สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 36
ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบคุณนะ จะเล่าให้ฟังแล้วกันครับ
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนหลายๆคนได้นะ จะว่าผมอกตัญญู...ก็ไม่รู้เหมือนกัน
บางทีมันอาจจะใช่ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกผิดและรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้อยู่
เริ่มจากคุณแม่ผม เป็นคนที่ติดการพนันอย่างรุนแรง ทุกรูปแบบ ทุกอย่าง จัดหนัก จัดเต็มมากๆ
และพ่อกับแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า
แต่ผมเลือกที่จะอยู่กับแม่ เพราะแม่ค่อนข้างจะตามใจผมมากกว่า -_-
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าแม่เขามีหนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่มารับรู้เรื่องของเขามากขึ้น ก็ตอนที่ผมกำลังจะเรียนจบน่ะแหล่ะ
ผมรู้ว่าเขามีหนี้ประมาณ 5 แสน ผมรู้ว่าเขาไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ผมไม่ค่อยจะกลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเจอหน้าเขา เจอกันสักครึ่งปีครั้งได้มั้ง
(เลวร้ายไหมครับ - -)
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมจะเห็นแม่ซูบลง หน้าตามีริ้วรอยมากขึ้น และผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาๆ
เราคุยกันไม่กี่คำ บางทีเราก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน บางครั้งผมก็ชวนแม่ออกไปเดินเล่นข้างนอก เพราะเห็นเขาเครียด
ก็กะว่าไปเดินสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน ให้สบายใจ ให้ผ่อนคลายบ้าง แต่เขาก็ไม่ค่อยออกไปกับผมหรอก
เขามักจะบอกว่า ไม่มีเงิน แล้วก็นอนอยู่บนเปลดูทีวีต่อไป
อ้อ ลืมบอกว่าที่บ้านผมเป็นร้านขายเสื้อผ้าครับ...นอกจากรายได้จากการพนัน ก็มีส่วนนี้แหล่ะเข้ามาช่วยนิดนึง
มีช่วงหนึ่งที่ผมเริ่มทำงาน แม่ผมถามว่า ผมสามารถกู้เงินได้ไหม สัก 5 แสน แล้วแม่จะทยอยจ่ายคืนให้ เดือนละเท่าไรๆก็ว่ากันไป
ผมทำไงรู้ไหม...?
ผมปฏิเสธแม่ และถามเขาว่า...
ถ้าผมกู้เงินให้แม่ 5 แสน เพื่อให้แม่ไปใช้หนี้ ผมจะทราบได้อย่างไรว่าในอนาคต แม่จะไม่กลับไปวงพนันอีก แม่จะไม่ทำแบบเดิมอีก?
ที่ผมพูดแบบนั้น เพราะพ่อผมเคยให้เงินแม่เพื่อไปใช้หนี้ แม่บอกกับพ่อว่า ถ้าหนี้หมด แม่จะเลิกเล่นการพนัน
แต่สุดท้าย ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม... (อันนี้พ่อผมมาเล่าให้ฟังช่วงที่ผมเริ่มทราบข่าวเรื่องหนี้ของแม่)
แม่ก็เงียบครับ ส่วนผมก็ทำงานของผมต่อไป กลับบ้านสักสองสามเดือนครั้ง เพื่อไปดูเขาบ้าง
มีวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังทำงาน แม่ผมโทรมาหา ร้องไห้ บอกว่าไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ไหว...ผมตกใจมาก ผมรีบกลับบ้านในเย็นวันนั้นเพื่อไปหาเขา
พอผมไปถึง ก็พบกับแม่ ที่ดูซูบลงกว่าเดิม เยอะมาก...มากๆ ผมนั่งข้างๆ เฝ้าแม่ที่นอนซมอยู่บนเตียง
สิ่งที่ผมเห็น คือแววตาของคนที่นับวันรอความตาย...มันดูเทาๆ มืดมัว ไม่เหมือนแววตาของคนทั่วไปเลยสักนิดเดียว
มือที่ผมจับ เป็นมือหยาบๆกร้านๆ ของคนที่ทำงานหนัก ผมก็ไม่แน่ใจนัก ว่ามันจะมีแรงทำงานต่อไปแค่ไหน..
แม่เอาแต่พูดว่า "แม่โง่เอง ที่ทำแบบนี้ ที่เลือกเดินทางนี้"
ผมก็ได้แต่กลั้นน้ำตาไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป...เพราะก่อนหน้านี้ ผมบอกเขาแล้ว เตือนเขาแล้ว ให้ทำแต่อาชีพสุจริต
ผมบอกเขาว่าการพนันนำมาแต่ความหายนะทั้งนั้น
ผมขอให้เขาเลิก แต่เขาก็ตอบผมกลับแค่ว่า "เลิกทำ แล้วจะเอาอะไรกิน"
อืม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมนอนค้างอยู่บ้านวันนึง และเมื่อผมเห็นเขาดีขึ้น ผมจึงกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพ
ผ่านมาได้สักระยะหนึ่ง อยู่ๆแม่ก็โทรมาหาผม
บอกกับผมว่า แม่จะนำบ้าน (ซึ่งเป็นบ้านที่พ่อให้ผมตอนเด็กๆ แต่ยังเป็นชื่อแม่ เป็นคนละที่อยู่กับที่อยู่ปัจจุบันนะครับ) ไปขาย เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้...
คำถามแรกของผมคือ...บ้านนี้ ถ้าขายแล้ว สามารถโปะหนี้ได้หมดไหม?
คำตอบคือ..."ไม่"
ผมจึงแนะนำว่าอย่าขาย ให้ปล่อยเช่าต่อ แล้วเอาเงินทุนส่วนนั้นมาหมุนเวียนธุรกิจไปก่อน
ไว้รอให้ราคามันขึ้นมาอีกสักหน่อยค่อยขายก็ยังได้เลย (บ้านอยู่ในพื้นที่ที่กำลังเจริญ ถนนเพิ่งตัดผ่านใหม่)
เขาบอกผมว่า เขาแค่มาบอกว่าจะขาย เขาไม่ได้กำลังขอบ้านนี้จากผม...
สุดท้ายผมเลยบอกเขาว่า โอเค ถ้าขายแล้วสบายใจ ก็ขายไปเถอะ
จริงๆในใจผมก็แอบเคืองนะ ผมก็ไม่ได้หวงสมบัติหรืออะไร แต่ผมคิดว่ามันน่าจะคุ้มกว่านี้
หากเราปล่อยให้ราคามันขึ้นไปจนสามารถโปะหนี้ทั้งหมดได้ทีเดียว หรือเพิ่มเติมเงินจากส่วนอื่นๆได้มากพอที่จะปิดยอดหนี้ไปทีเดียว
โดยที่เราสามารถจ่ายดอกเบี้ย จากค่าเช่าบ้าน และส่วนอื่นๆได้
ตอนนั้นผมคิดแค่นี้จริงๆ...
และเมื่อจบจากบทสนทนาบนโทรศัพท์นี้ ผมกับแม่ก็ไม่ได้คุยกันประมาณสองอาทิตย์...
ผมจำได้เลย เช้าวันเสาร์ ผมมีสอนพิเศษ กำลังนอนงัวเงียอยู่บนเตียง มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
ปลายสายเป็นน้าของผม ที่มักจะมาช่วยแม่ทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์..
น้ำเสียงของน้าดูแปลกๆ และดูตกใจมาก ผมจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
น้าบอกกับผมว่า...
แม่ของผม เสียชีวิตแล้ว
เขาผูกคอตายบนบ้าน น่าจะเสียตั้งแต่ช่วงกลางคืน
ผมช็อกเลยครับ
วินาทีนั้น ผมตัวชาไปหมด ไม่รู้สึกอะไรเลย สมองผมว่างเปล่า
ผมถามน้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น..และก็ได้รับคำตอบเดิม พร้อมกับเสียงสะอื้นของน้า
น้าบอกกับผมว่าให้รีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ให้การกับตำรวจ เพื่อการจัดการเรื่องของศพ ฯลฯ
เมื่อผมกลับไปถึงบ้าน ผมไม่เห็นศพของแม่แล้ว เขาขนศพไปไว้ที่โรงพยาบาลเรียบร้อย...
วันที่ผมไปรับศพแม่..พอเห็นหน้าเขา ผมก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเสียใจมากที่เรื่องต้องจบแบบนี้..
ทั้งชีวิตผมเกิดมา ยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนเขาเท่าไรเลย
ตอนเด็กๆเขามักจะถามผมเสมอว่า เมื่อผมโต ผมจะเลี้ยงดูเขาไหม
และทุกครั้ง ผมจะตอบเขาว่า แน่นอน! ผมจะเลี้ยงดูเขา
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่...ผมปล่อยแม่ของผมไว้ที่บ้าน ส่วนตัวผมก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ มาเยี่ยมเขานานๆครั้ง
ถึงจะให้เงินเขา แต่มันก็แทบจะไม่ช่วยปลดหนี้ให้เขาได้เลย
และแทนที่ผมจะอยู่หอ แล้วกู้เงินให้เขาเพื่อเอาไปปลดหนี้ ผมซื้อคอนโดแทน... เป็นไงครับ แบบนี้อกตัญญูไหม
เขาเคยขอว่าอยากจะมาอยู่กับผมที่คอนโด
ผมก็ให้เขามา แต่ผมบอกเขาแค่ว่า ตอนนี้ฐานะเงินเดือนผมอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงคนสองคนพร้อมกัน
เขาอาจจะต้องทำงานเพิ่ม และคงต้องหาจ๊อบเล็กๆทำ
เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เรื่องนี้ก็เงียบไป...
จนสุดท้าย บทสรุปก็เป็นอย่างที่เห็น...ผมก็ยังคงรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
มันอาจจะดูแปลกๆ เพราะจริงๆรายละเอียดมันเยอะมาก ผมอาจจะเล่าได้ไม่หมด
แต่นี่ก็เป็นส่วนสาระสำคัญที่อาจจะพอให้คนหลายๆคนตระหนักว่า
อะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆสำหรับคำว่า "ครอบครัว"
และหากไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จะมีเราในวันนี้ได้หรือเปล่า?
ผมเกิดและโตมาโดยที่พ่อแม่แยกทางกัน ผมไม่ได้รับความอบอุ่นจากทั้งสองฝ่าย
ผมใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่จบม.ปลาย แต่พ่อกับแม่ยังให้เงินผมในการเรียนช่วงมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ไม่ได้มากมายสำหรับหลายๆคน
จนปัจจุบัน ผมก็ยังอยู่ตัวคนเดียว... (พ่อผมก็สไตล์นี้เหมือนกัน แต่เขาละทางโลกแล้วครับ)
ก็ลองกลับไปคิดดูแล้วกันครับ
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนหลายๆคนได้นะ จะว่าผมอกตัญญู...ก็ไม่รู้เหมือนกัน
บางทีมันอาจจะใช่ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกผิดและรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้อยู่
เริ่มจากคุณแม่ผม เป็นคนที่ติดการพนันอย่างรุนแรง ทุกรูปแบบ ทุกอย่าง จัดหนัก จัดเต็มมากๆ
และพ่อกับแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า
แต่ผมเลือกที่จะอยู่กับแม่ เพราะแม่ค่อนข้างจะตามใจผมมากกว่า -_-
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าแม่เขามีหนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่มารับรู้เรื่องของเขามากขึ้น ก็ตอนที่ผมกำลังจะเรียนจบน่ะแหล่ะ
ผมรู้ว่าเขามีหนี้ประมาณ 5 แสน ผมรู้ว่าเขาไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ผมไม่ค่อยจะกลับบ้าน ไม่ค่อยได้ไปเจอหน้าเขา เจอกันสักครึ่งปีครั้งได้มั้ง
(เลวร้ายไหมครับ - -)
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมจะเห็นแม่ซูบลง หน้าตามีริ้วรอยมากขึ้น และผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาๆ
เราคุยกันไม่กี่คำ บางทีเราก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน บางครั้งผมก็ชวนแม่ออกไปเดินเล่นข้างนอก เพราะเห็นเขาเครียด
ก็กะว่าไปเดินสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน ให้สบายใจ ให้ผ่อนคลายบ้าง แต่เขาก็ไม่ค่อยออกไปกับผมหรอก
เขามักจะบอกว่า ไม่มีเงิน แล้วก็นอนอยู่บนเปลดูทีวีต่อไป
อ้อ ลืมบอกว่าที่บ้านผมเป็นร้านขายเสื้อผ้าครับ...นอกจากรายได้จากการพนัน ก็มีส่วนนี้แหล่ะเข้ามาช่วยนิดนึง
มีช่วงหนึ่งที่ผมเริ่มทำงาน แม่ผมถามว่า ผมสามารถกู้เงินได้ไหม สัก 5 แสน แล้วแม่จะทยอยจ่ายคืนให้ เดือนละเท่าไรๆก็ว่ากันไป
ผมทำไงรู้ไหม...?
ผมปฏิเสธแม่ และถามเขาว่า...
ถ้าผมกู้เงินให้แม่ 5 แสน เพื่อให้แม่ไปใช้หนี้ ผมจะทราบได้อย่างไรว่าในอนาคต แม่จะไม่กลับไปวงพนันอีก แม่จะไม่ทำแบบเดิมอีก?
ที่ผมพูดแบบนั้น เพราะพ่อผมเคยให้เงินแม่เพื่อไปใช้หนี้ แม่บอกกับพ่อว่า ถ้าหนี้หมด แม่จะเลิกเล่นการพนัน
แต่สุดท้าย ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม... (อันนี้พ่อผมมาเล่าให้ฟังช่วงที่ผมเริ่มทราบข่าวเรื่องหนี้ของแม่)
แม่ก็เงียบครับ ส่วนผมก็ทำงานของผมต่อไป กลับบ้านสักสองสามเดือนครั้ง เพื่อไปดูเขาบ้าง
มีวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังทำงาน แม่ผมโทรมาหา ร้องไห้ บอกว่าไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ไหว...ผมตกใจมาก ผมรีบกลับบ้านในเย็นวันนั้นเพื่อไปหาเขา
พอผมไปถึง ก็พบกับแม่ ที่ดูซูบลงกว่าเดิม เยอะมาก...มากๆ ผมนั่งข้างๆ เฝ้าแม่ที่นอนซมอยู่บนเตียง
สิ่งที่ผมเห็น คือแววตาของคนที่นับวันรอความตาย...มันดูเทาๆ มืดมัว ไม่เหมือนแววตาของคนทั่วไปเลยสักนิดเดียว
มือที่ผมจับ เป็นมือหยาบๆกร้านๆ ของคนที่ทำงานหนัก ผมก็ไม่แน่ใจนัก ว่ามันจะมีแรงทำงานต่อไปแค่ไหน..
แม่เอาแต่พูดว่า "แม่โง่เอง ที่ทำแบบนี้ ที่เลือกเดินทางนี้"
ผมก็ได้แต่กลั้นน้ำตาไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป...เพราะก่อนหน้านี้ ผมบอกเขาแล้ว เตือนเขาแล้ว ให้ทำแต่อาชีพสุจริต
ผมบอกเขาว่าการพนันนำมาแต่ความหายนะทั้งนั้น
ผมขอให้เขาเลิก แต่เขาก็ตอบผมกลับแค่ว่า "เลิกทำ แล้วจะเอาอะไรกิน"
อืม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมนอนค้างอยู่บ้านวันนึง และเมื่อผมเห็นเขาดีขึ้น ผมจึงกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพ
ผ่านมาได้สักระยะหนึ่ง อยู่ๆแม่ก็โทรมาหาผม
บอกกับผมว่า แม่จะนำบ้าน (ซึ่งเป็นบ้านที่พ่อให้ผมตอนเด็กๆ แต่ยังเป็นชื่อแม่ เป็นคนละที่อยู่กับที่อยู่ปัจจุบันนะครับ) ไปขาย เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้...
คำถามแรกของผมคือ...บ้านนี้ ถ้าขายแล้ว สามารถโปะหนี้ได้หมดไหม?
คำตอบคือ..."ไม่"
ผมจึงแนะนำว่าอย่าขาย ให้ปล่อยเช่าต่อ แล้วเอาเงินทุนส่วนนั้นมาหมุนเวียนธุรกิจไปก่อน
ไว้รอให้ราคามันขึ้นมาอีกสักหน่อยค่อยขายก็ยังได้เลย (บ้านอยู่ในพื้นที่ที่กำลังเจริญ ถนนเพิ่งตัดผ่านใหม่)
เขาบอกผมว่า เขาแค่มาบอกว่าจะขาย เขาไม่ได้กำลังขอบ้านนี้จากผม...
สุดท้ายผมเลยบอกเขาว่า โอเค ถ้าขายแล้วสบายใจ ก็ขายไปเถอะ
จริงๆในใจผมก็แอบเคืองนะ ผมก็ไม่ได้หวงสมบัติหรืออะไร แต่ผมคิดว่ามันน่าจะคุ้มกว่านี้
หากเราปล่อยให้ราคามันขึ้นไปจนสามารถโปะหนี้ทั้งหมดได้ทีเดียว หรือเพิ่มเติมเงินจากส่วนอื่นๆได้มากพอที่จะปิดยอดหนี้ไปทีเดียว
โดยที่เราสามารถจ่ายดอกเบี้ย จากค่าเช่าบ้าน และส่วนอื่นๆได้
ตอนนั้นผมคิดแค่นี้จริงๆ...
และเมื่อจบจากบทสนทนาบนโทรศัพท์นี้ ผมกับแม่ก็ไม่ได้คุยกันประมาณสองอาทิตย์...
ผมจำได้เลย เช้าวันเสาร์ ผมมีสอนพิเศษ กำลังนอนงัวเงียอยู่บนเตียง มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
ปลายสายเป็นน้าของผม ที่มักจะมาช่วยแม่ทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์..
น้ำเสียงของน้าดูแปลกๆ และดูตกใจมาก ผมจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
น้าบอกกับผมว่า...
แม่ของผม เสียชีวิตแล้ว
เขาผูกคอตายบนบ้าน น่าจะเสียตั้งแต่ช่วงกลางคืน
ผมช็อกเลยครับ
วินาทีนั้น ผมตัวชาไปหมด ไม่รู้สึกอะไรเลย สมองผมว่างเปล่า
ผมถามน้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น..และก็ได้รับคำตอบเดิม พร้อมกับเสียงสะอื้นของน้า
น้าบอกกับผมว่าให้รีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ให้การกับตำรวจ เพื่อการจัดการเรื่องของศพ ฯลฯ
เมื่อผมกลับไปถึงบ้าน ผมไม่เห็นศพของแม่แล้ว เขาขนศพไปไว้ที่โรงพยาบาลเรียบร้อย...
วันที่ผมไปรับศพแม่..พอเห็นหน้าเขา ผมก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเสียใจมากที่เรื่องต้องจบแบบนี้..
ทั้งชีวิตผมเกิดมา ยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนเขาเท่าไรเลย
ตอนเด็กๆเขามักจะถามผมเสมอว่า เมื่อผมโต ผมจะเลี้ยงดูเขาไหม
และทุกครั้ง ผมจะตอบเขาว่า แน่นอน! ผมจะเลี้ยงดูเขา
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่...ผมปล่อยแม่ของผมไว้ที่บ้าน ส่วนตัวผมก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ มาเยี่ยมเขานานๆครั้ง
ถึงจะให้เงินเขา แต่มันก็แทบจะไม่ช่วยปลดหนี้ให้เขาได้เลย
และแทนที่ผมจะอยู่หอ แล้วกู้เงินให้เขาเพื่อเอาไปปลดหนี้ ผมซื้อคอนโดแทน... เป็นไงครับ แบบนี้อกตัญญูไหม
เขาเคยขอว่าอยากจะมาอยู่กับผมที่คอนโด
ผมก็ให้เขามา แต่ผมบอกเขาแค่ว่า ตอนนี้ฐานะเงินเดือนผมอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงคนสองคนพร้อมกัน
เขาอาจจะต้องทำงานเพิ่ม และคงต้องหาจ๊อบเล็กๆทำ
เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เรื่องนี้ก็เงียบไป...
จนสุดท้าย บทสรุปก็เป็นอย่างที่เห็น...ผมก็ยังคงรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
มันอาจจะดูแปลกๆ เพราะจริงๆรายละเอียดมันเยอะมาก ผมอาจจะเล่าได้ไม่หมด
แต่นี่ก็เป็นส่วนสาระสำคัญที่อาจจะพอให้คนหลายๆคนตระหนักว่า
อะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆสำหรับคำว่า "ครอบครัว"
และหากไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จะมีเราในวันนี้ได้หรือเปล่า?
ผมเกิดและโตมาโดยที่พ่อแม่แยกทางกัน ผมไม่ได้รับความอบอุ่นจากทั้งสองฝ่าย
ผมใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่จบม.ปลาย แต่พ่อกับแม่ยังให้เงินผมในการเรียนช่วงมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ไม่ได้มากมายสำหรับหลายๆคน
จนปัจจุบัน ผมก็ยังอยู่ตัวคนเดียว... (พ่อผมก็สไตล์นี้เหมือนกัน แต่เขาละทางโลกแล้วครับ)
ก็ลองกลับไปคิดดูแล้วกันครับ
แสดงความคิดเห็น
แม่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวขอมาอยู่ด้วยแต่...ไม่อยากให้มา แบบนี้เรียกว่าอกตัญญูใช่ไหมคะ?
แต่ทำไมกลับมีหนี้สินมากมาย ก่อนหน้าถามก็ไม่ยอมบอกทำไมหนี้เยอะนัก กลับบ้านทีเพื่อนบ้านจะมาทวงหนี้ที่เราตลอด เพื่อนบ้านนำโพยหวยหุ้นมาโชว์ยาวเป็นหางว่าว แม่บอกเล่นหวยหุ้นทุกวันๆละ 3 เวลา ยังไม่รวมหวยใต้ดิน บนดินในแต่ละเดือน เราไม่เคยรู้ว่าหวยหุ้นเล่นยังไงหน้าตามันเป็นยังไง รู้จักแต่เล่นหุ้น
แม่บอกเล่นไม่มากแค่สนุกๆ พอมากเข้าไม่มีเงินจ่ายทบต้น+ดอก เจ้าหนี้ก็มายึดที่นา เดือดร้อนเราไปไถ่ถอนทั้ง 2 ครั้ง 250,000บาท
พร้อมทั้งกำชับว่าถ้ามีครั้งที่ 3 จะไม่ยุ่งอีกแล้ว แต่ล่าสุดมีหนี้ทั้งนอกระบบในระบบ รวม 300,000 กว่าบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย เราทั้งโกรธทั้งเสียใจกว่าจะหาเงินมาได้มันยากแค่ไหน รายจ่ายอื่นๆอีกมากมาย บอกกับแม่ว่าเรามีรายจ่ายต้องผ่อนบ้านหลายล้าน มีหนี้สินให้นอนกอดอีกหลายล้าน คิดว่าสิ่งที่บอกไปแม่จะเห็นใจเรา แต่ไม่เลย..ทุกอย่างว่างเปล่า มีแต่สร้างปัญหาให้ไม่เคยหยุดหย่อน พอเราต่อว่าและบ่น แม่ก็ประชด โดยการกินยาฆ่าแมลงเพื่อหวังจะฆ่าตัวตาย เดือนร้อนเราต้องส่งเงินให้ค่าเหมารถไปโรงพยาบาลล้างท้อง...
และเรารู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้แม่ต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่..เราก็เหนื่อยและท้อแท้ใจมากเลย ที่ทุกครั้งได้รับรู้หนี้สิน ที่แม่สร้างไม่หยุด แม่บอกที่เป็นหนี้สิน ก็เพราะทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่เราไม่เคยเห็นแม่จะสร้างอะไรให้ลูกเลย ที่เห็นคือ มีแต่การสร้างหนี้ให้ลูกเห็นอย่างเดียว มีพี่น้อง3 คน เราเป็นคนโต ลูกคนละพ่อ เพราะฉะนั้น ความรัก+ความอบอุ่นจากอ้อมกอดแม่เป็นอย่างไร ไม่ต้องถามถึง ไม่เคยรู้ว่ากอด+สัมผัสในอ้อมกอดแม่มันเป็นยังไงนะ ตั้งแต่จำความได้ก็มีแค่ยาย ตลอดเวลา 4ปี ที่ได้อยู่กับแม่ไม่เคยมีความสุขเลย พอจบ ป.6 ก็เข้ากรุงเทพ หางานทำส่งเสียตัวเองเรียน ไม่เคยขอเงินจากแม่เลยแม้แต่สลึงเดียว ต้องแบ่งเงินให้เพียงพอในแต่ละเดือน ค่าเทอม+ค่าเรียน+ค่าเช่า+ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายอีกจิปาถะ ชีวิตเมืองหลวงมันแสนวุ่นวาย บอกกับตัวเองทุกวัน ว่าเราต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่รอด ยังคิดว่าถ้าตายขึ้นมาจะยังพอมีใครให้คิดถึง หรือจะยังมีใครร้องไห้เสียใจบ้างไหมนะ ..เมื่อก่อนไม่มีเรา ทำไมพวกเขาอยู่ได้ ไม่ติดต่อทางบ้าน10กว่าปี พวกเขายังอยู่ได้ แต่ทำไมพอเราตั้งหลักได้ พวกเขากลับสร้างแต่หนี้ให้เรารับใช้คนเดียว..บางทีอยากหนีปัญหา อยากตายๆ ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว เหนื่อยและท้อ ทำไมเราไมมีแม่แบบคนอื่นเค้านะ เป็นแม่ที่มีแต่ให้ ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน... และตอนนี้แม่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว 10 กว่าปีแล้ว ต้องให้คีโมตลอด ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็แพงกว่าใน กทม ทุกครั้งตั้งเหมารถไปในตัวจังหวัด แต่แม่ก็ไม่เคยปฎิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ไม่ยอมกินยา กลับไปรักษาเชื่อเรื่องคุณไสยศาสตร์ แพงกว่าค่ารักษาแผนปัจจุบัน แม่ดื้อมาก จนเราท้อ พอพูดไปก็ทะเลาะกันตลอด ตอนนี้แม่ขอมาอยู่ด้วย แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ก็จะทะเลาะกันทุกครั้ง เรื่องไม่เป็นเรื่อง บางทีเล่นหุ้นอยู่หน้าคอม หน้าดำคร่ำเครียด ทุกคนในที่นี้คงทราบว่าเวลากำลังเดย์เทรด มันต้องใช้สมาธิแค่ไหน แต่พอเราเผลอบ่นว่าขายตัดขาดทุน แม่จะพูดว่า "สมน้ำหน้าให้มันเจ๊งแหละดี " ฟังแล้วได้แต่ สะอึก พูดไม่ออก โกรธ+เสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ แม่ไม่เคยให้พรเราเลย เวลาเราให้เงินพี่ป้าน้าอา ทำไมพวกเค้าให้พรเราเยอะจัง แต่ทำไมกับแม่เรา...ทำไม ทำไม.....
ไม่อยากให้รับรู้อะไร อยากปิดโทรศัพท์หนี ถ้าแม่มาอยู่แล้วคงจะพูดเรื่องไปติดหนี้คนนั้นคนนี้ให้ฟังอีก ตอนนี้หนี้ที่เป็นอยู่เฉพาะของตัวเองก็เยอะพอแล้ว น้องๆก็ไม่สนใจแม่เลย ทุกคนเดือดร้อนก็มุ่งมาที่เราคนเดียว เวลาเราเดือดร้อนไมมีใครช่วยเราได้สักคน..แม้แต่ทางใจ ยังหาคนช่วยปลอยใจไม่ได้เลย น้องชายบอกแม่อยากมาอยู่ด้วย แต่เรากลับบอกไปว่า ไม่ต้องมา เราผิดไหมนะ ที่บอกไปแบบนั้น จะมีใครรู้บ้างไหมว่า เราทุกข์ใจแค่ไหน ที่แม่มาแต่ละทีชอบเปรียบเทียบลูกบ้านนั้นรวยอย่างนั้นอย่างนี้ แม่ชอบพูดให้เราไม่สบายใจ และเราก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกัน จบลงด้วยการประท้วงอีกตามเคย แม่จะไปยืนร้องไห้ประท้วงหน้าบ้าน คนเดินผ่านไปมาเห็น เราก็อาย แม่บอกต้องการทำให้เราอาย คนอื่นจะได้รู้ว่าเราเลี้ยงแม่ไม่ดี ปล่อยให้แม่ต้องร้องไห้ ทำไมแม่ถึงทำกับเราแบบนี้ ไม่เข้าใจเลย เวรกรรมอะไรของเรานะ เราก็อยากรวย อยากเป็นอย่างที่แม่หวังและต้องการ แต่ในเมื่อเลือกเกิดรวยไม่ได้ เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ทำได้แค่นี้ ตอนนี้ไม่สบายใจ ไหนจะหนี้ของแม่และหนี้ของตัวเอง รับใช้อยู่คนเดียว มันเหนื่อยเหลือเกิน และเราผิดไหมที่ตอบไปว่า แม่ไม่ต้องมาอยู่กับเราหรอก แบบนี้เรียกลูกอกตัญญูใช่ไหมคะ ใครช่วยตอบเราได้บ้าง เราควรจะทำยังไง สับสนมากๆเลย