย์ทิพากรทราบว่าคณะผู้ขุดทองไม่มีวันได้ทองคำแน่นอน เพราะคนกลุ่มนี้ผิดสัญญา อาการปวดศรีษะ
ของคณะขุดทองยังไม่หาน อาจารย์ทิพากรจึงใช้คาถาของพ่อขุนถาดนำมารักษา ให้คณะผู้ขุดทองอาการปวดศรีษะก็หายไป
คณะผู้ขุดทองทุกคนยังไม่ละความพยายามต่างมุ่งหน้าขุดทองต่อไป ด้วยการขุดลึกลงไปในอุโมงค์ จนกระทั่ง
เวลา 23.00 นาฬิกา อาจารย์ทิพากรมองเห็นอีกนิมิตหนึ่งเต็มไปด้วยความสวยงามตระการตา สภาพจิตโปร่งเบา สบาย สติสมบูรณ์ทุกขณะจิต มองเห็นองค์อัมรินทร์และ ท่านบอกว่าให้ทราบว่า ตรงนี้มีอาถรรพ์มาก ให้รับพลังลูกแก้ววิเศษนี้ไป พร้อมยื่นพระหัตถ์ส่งลูกแก้วให้อาจารย์ทิพากร แสงแวววาวจากลูกแก้วสีเขียวส่องกระทบเข้ามาปะทะร่างกายอาจารย์ทิพากรจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ต่อมาก็โปร่งเบาสบาย ปัจจุบันยังมีลูกแก้ว หรือ แก้วมณี เป็นของคู่บารมีของอาจารย์ทิพากรจนถึงปัจจุบัน (นี่เป็นเครื่องแสดงว่า ท่านครูทิพากร นี่เป็นคนที่มีบารมีสูงเข้าขั้นหายากแล้วครับ ในโลกยุคปัจจุบันนี้ เพราะว่าเครื่องแก้วมณีพวกนี้ บังเกิดขึ้นจากเส้นทางบุญ มิได้เกิดจากเส้นทางที่เจิอด้วยความ ไม่บริสุทธิ์อื่นๆ จาก โลภ-โทษะ-โมหะ - เจ๊ก)
ความพยายามในการเจริญภาวนาของอาจารย์ทิพากร ดำเนินไปต่อจนกระทั่งอาจารย์ทิพากรเกิดความปิติดีใจสุดๆ จนน้ำตาไหล จิตใจมีแต่ความเบิกบาน นิมิตรเห็นพระวรกายของพระพุทธองค์ปรากฏอยู่ตรงหน้าประมาณ 1 นาที
ภาพนิมิตนั้นจึงเลือนหายไป หลังจากนั้นอาจารย์ทิพากรก็ระลึกชาติเก่าของตนเองได้ 5 ชาติ กระแสจิตของอาจารย์ทราบถึงบุพกรรมความสัมพันธ์ของภูเขาน้อยแห่งนี้ ภาพแห่งอดีตอาจารย์ระลึกได้นั้นพบว่าภูเขาน้อยแห่งนี้เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนในอดีตเมื่อ 4,000 ปี ชื่อเมืองเจริญปุระนคร เจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด มีมเหสี ชื่อ แม่คำสร้อย มีธิดา 2 คน ชื่อ บัวเงิน และบัวทอง
เห็นสภาพบ้านเรือนของเมืองนี้ คนในเมืองนี้ยังไม่ไปผุดไปเกิด อดีตมีทะเลสาบน้ำจืดอยู่ในบริเวณนี้ และมองเห็นภาพของตนเองเป็นมหาดเล็กของเจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด ได้ออกปฎิบัติหน้าที่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ต่อมาได้เกิดศึกสงครามรบกัน
แย่งความเป็นใหญ่ จนบ้านเมืองนี้ล่มสลาย ทรัพย์สมบัติต่างๆถูกฝังไว้ มีฤาษีหลายตนได้มาทำพิธีสาปปิดเมืองไว้ ลงอักขระ
ไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ฝากแม่ธรณีไว้ ผู้ที่จะถอนคำสาป และล้างอาถรรพ์ ได้ก็ต่อเมื่อ
1. ต้องเป็นผู้ที่เคยอยู่เมืองนี้มาก่อน
2. ต้องศรัทธาในคุณงามความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
3. ต้องถือศีลเพศพรหมจรรย์ถึง 4,000 ปี
4. ต้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรมเหนือความตาย คือ ไม่กลัวความตาย
อาจารย์ทิพากรมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในเมืองเจริญปุระนคร และได้ยินเสียงของพ่อขุนถาดบอกเสนาอำมาตย์อีก
40-50 คน ที่อยู่รายรอบให้ “ไปเกิดได้แล้ว เพราะมีผู้ล้างอาถรรพ์ให้แล้ว” อาจารย์ทิพากรหลายคนลังเลสงสัยไม่รู้ว่าไปเกิดคืออะไร อีกไม่นานอาจารย์ทิพากรก็กำหนดจิตกลับเข้าสู่กายตามปกติ เมื่อทราบเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 4,000 ปี ทำให้เข้าใจสัจธรรม ทราบเหตุว่าทำไมชาติปัจจุบันนี้จึงทำมาหากินอะไรไม่ประสบความสำเร็จทำอะไรก็ขาดทุน เป็นหนี้สิน เกิดความทุกข์
ใจสารพัดต้องเบนเข็มชีวิตสู่การปฎิบัติธรรม โดยการกำหนดความตายเป็นสรณะ หากชีวิตประสบสุขสำเร็จในชีวิตทางโลก ก็จะ
ไม่เห็นทุกข์คงจะไม่เบนเข็มชีวิตมาทางสายธรรม
คณะขุดทองยังคงขุดทองคำต่อ แต่อาจารย์ทิพากรอาบน้ำตามปกติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหาคณะขุดทองอย่างสบายใจ คณะขุดทองบางคนสงสัยนึกว่าอาจารย์ทิพากรได้ทองคำแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจารย์ทิพากรยังไม่ได้ทองคำ
และไม่คิดที่จะขุดทองต่อไป
เปิดโปง !! ขบวนการปั่นราคาที่ดิน การสร้างเมืองปุระเจริญนครแห่งใหม่ ตามคำทำนายของ อ.ทิพากร รินไธสงค์ ตอนที่ 1
อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 ณ บ้านหนองหว้าน้อย ต.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เดิมชื่อ นายวรรณลพ รินไธสงค์ ชื่อเล่นเรียกกันโดยทั่วไปว่า อาจารย์เปี๊ยก เป็นบุตรคนแรกของคุณพ่อสรินทร์ และคุณแม่คำตา รินไธสง ชีวิตในช่วงเยาว์วัยของอาจารย์ทิพากร ดำเนินชีวิตตามวิถีของชาวชนบทร่วมกับบรรดาพี่น้องร่วมสายโลหิต 7 คน ที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ เติบโตมาท่ามกลางท้องทุ่งนา จนอายุครบตามเกณฑ์เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และได้ศึกษาต่อ ชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ (กศ.น.) ที่อำเภอพุทไธสงค์ จนจบระดับมัธยมศึกษา ด้วยความมุมานะในการที่จะศึกษาต่อได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ และเมื่อจบจากวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ แล้วเข้าสอบบรรจุเข้ารับราชการครู ที่โรงเรียนในอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการเริ่มต้นรับราชการเป็นครั้งแรก
อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ รับราชการครูประถมศึกษาอยู่ที่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จนถึง พ.ศ. 2526 ได้แต่งงานกับ
คุณบุษราคัม รินไธสงค์ ที่บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ จึงย้ายมารับราชการครูที่โรงเรียนนางแดดเหนือ
อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ต่อมาได้ย้ายมารับราชการที่โรงเรียนปากห้วยเดื่อ และย้ายมาที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา
อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ รับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง ซึ่งเป็นบ้านภรรยาจนถึงปัจจุบัน (บ้านเลขที่ 284 บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ)
ด้วยความมุมานะที่จะทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ภรรยา และบุตร 2 คน คือ นางสาววิลาวัลย์ รินไธสงค์ และ นายอภิภู รินไธสงค์ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข อาจารย์ทิพากร ได้ใช้เวลาหลังจากเสร็จภารกิจจากการสอนหนังสือแต่ละวัน และวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เพื่อประกอบธุรกิจเสริม เช่น เจียรนัยพลอย เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ปลูกกุหลาบขาย
อาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดขาดทุนยับเยิน ผลจากการประกอบธุรกิจเสริมล่มสลายยังไม่พอ กลับมีหนี้สิน ทำให้เงินเดือนไม่พอเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน การดำรงชีวิต ฝืดเคืองชักหน้าไม่ถึงหลัง เกิดความทุกข์จากความขยันอย่างหาที่สุดมิได้ ยังพอโชคดีอยู่บางที่ได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดิน 70-80 ไร่ ปลูกต้นสักทองไว้ จะไปเสนอขายให้ใครก็ไม่มีใครซื้อ บางครั้งคิดว่าจะได้ก็มีอันพลาดไป จากสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทำให้เกิดทุกข์อย่างยิ่ง จนบางครั้งคิดว่าเป็นเรื่องเคราะห์กรรม มีผู้รู้บางท่านให้คำแนะนำให้แก้กรรมโดยการบวช อาจารย์ทิพากรบวชได้ 15 วัน มุ่งมั่นอยู่กับการทำความเพียร พักผ่อนวันละ 4 ชั่วโมง บวชได้ 6-7 วัน ก็ได้ออกธุดงค์กับ ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระครูศรี วัดผาเกิ้ง ได้มองเห็นวิญญาณคนตายวนเวียนให้เห็น แม้ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งลึกลับมาก่อน แต่ในขณะนั้นเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นแล้ว ว่าวิญญาณและสิ่งลึกลับกลับมีจริง เมื่อบวชได้ครบ 15 วันแล้ว จึงได้ลาสิกขาบท ฐานะความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น แต่สภาวะจิตสงบลงไม่วุ่นวาย สภาวะที่รุมเร้าด้วยความดีงามเริ่มปรากฏอยู่ทุกขณะจิต จึงได้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเอง ด้วยการเดินภาวะนาวันละ 36 กิโลเมตร
อาจารย์ทิพากร กลับมาสอนหนังสือเด็กที่ โรงเรียนบ้านห้วยกนทาอีกดังเดิม แต่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอยู่แบบสมถะ สันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร เฝ้าดูแต่อารมณ์ภายในใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อพิจารณาภายนอกทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์ ถูกคนนินทา ถูกมองว่าเสียสติ หนี้ก็ถูกทวงถาม จึงเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง สังเกตอารมณ์ของตนเองทุกขณะจิต
มุ่งปฎิบัติธรรมมาตลอดเวลา 3-4 เดือน มีคนแนะนำให้สวดมนต์ภาวนา ไหว้พระวันละ 18 จบทุกวัน โดยการสวดอิปิติโส และยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก อย่างละ 9 จบ ทุกเช้า-เย็น แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
อาจารย์ทิพากรมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความตายมาตลอดเวลา 3-4 เดือน ได้มีร่างทรง (องค์) มาประทับทรงบอกให้ทราบว่า อาจารย์ทิพากรดวงดีแล้ว ตีนภูเขาน้อยห่างจาก บ้านห้วยกนทา 18 กิโลเมตร มีทองคำอยู่ในภูเขาหนักถึง 10 ตัน ตลอดทั้งของมีค่าต่างๆ อาจารย์ทิพากรไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง แต่ต้องการพิสูจน์จีงได้นำคณะรวมกัน 6 คน เดินไปที่ภูเขาน้อย จิตอยู่กับอารมณ์ ภาวนา พุท-โธ กลางคืนภาวนาไปจนถึงตีหนึ่ง จึงนอนพักผ่อน ช่วงใดไม่มีงานสอนหนังสือจะภาวนาไปจนถึงสว่าง
ด้วยความมุ่งมั่นอาจารย์ทิพากรฝึกฝนอบรมจิตเช่นนี้เป็นประจำทุกวันทุกเย็นหลังจากเลิกโรงเรียน วันจันทร์-วันศุกร์ เดินทางจากบ้านภูเขาน้อย 18 กิโลเมตร บำเพ็ญภาวนาจนถึงตีสาม จึงออกเดินจงกรมลงจากภูเขากลับบ้าน เพื่อสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา เดินทางไปกลับ 36 กิโลเมตร พอถึงวันสาร์ วันอาทิตย์ ก็จะมาอยู่อาศัยภาวนาบนภูเขาน้อยนี้
ทุกอาทิตย์หมู่คณะที่ร่วมเดินทางมาด้วยก็เริ่มร่อยหรอลงทีละคน 2 คน จนต้องอาศัยอยู่ลำพังคนเดียว การภาวนาอยู่ที่ภูเขาน้อยนี้เองทำให้อาจารย์ทิพากรนิมิตรเห็นภาพต่างๆบางคืนนิมิตรเห็นรูปดอกบัวสีทองสวยงามลอยมาปรากฎ บางครั้งก็ปรากฏ
วิญญาณอสูรกายมาแหกอกให้เห็นไส้พุงในร่งกายหลอกหลอนให้หวั่นไหวหวาดกลัว อาจารย์ทิพากรได้แผ่เมตาให้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด บางค่ำคืนก็มองเห็นใญญาณมาดึงศรีษะหลุดออกมาจากคอ บางครั้งก็มองเห็นร่างคนที่เคยรู้จักที่ได้ตายไปแล้ว
เมื่อสามสิบปีก่อน
การปฎิบัติธรรมภาวนาบนภูเขาน้อยแห่งนี้ของอาจารย์ทิพากร เพื่อต้องการพิสูจน์เรื่องราวบางอย่างของร่างทรง (องค์)
ที่บอกว่า บนภูเขาลูกนี้มีทรัพย์สมบัติ แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อาจารย์ทิพากรฝึกฝนอารมณ์จนจิตตั้งมั่นในอารมณ์ สมถกรรมฐานจิตรวมลงเป็นสมาธิได้ปรากฏเห็นเทวดา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองมาก่อนในอดีตของสถานที่แห่งนี้ได้มาบอกว่า ข้างล่างมีสมบัติจะพาขุดให้เห็นนะ จะพาล้างอาถรรพ์เอาสมบัติในเมืองนี้ พลันสิ้นเสียงเทวดาเจ้าเมืองในอดีตแห่งนี้ ทันใดนั้นเองอาจารย์ทิพากร ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนปิดปังไว้ด้วยตาเนื้อ เป็นประตูหิน เป็นแผ่นจารึกจากแม่ธรณีลงไปประมาณ 6 เมตร มองทะลุลงไปก็เห็นทองคำ เพชรนิลจินดา เต็มไปหมด อาจารย์ทิพากรเกิดความสงสัยในจิตไม่ปราถนาที่จะได้ แต่ต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง หรืออุปทาน
คณะเดิมที่เคยร่วมหาสมบัติทราบข่าวก็มาพบอาจารย์ทิพากรที่ภูเขาน้อย โดยอาจารย์ทิพากรเป็นผู้แจ้งบริเวณใช้เวลาขุดลึงลงไป 1 เมตร จะพบแต่ดินเปล่า ลึงลงไปอีกเมตรที่ 2 พบก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อย เมตรที่ 3-5 เป็นหินดินขาวที่ทับถมกันมานาน พอขุดลงไปเมตรที่ 6 ก็ได้พบประตูหินขนาดเว้นผ่าศุนย์กลางกว้าง 2 เมตร อย่างน่าอัศจรรย์จริงมีตราสัญลักษณ์บริเวณรอบหินสัณฐานกลมนั้น คณะขุดทองทั้ง 5 คน ต่างพากันทุบตีกระแทกก้อนหินให้แตกวาดฝันว่าจะนำสมบัติในนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดจะจัดสรรสมบัติเหล่านี้อย่างไร ทุกคนลืมสัญญาต่างปรารถนาถึงประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้า
ส่วนอาจารย์ทิพากรได้มองเห็นก้อนทองคำเคลื่อนห่างออกไป แต่ทันใดนั้นกลุ่มผู้ขุดทองที่กำลังทุบก้อนหินอย่างไม่คิดชีวิต
เกิดอาการปวดหัว ร้องโอดครวญ ทรมานต้องนำส่งสถานีอนามัย ในขณะนั้นจิตของอาจารย์ทิพากรทราบว่า วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะทรงกลดตอนเที่ยง ให้ทำลายอาถรรพ์ตรงนั้น เทวดาเจ้าเมืองแห่งนี้ คือ พ่อขุนถาด ได้บอกพระคาถา 7 ตัว
ให้อาจารย์ทิพากร คือ “นะ โม ตะ โป ยา จา ถะ” วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงวันพระอาทิตย์ทรงกลดให้ปรากฏได้เห็นเด่นชัด
อาจารย์ทิพากรใช้นิ้วชี้ กลาง นาง แนบชิดกันชี้ไปที่ดวงอาทิตย์แล้วชี้ไปยังก้อนหินที่ปิดประตูอยู่นั้น พร้อมตั้งนะโมนำหน้า 3 จบ
แล้วตามด้วยพระคาถา “นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ” ประตูก้อนนั้นค่อยๆเซาะแตกออกอย่าง่ายดาย สามารถมองเห็นอุโมงค์มีบันไดลึกลงไป แต่ไม่ปรากฏเห็นทองคำทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่ในทิพย์จักษุของ อาจารย์ทิพากร ที่มีวิญญาณพ่อขุนถาดครอบงำ ทำให้อาจารย์ทิพากรมองเห็นก้อนทองคำและสมบัติต่างๆ เคลื่อนลงไปอีก 10 เมตร ทำให้อาจารย์ทิพากรทราบว่าคณะผู้ขุดทองไม่มีวันได้ทองคำแน่นอน เพราะคนกลุ่มนี้ผิดสัญญา อาการปวดศรีษะ
ของคณะขุดทองยังไม่หาน อาจารย์ทิพากรจึงใช้คาถาของพ่อขุนถาดนำมารักษา ให้คณะผู้ขุดทองอาการปวดศรีษะก็หายไป
คณะผู้ขุดทองทุกคนยังไม่ละความพยายามต่างมุ่งหน้าขุดทองต่อไป ด้วยการขุดลึกลงไปในอุโมงค์ จนกระทั่ง
เวลา 23.00 นาฬิกา อาจารย์ทิพากรมองเห็นอีกนิมิตหนึ่งเต็มไปด้วยความสวยงามตระการตา สภาพจิตโปร่งเบา สบาย สติสมบูรณ์ทุกขณะจิต มองเห็นองค์อัมรินทร์และ ท่านบอกว่าให้ทราบว่า ตรงนี้มีอาถรรพ์มาก ให้รับพลังลูกแก้ววิเศษนี้ไป พร้อมยื่นพระหัตถ์ส่งลูกแก้วให้อาจารย์ทิพากร แสงแวววาวจากลูกแก้วสีเขียวส่องกระทบเข้ามาปะทะร่างกายอาจารย์ทิพากรจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ต่อมาก็โปร่งเบาสบาย ปัจจุบันยังมีลูกแก้ว หรือ แก้วมณี เป็นของคู่บารมีของอาจารย์ทิพากรจนถึงปัจจุบัน (นี่เป็นเครื่องแสดงว่า ท่านครูทิพากร นี่เป็นคนที่มีบารมีสูงเข้าขั้นหายากแล้วครับ ในโลกยุคปัจจุบันนี้ เพราะว่าเครื่องแก้วมณีพวกนี้ บังเกิดขึ้นจากเส้นทางบุญ มิได้เกิดจากเส้นทางที่เจิอด้วยความ ไม่บริสุทธิ์อื่นๆ จาก โลภ-โทษะ-โมหะ - เจ๊ก)
ความพยายามในการเจริญภาวนาของอาจารย์ทิพากร ดำเนินไปต่อจนกระทั่งอาจารย์ทิพากรเกิดความปิติดีใจสุดๆ จนน้ำตาไหล จิตใจมีแต่ความเบิกบาน นิมิตรเห็นพระวรกายของพระพุทธองค์ปรากฏอยู่ตรงหน้าประมาณ 1 นาที
ภาพนิมิตนั้นจึงเลือนหายไป หลังจากนั้นอาจารย์ทิพากรก็ระลึกชาติเก่าของตนเองได้ 5 ชาติ กระแสจิตของอาจารย์ทราบถึงบุพกรรมความสัมพันธ์ของภูเขาน้อยแห่งนี้ ภาพแห่งอดีตอาจารย์ระลึกได้นั้นพบว่าภูเขาน้อยแห่งนี้เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนในอดีตเมื่อ 4,000 ปี ชื่อเมืองเจริญปุระนคร เจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด มีมเหสี ชื่อ แม่คำสร้อย มีธิดา 2 คน ชื่อ บัวเงิน และบัวทอง
เห็นสภาพบ้านเรือนของเมืองนี้ คนในเมืองนี้ยังไม่ไปผุดไปเกิด อดีตมีทะเลสาบน้ำจืดอยู่ในบริเวณนี้ และมองเห็นภาพของตนเองเป็นมหาดเล็กของเจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด ได้ออกปฎิบัติหน้าที่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ต่อมาได้เกิดศึกสงครามรบกัน
แย่งความเป็นใหญ่ จนบ้านเมืองนี้ล่มสลาย ทรัพย์สมบัติต่างๆถูกฝังไว้ มีฤาษีหลายตนได้มาทำพิธีสาปปิดเมืองไว้ ลงอักขระ
ไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ฝากแม่ธรณีไว้ ผู้ที่จะถอนคำสาป และล้างอาถรรพ์ ได้ก็ต่อเมื่อ
1. ต้องเป็นผู้ที่เคยอยู่เมืองนี้มาก่อน
2. ต้องศรัทธาในคุณงามความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
3. ต้องถือศีลเพศพรหมจรรย์ถึง 4,000 ปี
4. ต้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรมเหนือความตาย คือ ไม่กลัวความตาย
อาจารย์ทิพากรมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในเมืองเจริญปุระนคร และได้ยินเสียงของพ่อขุนถาดบอกเสนาอำมาตย์อีก
40-50 คน ที่อยู่รายรอบให้ “ไปเกิดได้แล้ว เพราะมีผู้ล้างอาถรรพ์ให้แล้ว” อาจารย์ทิพากรหลายคนลังเลสงสัยไม่รู้ว่าไปเกิดคืออะไร อีกไม่นานอาจารย์ทิพากรก็กำหนดจิตกลับเข้าสู่กายตามปกติ เมื่อทราบเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 4,000 ปี ทำให้เข้าใจสัจธรรม ทราบเหตุว่าทำไมชาติปัจจุบันนี้จึงทำมาหากินอะไรไม่ประสบความสำเร็จทำอะไรก็ขาดทุน เป็นหนี้สิน เกิดความทุกข์
ใจสารพัดต้องเบนเข็มชีวิตสู่การปฎิบัติธรรม โดยการกำหนดความตายเป็นสรณะ หากชีวิตประสบสุขสำเร็จในชีวิตทางโลก ก็จะ
ไม่เห็นทุกข์คงจะไม่เบนเข็มชีวิตมาทางสายธรรม
คณะขุดทองยังคงขุดทองคำต่อ แต่อาจารย์ทิพากรอาบน้ำตามปกติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหาคณะขุดทองอย่างสบายใจ คณะขุดทองบางคนสงสัยนึกว่าอาจารย์ทิพากรได้ทองคำแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจารย์ทิพากรยังไม่ได้ทองคำ
และไม่คิดที่จะขุดทองต่อไป