เมื่อตอนช่วง กลางปีที่ผ่านมา เราใช้เงินซื้ออุปกรณ์ทำงานที่เราอยากทำไปเกือบๆ2หมื่นกว่าบาท ด้วยหวังว่า จะเอามาทำงานเรียน ทีนี้เราตัดสินใจออกจากการเรียนกลางคัน ทำให้ไม่ได้ใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เพราะมันต้องใช้ช็อปโดยเฉพาะสำหรับทำงาน เราเสียดายเงินที่ซื้อของมามาก เลยกะว่าช่วงปิดภาคเรียนนี้จะขอเข้าไปใช้ช็อปของที่ๆเราเคยเรียน แต่เมื่อเราโทรไปขออ.สิ่งที่ได้กลับมาคือคำปฎิเสธกับข้ออ้างที่มันฟังดูไม่ขึ้นเลย ทั้งๆที่รุ่นพี่ศิษย์เก่าคนอื่นๆก็สามารถทำงานที่ช็อปได้ ยกเว้นเรา และเมื่อโทรไปขออาจารย์อีกคนขอใช้ช็อปเฉพาะของเค้า โดยเราออกตัวเลยว่า เราจะขอเช่าช็อปของเค้า โดยจะคิดเงินเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่เราใช้อุปกรณ์การสร้างงานที่ซื้อมาเพราะเราเสียดายมันมาก โดยอ.ท่านนั้นก็บอกว่า ซ็อปเค้าไม่ว่างเลยตอนนี้ ถ้าจะให้ว่างก็อีกเกือบครึ่งปี ถ้าว่างเค้าจะโทรมาบอกเรา ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นการบอกปฎิเสธกลายๆ เพราะเค้าคงไม่โทรกลับมาหาเราแน่ๆ
มันเหมือนกับการตอกย้ำความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่เราไม่สามารถจะพึ่งพาใครได้เลยในชีวิตนี้ กับความอยากเเละเสียดายของที่ซื้อมาเกือบ3หมื่น ที่จะต้องปล่อยให้มันหมดอายุไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย มันเหมือนกับสิ่งที่วางแผนไว้ต้องพังหมด อยากจะเรียกว่าบัดซบก็ได้
ถ้าเราอยากจะทำงานนี้จริงๆ คือต้องสร้างช็อปเองที่บ้าน เพราะในบ้านเราไม่มีช็อปที่เปิดให้เช่าสำหรับการรองรับการทำงานนี้ โดยถ้าไม่รวมค่าที่(ที่บ้านเรามีอยู่แล้ว) ช็อปมันก็จะตกอยู่ราวๆ เกือบ2ล้านบาท แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันอาจจะเป็นการละลายเงินไปเปล่าๆโดยไม่ได้ประโยชน์ เพราะงานที่เราทำออกมา โอกาสที่จะนำมันหมุนกลับมาเป็นเงิน กับฝีมือของเรามันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าเราขอที่บ้าน เค้าก็ต้องหาเงินทำให้เราได้แน่ๆ
พอมานึกถึงตรงนี้ น้ำตามันก็ไหลพรั่งพรูออกมา พร้อมๆกับความรู้สึกเจ็บใจ ปนสมเพชตัวเอง ที่ไม่สามารถจะพึ่งใครได้เลยในชีวิต ตั้งแต่เกิดมานอกจากที่บ้าน กะอีแค่ปัญญาจะหาช็อปทำงานที่รักง่ายๆ ที่ใครๆเค้าก็หาได้ คอนเน็คกันได้ง่ายๆ แต่เราก็ดันทำไม่ได้ กะไอ้ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชีวิต เพื่อนฝูงไม่มี ไม่มีห่าอะไรเลยตั้งแต่เกิดมา และตัวเองก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่า จะต้องซื้ออุปกรณ์บ้าๆนี่มาเพื่อจะเอามาทิ้งไปเฉยๆ แล้วถ้าที่บ้านออกเงินทำให้ ญาติคนอื่นๆก็คงจะมองเราว่าเราเอาแต่อยากได้แน่ๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็พึ่งพาตัวเองไม่ได้แท้ๆ น้องชายเองก็ต้องทนทำงานหนัก อยากจะด่าตัวเองให้มันแรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ ถ้ามีคำไหนที่มันบ่งบอกถึงความเลวร้ายของตัวเองมากกว่าคำว่าไอ้ก็อยากจะใช้คำนั้นกับตัวเอง และก็คิดว่าตัวเองแมร่งไม่น่าจะเกิดมามีชีวิตบนโลกนี้ได้ตั้ง30ปี ทั้งๆที่ไม่เคยทำความภูมิใจบ้าบออะไรให้คนที่บ้านได้เลย นอกจากสร้างภาระให้กับครอบครัว และเอาแต่เรียกร้องๆ
ถ้าต้องทำให้แม่ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์กับเราเกือบ2ล้าน มันคงเลวมากเลยนะ
มันเหมือนกับการตอกย้ำความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่เราไม่สามารถจะพึ่งพาใครได้เลยในชีวิตนี้ กับความอยากเเละเสียดายของที่ซื้อมาเกือบ3หมื่น ที่จะต้องปล่อยให้มันหมดอายุไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย มันเหมือนกับสิ่งที่วางแผนไว้ต้องพังหมด อยากจะเรียกว่าบัดซบก็ได้
ถ้าเราอยากจะทำงานนี้จริงๆ คือต้องสร้างช็อปเองที่บ้าน เพราะในบ้านเราไม่มีช็อปที่เปิดให้เช่าสำหรับการรองรับการทำงานนี้ โดยถ้าไม่รวมค่าที่(ที่บ้านเรามีอยู่แล้ว) ช็อปมันก็จะตกอยู่ราวๆ เกือบ2ล้านบาท แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันอาจจะเป็นการละลายเงินไปเปล่าๆโดยไม่ได้ประโยชน์ เพราะงานที่เราทำออกมา โอกาสที่จะนำมันหมุนกลับมาเป็นเงิน กับฝีมือของเรามันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าเราขอที่บ้าน เค้าก็ต้องหาเงินทำให้เราได้แน่ๆ
พอมานึกถึงตรงนี้ น้ำตามันก็ไหลพรั่งพรูออกมา พร้อมๆกับความรู้สึกเจ็บใจ ปนสมเพชตัวเอง ที่ไม่สามารถจะพึ่งใครได้เลยในชีวิต ตั้งแต่เกิดมานอกจากที่บ้าน กะอีแค่ปัญญาจะหาช็อปทำงานที่รักง่ายๆ ที่ใครๆเค้าก็หาได้ คอนเน็คกันได้ง่ายๆ แต่เราก็ดันทำไม่ได้ กะไอ้ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชีวิต เพื่อนฝูงไม่มี ไม่มีห่าอะไรเลยตั้งแต่เกิดมา และตัวเองก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่า จะต้องซื้ออุปกรณ์บ้าๆนี่มาเพื่อจะเอามาทิ้งไปเฉยๆ แล้วถ้าที่บ้านออกเงินทำให้ ญาติคนอื่นๆก็คงจะมองเราว่าเราเอาแต่อยากได้แน่ๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็พึ่งพาตัวเองไม่ได้แท้ๆ น้องชายเองก็ต้องทนทำงานหนัก อยากจะด่าตัวเองให้มันแรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ ถ้ามีคำไหนที่มันบ่งบอกถึงความเลวร้ายของตัวเองมากกว่าคำว่าไอ้ก็อยากจะใช้คำนั้นกับตัวเอง และก็คิดว่าตัวเองแมร่งไม่น่าจะเกิดมามีชีวิตบนโลกนี้ได้ตั้ง30ปี ทั้งๆที่ไม่เคยทำความภูมิใจบ้าบออะไรให้คนที่บ้านได้เลย นอกจากสร้างภาระให้กับครอบครัว และเอาแต่เรียกร้องๆ