สวัสดีครับ ผมไม่เคยเล่นเวปพันทิปมาก่อน เคยแต่อ่านเรื่องราวของคนอื่น
แต่วันนี้ สิ่งที่ติดค้างในใจ มันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากสมัคร และเล่าเรื่องราวออกไป
.....
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2556 ผมไปนิทรรศการ "บทเรียนในความมืด" ที่จามจุรีสแควร์ รอบบ่ายโมง
หลังจากตั้งแถวเพื่อจะเข้าชม ในรอบนั้นประกอบด้วย ครอบครัวที่มากัน4คน , สองสาวพี่น้อง และ ผม รวมเป็น 7
ซึ่งผมได้ยืนหน้าสุด เป็นผู้นำที่อยู่ติดไกด์
.....
ระหว่างทาง ผมก็จะหันไปคอยถามบ้างครับ ว่าคนที่เดินตามมาเป็นไง มาทันไม๊ บางทีมีเดินมาชนบ้าง เพราะมันมืดจริงๆครับ
มองไม่เห็นเลย เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ทำให้เข้าใจ เห็นใจ ว่าคนตาบอดเขาต้องใช้ชีวิตยังไง
ผมคงไม่ขอรีวิวเนื้อหาข้างในนิทรรศการนะครับ อยากให้ไปเองดู บัตรไม่แพงเลยครับ คุ้มมากๆ ผมเข้า 50บาทเอง
พอจบ ออกมาก็มีทักทายกันบ้าง ผมก็คิดว่าจะขอ facebook ไว้รู้จักกันต่อดีไม๊ แต่ก็ไม่ได้ขอครับ แล้วก็แยกย้ายกลับ
แต่ประเด็นที่ผมต้องออกมาบอกความในใจคือต่อจากนี้ครับ
.....
ระหว่างทางที่กลับบ้าน อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหมือนใจหาย เหมือนทำอะไรหล่นหายไป เหมือนอกหัก มันรู้สึกบอกไม่ถูกจริงๆครับ
T^T
พอได้สติ ผมรู้ว่าผมพลาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป ทำไมผมไม่กล้าที่จะขอทำความรู้จักเธอคนนั้น
มันเป็นความพลาดที่ไม่น่าให้อภัย ผมได้แต่หวัง ว่าเราอาจจะได้เจอกันอีก แต่ข้อมูลระหว่างการนั่งคุยกันในนั้น
มันน้อยมากครับ ผมรู้แค่ว่าเธอจะไปเรียนที่เชียงใหม่ ผมรู้แค่ว่าวันนั้นเธอมากับน้องที่อยู่ ม.1 แต่สูง170
ผมรู้แค่ว่าเธอชื่อชา ผมไม่รู้อะไรอีกเลย ผมอยากจะรู้มากกว่านี้ มันไม่ใช่เรื่องของการจะจีบมาเป็นแฟน
แต่ผมมีความรู้สึกดีๆให้ อยากจะเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นคนที่รู้จักกันมากกว่านี้ แต่ผมไม่กล้า...
.....
ตอนนี้มันติดค้างในใจมากครับ
เพราะทุกครั้ง ที่ผมหลับตา
ผมจะนึกถึงคำที่ผมหันไปถาม
...ชา ...อยู่ไม๊
และเสียงที่ดังติดก้องอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมนั้นก็จะตอบมา
...อยู่นี่ค่าา
..... T_T ผมรู้ว่า คงไร้หนทางที่จะเจอกันอีก แค่อยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียง ที่จะบอกว่า
หากอยากรู้จักใคร รวบรวมความกล้า บอกไปเถอะครับ อย่างน้อย ถ้าได้รับคำปฏิเสธมา
ยังดีกว่าที่มาเสียใจทีหลังแบบนี้ ...ชาครับ ... ชาอยู่ไม๊ครับ ...
เสียงของชา จากความมืด
แต่วันนี้ สิ่งที่ติดค้างในใจ มันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากสมัคร และเล่าเรื่องราวออกไป
.....
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2556 ผมไปนิทรรศการ "บทเรียนในความมืด" ที่จามจุรีสแควร์ รอบบ่ายโมง
หลังจากตั้งแถวเพื่อจะเข้าชม ในรอบนั้นประกอบด้วย ครอบครัวที่มากัน4คน , สองสาวพี่น้อง และ ผม รวมเป็น 7
ซึ่งผมได้ยืนหน้าสุด เป็นผู้นำที่อยู่ติดไกด์
.....
ระหว่างทาง ผมก็จะหันไปคอยถามบ้างครับ ว่าคนที่เดินตามมาเป็นไง มาทันไม๊ บางทีมีเดินมาชนบ้าง เพราะมันมืดจริงๆครับ
มองไม่เห็นเลย เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ทำให้เข้าใจ เห็นใจ ว่าคนตาบอดเขาต้องใช้ชีวิตยังไง
ผมคงไม่ขอรีวิวเนื้อหาข้างในนิทรรศการนะครับ อยากให้ไปเองดู บัตรไม่แพงเลยครับ คุ้มมากๆ ผมเข้า 50บาทเอง
พอจบ ออกมาก็มีทักทายกันบ้าง ผมก็คิดว่าจะขอ facebook ไว้รู้จักกันต่อดีไม๊ แต่ก็ไม่ได้ขอครับ แล้วก็แยกย้ายกลับ
แต่ประเด็นที่ผมต้องออกมาบอกความในใจคือต่อจากนี้ครับ
.....
ระหว่างทางที่กลับบ้าน อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหมือนใจหาย เหมือนทำอะไรหล่นหายไป เหมือนอกหัก มันรู้สึกบอกไม่ถูกจริงๆครับ
T^T
พอได้สติ ผมรู้ว่าผมพลาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป ทำไมผมไม่กล้าที่จะขอทำความรู้จักเธอคนนั้น
มันเป็นความพลาดที่ไม่น่าให้อภัย ผมได้แต่หวัง ว่าเราอาจจะได้เจอกันอีก แต่ข้อมูลระหว่างการนั่งคุยกันในนั้น
มันน้อยมากครับ ผมรู้แค่ว่าเธอจะไปเรียนที่เชียงใหม่ ผมรู้แค่ว่าวันนั้นเธอมากับน้องที่อยู่ ม.1 แต่สูง170
ผมรู้แค่ว่าเธอชื่อชา ผมไม่รู้อะไรอีกเลย ผมอยากจะรู้มากกว่านี้ มันไม่ใช่เรื่องของการจะจีบมาเป็นแฟน
แต่ผมมีความรู้สึกดีๆให้ อยากจะเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นคนที่รู้จักกันมากกว่านี้ แต่ผมไม่กล้า...
.....
ตอนนี้มันติดค้างในใจมากครับ
เพราะทุกครั้ง ที่ผมหลับตา
ผมจะนึกถึงคำที่ผมหันไปถาม
...ชา ...อยู่ไม๊
และเสียงที่ดังติดก้องอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมนั้นก็จะตอบมา
...อยู่นี่ค่าา
..... T_T ผมรู้ว่า คงไร้หนทางที่จะเจอกันอีก แค่อยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียง ที่จะบอกว่า
หากอยากรู้จักใคร รวบรวมความกล้า บอกไปเถอะครับ อย่างน้อย ถ้าได้รับคำปฏิเสธมา
ยังดีกว่าที่มาเสียใจทีหลังแบบนี้ ...ชาครับ ... ชาอยู่ไม๊ครับ ...