ผมไม่แน่ใจว่า สภาวะ "น้ำลายไหลยืด" และ "คลุ้มคลั่ง" กล่าวร้าย ใส่ความ
รวมไปถึง "กล่าวตู่" ผู้อื่นแบบไม่ยั้ง นี้เป็นอาการของ "คนบ้า" หรือไม่ ?
เอาเป็นว่า จะพยายาม "ตอบคำถาม" เพื่อช่วยคลี่คลาย "อาการ" เท่าที่พอจะช่วยได้ ก็แล้วกัน นะครับ
ประการแรก ที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน ก็คือ อย่าพยายาม สร้างประเด็น หรือ ตั้งคำถาม แบบถี่ยิบ
เพราะถ้ามันมาก หรือ "เฟ้อ" เกินไป จนเหมือนการฝลัดกระทู้ ผมอาจไม่ใส่ใจ ข้อความเหล่านั้น เลยก็ได้ นะครับ
ประการที่ ๒ ลำพัง ความเฟ้อ ก็น่าเบื่อพอแรงอยู่แล้ว แต่ความถูกต้องของข้อความ กลับเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรม การคิดเองเออเอง ฟุ้งซ่านไปเอง แล้วเที่ยวไป "ยัด" ใส่ปากผู้อื่น อย่างนี้ถือว่า "สารเลว" ใช้ไม่ได้ !
ดังนั้น ถ้ายังต้องการ "คำตอบ" ก็กรุณา "พัฒนา" การตั้ง "คำถาม" ให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย
เพราะถ้ายังไม่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมอาจพิจารณาตัดสินใจ ที่จะไม่ตอบคำถาม หรือ อธิบายความใดๆ เลยก็ได้ นะครับ
******************************************************************************************
คำถามที่ ๑
ที่จริงแล้ว นั่นเป็นคำถามที่ นักปฏิบัติธรรม เขาไม่ค่อยไถ่ถามกันสักเท่าใด แต่สำหรับ นักตำรา หรือพวก "ปลวก" ที่นิยมการ "กัดแทะ"
จะมีความนิยมชมชอบกับคำถามเรื่อง "โลกจินตา" กันเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนเอาไว้แล้วว่า อย่าพึงคิด !
ถ้าพูดในแบบสมมุติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ที่ยังมี ตัณหา อุปาทาน อยู่ ย่อมมีการเกิด เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้แหละ
แต่เมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์(เช่น อธิบายด้วย ปฏิจจสมุปบาท) จะมีก็แต่ การเกิด การตาย แต่ปราศจาก ผู้เกิด หรือ ผู้ตาย
นั่นจึงหมายความว่า การกล่าวว่า โสดาบัน ไปเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นการกล่าวด้วยโวหารโลก
เป็นสมมุติ ซึ่งมีอรรถอันพึงนำไปว่า ......................
คำถามโง่ๆ ที่ไม่มีประโยชน์ และ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้
ควรจะจบ ได้หรือยังครับ ?
******************************************************************************************
คำถามที่ ๒
ที่จริงเรื่องม้ากัณฐกะ นี้ไม่ควรกล่าวว่าเป็น พระสูตร เพราะเนื้อความประเด็นนี้ ปรากฏอยู่ใน วิมานวัตถุ ขุททกนิกาย
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในส่วนที่เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก แต่นั่นก็มิใช่ พระสูตร อยู่ดี ดังนั้น จึงควรอ้างอิงข้อมูลหลักฐาน ให้ถูกต้องด้วย
ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้ ก็คือ แล้วใครกล่าวว่า "ชาติหน้า ไม่มี" กันเล่าครับ ?
อย่าพยายาม "คิดไปเอง" แล้วออกอาการ "คลั่ง" ฟูมฟาย โวยวาย ในปัญหา ที่ไม่เป็นปัญหา อีกเลยครับ
เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ มันเป็นสมมุติทั้งนั้น มันจะมีอยู่ หรือ ไม่มีอยู่ หรือ มีอยู่อย่างไร ?
นั่นย่อมมิใช่ปัญหา "ความขัดข้อง" ของนักปฏิบัติธรรม สักหน่อย
และจนแม้แต่นักปริยัติเอง ก็เถิด จะพยายาม "ยัดเยียด" ให้ผู้อื่น ต้องเชื่อตาม "อุปาทาน" ของพวกแกทั้งหลาย ไปเพื่ออะไร ?
นรกสวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า ที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นของ นาย ก. มันก็เป็นเพียงแค่ นรกสวรรค์ ฯ ของ นาย ก. เท่านั้นแหละ
นรกสวรรค์ ฯ ที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นของ นาย ข. นาง ค. ฯลฯ มันก็เป็นเพียงแค่ นรกสวรรค์ ฯ โดยเฉพาะของ นาย ข. นาง ค. ฯลฯ เช่นกัน
มันจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมายัดเยียด "ความเชื่อ" ที่เกิดจากตัณหาอุปาทานของตน ให้ผู้อื่น "ยอมรับ" มิใช่หรือ ?
จบไหมครับ ?
******************************************************************************************
คำถามที่ ๓
กรณีนี้ คำถาม ไม่น่าจะมีนัยสำคัญ เท่ากับ การ "กล่าวตู่" ด้วยข้อมูลเท็จ แล้วจับ "ยัด" ใส่ปากผม เอาดื้อๆ นะครับ
ประเด็น ก็คือ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) กล่าวเอาไว้ที่ใดกันหรือว่า ................
"ที่ว่า พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ เป็นการอธิบายเพียงชาตินี้ ไม่ได้อธิบายข้ามภพชาติ
แสดงว่า เมื่อบรรลุพระโสดาบัน จะมีอุปาทานอีก ๗ ครั้ง แล้วจะหมดสิ้นแห่งทุกข์(เขียนอะไรของมัน?)"
เอาเป็นว่า ก่อนที่ผมจะตอบอธิบายความใดๆ ในกรณีนี้ ผู้ถาม หรือ ผู้กล่าวตู่ จงแสดงหลักฐานด้วยว่า
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ได้กล่าวข้อความตามที่อ้างถึงนั้น เอาไว้ เมื่อใด และ อย่างไร ?
เข้าใจว่า นี่จะไม่ใช่การ กล่าวตู่ แอบอ้าง แล้วไม่มีคำตอบ หรือ คำอธิบายใดๆ เหมือนกรณีที่ แอบอ้างว่า เป็นศิษย์ท่านพุทธทาส
แต่เมื่อถูกถามถึง หลักฐาน ข้อเท็จจริง กลับแกล้งตาย อย่างหน้าด้านๆ โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น นะครับ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมิใช่การกล่าวตู่โดยสันดาน นะครับ
เพราะเมื่อเห็นประวัติการกล่าวตู่แอบอ้างอย่างหน้าด้านๆ แล้วไม่รับผิดชอบ
ก็ได้แต่ นึกสมเพช ตนเอง ที่ไปเรียกร้อง ในสิ่งที่อาจไม่มีอยู่ ในจิตใจของคนพวกนี้ !
******************************************************************************************
คำถามที่ ๔
ที่จริงแล้ว ผมก็เห็นอยู่นะครับว่า แก ได้พยายามถามคำถามนี้ มาหลายครั้งแล้ว แต่ที่ผมไม่ใส่ใจจะตอบ นั่นเป็นเพราะอะไร ?
ขออนุญาต ตอบอธิบาย เอาไว้เสียตรงนี้เลยว่า เพราะนั่นเป็นการ ตั้งคำถาม ที่ไม่ชอบธรรม !
เรื่องของเรื่อง มันเริ่มต้นมาจาก นางคนนี้ ได้พยายามกล่าวร้ายผู้อื่นว่าเป็น อุจเฉททิฐิ เพราะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์
โดยยกข้อความจาก อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร มาเป็นข้ออ้างในการ ด่าคน ปรามาสพระ
ทั้งๆ ที่ข้อความจากพระสูตรดังกล่าว ก็ปรากฏอยู่ใน ตำรา พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส
ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกโดย คณะธรรมทาน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ นั่นแหละ !
สภาพมันจึงเหมือนกับว่า นางคนนี้ เอาข้อความจากตำราของพระมาด่าพระ นั่นเอง (โง่ไหมล่ะ?)
แต่เรื่องมันไม่ได้จบแต่เพียงเท่านั้น นะครับ นางหญิงบ้า ผู้นั้น ยังพยายามจะปรามาสพระให้ได้ โดยโวยวายว่า
การที่ท่านพุทธทาสเสนอให้แปล "ปุคคลาธิษฐาน" ให้เป็น "ธรรมาธิษฐาน"
ย่อมมีค่าเท่ากับ ท่านพุทธทาส ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ และ ไม่เชื่อเรื่องพุทธประวัติ
เมื่อผมยกหลักฐานขึ้นแย้งว่า หากการแปลความตามที่ท่านพุทธทาสเสนอ(ให้วินิจฉัยเอาเอง) เป็นสิ่งผิด เป็นความผิด
เช่นนั้นแล้ว การแปลความโดยอรรถกถาจารย์ เช่นว่า พระโพธิสัตว์ ดำเนิน ๗ ก้าว หมายถึง โพชฌงค์ ๗ เป็นต้นนั้น
ก็ต้องกลายเป็นความผิดไปด้วย ใช่หรือไม่ ?
และการแปลความอย่างนั้น เท่ากับ อรรถกถาจารย์ ไม่เชื่อเรื่อง การดำเนิน ๗ ก้าว ของพระโพธิสัตว์ ด้วยรึเปล่า ?
เพราะกรณีเช่นนี้ เป็นการกระทำอย่างเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน จึงสามารถนำมาเทียบเคียงได้
ถ้าผิด ก็ต้องผิดทั้งคู่ ถ้าอรรถกถาจารย์ ไม่ผิด ท่านพุทธทาส ก็ย่อมไม่ผิด จริงไหมครับ ?
แต่ปรากฏว่า ไม่มี คำตอบใดๆ ออกมาจากปากของนางคนนี้เลย นอกจากคำถาม "แก้เก้อ" ที่ว่า ...............
"พระโพธิสัตว์ จุติจากสวรรค์ ชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา หมายความว่าอะไร ?"
นั้นแล ฯ
หากถามผม ผมเห็นว่า การกระทำของนางคนนี้ เข้าข่าย "คนถ่อย" เพราะมุ่งแต่จะกล่าวร้ายปรามาสพระ แต่เพียงอย่างเดียว
โดยไม่ใส่ใจที่จะ พิจารณาข้อมูลหลักฐาน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องใด หรือ กรณีใด ก็ตาม
ดังเช่น ในกรณีดังกล่าวนี้ ถ้าหากมันเห็นแก่ สัจจะ ความจริง และ พระธรรมวินัย
ก็ย่อมสมควรกล่าวตามธรรมว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ท่านพุทธทาส และ อรรถกถา
การกระทำดังกล่าว ถูกต้อง หรือว่า ผิดพลาด อย่างไร ?
แต่มันก็มิได้ทำเช่นนั้น นี่ครับ !
ดังนั้น ผมจึงขออนุญาต ไม่ตอบอธิบายคำถาม ที่ไม่ชอบธรรม ข้อนี้ นะครับ
คราวหน้าคราวหลัง ก็อย่ามา "เซ้าซี้" ถามซ้ำๆ ซากๆ อีก นะจ๊ะ
สวัสดี
กล่าวตู่ ............ โดยสันดาน !
รวมไปถึง "กล่าวตู่" ผู้อื่นแบบไม่ยั้ง นี้เป็นอาการของ "คนบ้า" หรือไม่ ?
เอาเป็นว่า จะพยายาม "ตอบคำถาม" เพื่อช่วยคลี่คลาย "อาการ" เท่าที่พอจะช่วยได้ ก็แล้วกัน นะครับ
ประการแรก ที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน ก็คือ อย่าพยายาม สร้างประเด็น หรือ ตั้งคำถาม แบบถี่ยิบ
เพราะถ้ามันมาก หรือ "เฟ้อ" เกินไป จนเหมือนการฝลัดกระทู้ ผมอาจไม่ใส่ใจ ข้อความเหล่านั้น เลยก็ได้ นะครับ
ประการที่ ๒ ลำพัง ความเฟ้อ ก็น่าเบื่อพอแรงอยู่แล้ว แต่ความถูกต้องของข้อความ กลับเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรม การคิดเองเออเอง ฟุ้งซ่านไปเอง แล้วเที่ยวไป "ยัด" ใส่ปากผู้อื่น อย่างนี้ถือว่า "สารเลว" ใช้ไม่ได้ !
ดังนั้น ถ้ายังต้องการ "คำตอบ" ก็กรุณา "พัฒนา" การตั้ง "คำถาม" ให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย
เพราะถ้ายังไม่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมอาจพิจารณาตัดสินใจ ที่จะไม่ตอบคำถาม หรือ อธิบายความใดๆ เลยก็ได้ นะครับ
******************************************************************************************
คำถามที่ ๑
ที่จริงแล้ว นั่นเป็นคำถามที่ นักปฏิบัติธรรม เขาไม่ค่อยไถ่ถามกันสักเท่าใด แต่สำหรับ นักตำรา หรือพวก "ปลวก" ที่นิยมการ "กัดแทะ"
จะมีความนิยมชมชอบกับคำถามเรื่อง "โลกจินตา" กันเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนเอาไว้แล้วว่า อย่าพึงคิด !
ถ้าพูดในแบบสมมุติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ที่ยังมี ตัณหา อุปาทาน อยู่ ย่อมมีการเกิด เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้แหละ
แต่เมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์(เช่น อธิบายด้วย ปฏิจจสมุปบาท) จะมีก็แต่ การเกิด การตาย แต่ปราศจาก ผู้เกิด หรือ ผู้ตาย
นั่นจึงหมายความว่า การกล่าวว่า โสดาบัน ไปเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นการกล่าวด้วยโวหารโลก
เป็นสมมุติ ซึ่งมีอรรถอันพึงนำไปว่า ......................
คำถามโง่ๆ ที่ไม่มีประโยชน์ และ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้
ควรจะจบ ได้หรือยังครับ ?
******************************************************************************************
คำถามที่ ๒
ที่จริงเรื่องม้ากัณฐกะ นี้ไม่ควรกล่าวว่าเป็น พระสูตร เพราะเนื้อความประเด็นนี้ ปรากฏอยู่ใน วิมานวัตถุ ขุททกนิกาย
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในส่วนที่เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก แต่นั่นก็มิใช่ พระสูตร อยู่ดี ดังนั้น จึงควรอ้างอิงข้อมูลหลักฐาน ให้ถูกต้องด้วย
ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้ ก็คือ แล้วใครกล่าวว่า "ชาติหน้า ไม่มี" กันเล่าครับ ?
อย่าพยายาม "คิดไปเอง" แล้วออกอาการ "คลั่ง" ฟูมฟาย โวยวาย ในปัญหา ที่ไม่เป็นปัญหา อีกเลยครับ
เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ มันเป็นสมมุติทั้งนั้น มันจะมีอยู่ หรือ ไม่มีอยู่ หรือ มีอยู่อย่างไร ?
นั่นย่อมมิใช่ปัญหา "ความขัดข้อง" ของนักปฏิบัติธรรม สักหน่อย
และจนแม้แต่นักปริยัติเอง ก็เถิด จะพยายาม "ยัดเยียด" ให้ผู้อื่น ต้องเชื่อตาม "อุปาทาน" ของพวกแกทั้งหลาย ไปเพื่ออะไร ?
นรกสวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า ที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นของ นาย ก. มันก็เป็นเพียงแค่ นรกสวรรค์ ฯ ของ นาย ก. เท่านั้นแหละ
นรกสวรรค์ ฯ ที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นของ นาย ข. นาง ค. ฯลฯ มันก็เป็นเพียงแค่ นรกสวรรค์ ฯ โดยเฉพาะของ นาย ข. นาง ค. ฯลฯ เช่นกัน
มันจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมายัดเยียด "ความเชื่อ" ที่เกิดจากตัณหาอุปาทานของตน ให้ผู้อื่น "ยอมรับ" มิใช่หรือ ?
จบไหมครับ ?
******************************************************************************************
คำถามที่ ๓
กรณีนี้ คำถาม ไม่น่าจะมีนัยสำคัญ เท่ากับ การ "กล่าวตู่" ด้วยข้อมูลเท็จ แล้วจับ "ยัด" ใส่ปากผม เอาดื้อๆ นะครับ
ประเด็น ก็คือ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) กล่าวเอาไว้ที่ใดกันหรือว่า ................
"ที่ว่า พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ เป็นการอธิบายเพียงชาตินี้ ไม่ได้อธิบายข้ามภพชาติ
แสดงว่า เมื่อบรรลุพระโสดาบัน จะมีอุปาทานอีก ๗ ครั้ง แล้วจะหมดสิ้นแห่งทุกข์(เขียนอะไรของมัน?)"
เอาเป็นว่า ก่อนที่ผมจะตอบอธิบายความใดๆ ในกรณีนี้ ผู้ถาม หรือ ผู้กล่าวตู่ จงแสดงหลักฐานด้วยว่า
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ได้กล่าวข้อความตามที่อ้างถึงนั้น เอาไว้ เมื่อใด และ อย่างไร ?
เข้าใจว่า นี่จะไม่ใช่การ กล่าวตู่ แอบอ้าง แล้วไม่มีคำตอบ หรือ คำอธิบายใดๆ เหมือนกรณีที่ แอบอ้างว่า เป็นศิษย์ท่านพุทธทาส
แต่เมื่อถูกถามถึง หลักฐาน ข้อเท็จจริง กลับแกล้งตาย อย่างหน้าด้านๆ โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น นะครับ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมิใช่การกล่าวตู่โดยสันดาน นะครับ
เพราะเมื่อเห็นประวัติการกล่าวตู่แอบอ้างอย่างหน้าด้านๆ แล้วไม่รับผิดชอบ
ก็ได้แต่ นึกสมเพช ตนเอง ที่ไปเรียกร้อง ในสิ่งที่อาจไม่มีอยู่ ในจิตใจของคนพวกนี้ !
******************************************************************************************
คำถามที่ ๔
ที่จริงแล้ว ผมก็เห็นอยู่นะครับว่า แก ได้พยายามถามคำถามนี้ มาหลายครั้งแล้ว แต่ที่ผมไม่ใส่ใจจะตอบ นั่นเป็นเพราะอะไร ?
ขออนุญาต ตอบอธิบาย เอาไว้เสียตรงนี้เลยว่า เพราะนั่นเป็นการ ตั้งคำถาม ที่ไม่ชอบธรรม !
เรื่องของเรื่อง มันเริ่มต้นมาจาก นางคนนี้ ได้พยายามกล่าวร้ายผู้อื่นว่าเป็น อุจเฉททิฐิ เพราะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์
โดยยกข้อความจาก อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร มาเป็นข้ออ้างในการ ด่าคน ปรามาสพระ
ทั้งๆ ที่ข้อความจากพระสูตรดังกล่าว ก็ปรากฏอยู่ใน ตำรา พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส
ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกโดย คณะธรรมทาน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ นั่นแหละ !
สภาพมันจึงเหมือนกับว่า นางคนนี้ เอาข้อความจากตำราของพระมาด่าพระ นั่นเอง (โง่ไหมล่ะ?)
แต่เรื่องมันไม่ได้จบแต่เพียงเท่านั้น นะครับ นางหญิงบ้า ผู้นั้น ยังพยายามจะปรามาสพระให้ได้ โดยโวยวายว่า
การที่ท่านพุทธทาสเสนอให้แปล "ปุคคลาธิษฐาน" ให้เป็น "ธรรมาธิษฐาน"
ย่อมมีค่าเท่ากับ ท่านพุทธทาส ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ และ ไม่เชื่อเรื่องพุทธประวัติ
เมื่อผมยกหลักฐานขึ้นแย้งว่า หากการแปลความตามที่ท่านพุทธทาสเสนอ(ให้วินิจฉัยเอาเอง) เป็นสิ่งผิด เป็นความผิด
เช่นนั้นแล้ว การแปลความโดยอรรถกถาจารย์ เช่นว่า พระโพธิสัตว์ ดำเนิน ๗ ก้าว หมายถึง โพชฌงค์ ๗ เป็นต้นนั้น
ก็ต้องกลายเป็นความผิดไปด้วย ใช่หรือไม่ ?
และการแปลความอย่างนั้น เท่ากับ อรรถกถาจารย์ ไม่เชื่อเรื่อง การดำเนิน ๗ ก้าว ของพระโพธิสัตว์ ด้วยรึเปล่า ?
เพราะกรณีเช่นนี้ เป็นการกระทำอย่างเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน จึงสามารถนำมาเทียบเคียงได้
ถ้าผิด ก็ต้องผิดทั้งคู่ ถ้าอรรถกถาจารย์ ไม่ผิด ท่านพุทธทาส ก็ย่อมไม่ผิด จริงไหมครับ ?
แต่ปรากฏว่า ไม่มี คำตอบใดๆ ออกมาจากปากของนางคนนี้เลย นอกจากคำถาม "แก้เก้อ" ที่ว่า ...............
"พระโพธิสัตว์ จุติจากสวรรค์ ชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา หมายความว่าอะไร ?"
นั้นแล ฯ
หากถามผม ผมเห็นว่า การกระทำของนางคนนี้ เข้าข่าย "คนถ่อย" เพราะมุ่งแต่จะกล่าวร้ายปรามาสพระ แต่เพียงอย่างเดียว
โดยไม่ใส่ใจที่จะ พิจารณาข้อมูลหลักฐาน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องใด หรือ กรณีใด ก็ตาม
ดังเช่น ในกรณีดังกล่าวนี้ ถ้าหากมันเห็นแก่ สัจจะ ความจริง และ พระธรรมวินัย
ก็ย่อมสมควรกล่าวตามธรรมว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ท่านพุทธทาส และ อรรถกถา
การกระทำดังกล่าว ถูกต้อง หรือว่า ผิดพลาด อย่างไร ?
แต่มันก็มิได้ทำเช่นนั้น นี่ครับ !
ดังนั้น ผมจึงขออนุญาต ไม่ตอบอธิบายคำถาม ที่ไม่ชอบธรรม ข้อนี้ นะครับ
คราวหน้าคราวหลัง ก็อย่ามา "เซ้าซี้" ถามซ้ำๆ ซากๆ อีก นะจ๊ะ
สวัสดี