وَلَنْ تَرْضَىٰ عَنْكَ الْيَهُودُ وَلَا النَّصَارَىٰ حَتَّىٰ تَتَّبِعَ مِلَّتَهُمْ ۗ قُلْ إِنَّ هُدَى اللَّهِ هُوَ الْهُدَىٰ ۗ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءَهُمْ بَعْدَ الَّذِي جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ ۙ مَا لَكَ مِنَ اللَّهِ مِنْ وَلِيٍّ وَلَا نَصِيرٍ
อัลกุรอานบัญญัติ 2:120 บัญญัติไว้ว่า
Never will the Jews or the Christians be satisfied with thee unless thou follow their form of religion. Say: "The Guidance of Allah,-that is the (only) Guidance." Wert thou to follow their desires after the knowledge which hath reached thee, then wouldst thou find neither Protector nor helper against Allah.[Yusufali 2:120]
สมาคมนักเรียนเก่าอรับ อธิบายไว้ดังนี้:
120. และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ(*1*) แน่นอน,
ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้.
(1) คือคำแนะนำที่ถูกต้อง และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
เราเรียนรู้อะไรจาก อัลกุรอานบทนี้
อัลลอฮ์ตะอาลาได้ มีคำสั่งกำชับและเตือนสติต่อ ท่านศาสดามูฮัมมัดโดยตรงว่า
1.
ชาวยิวและชาวคริสต์เตียนนั่น จะไม่ยินดีแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด เป็นอันขาด จนกว่าท่านศาสดามุฮัมมัด จะปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิวและชาวคริสต์เตียน .
2. แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำที่แน่นอน,
นั้นคือ อัลกุรอานเป็นแนวทางเดียวที่ถูกต้องสำหรับมุสลิม.
3. ถ้าศาสดามูฮัมมัดปฏิบัติ
ตามความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน. หลังจากที่มีความรู้จาก"อัลกุรอาน" ที่ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รับแล้ว ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้
ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนว่า หลักการของศาสนาอิสลาม มาจาก 2 แหล่ง คือ
1.กุรอาน
2.ซุนนะห์ (แนวทาง กิจปฏิบัติ รวมทั้งคำกล่าว) ของท่านศาสดา
หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาด, ในกรณีที่บัญญัติการลงโทษของท่ารอซูล เกิดการลงโทษของอัลลอฮ์ตะอาลา บัญญัติของท่านรอซูลถือว่าเป็นโมฆะหรือเป็นการต่อเติม
ถ้าเราจะอ้างว่าไม่มีรายละเอียดในการละหมาดในอัลกุรอาน, แต่อัลลอฮ์ตะอาลามีคำสั่งให้มุสลิมทำการละหมาดซึ่งบัญญัติไว้อย่าชัดเจน
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของท่านรอซูลที่จะต้องสอนละหมาดให้แก่มุสลิมตามบัญชาของ อัลลอฮ์ตะอาลา, ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการต่อเติมศาสนา เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระองค์โดยตรง, แต่ในกรณี STONING อัลลอฮ์ตะอาลาไม่ได้กำหนดไว้ และไม่มีการระบุโทษประหารไว้จึงถือว่าเป็นการละเมิดหลังจากได้รับอัลกุรอาน 2:120 แล้ว
การStoning จึงเป็นการ ปฏิบัติตามความใคร่ของชาวยิวและชาวคริสเตียนซึ่งอัลลอฮ์ตะอาลาทรงห้ามไว้อย่างเด็ดขาด. จากเหตุผลข้างบนนี้ทำให้มุสลิมเช้าใจได้ว่า,
ถ้าหลักการของฮาดีษขัดกับบัญญัติในอัลกุรอานหรือไม่ตรงกับคำสั่งในอัลกุรอาน, อัลกุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาด และลบล้างความสำคัญของฮาดีษบทนั้นๆ.
ขอเน้นในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง, ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือ:
เรื่อง การ Stoning หรือการสังหารผู้ผิดประเวณีด้วยการ รุมกันปาด้วยหินจนตาย ซึ่งเป็น ความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน ในสมัยท่านศาสดามูฮัมมัด, ฮาดีษที่อ้างถึงการ Stoningไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน ว่า ในขณะที่อ้างว่า ท่านศาสดามูฮัมมัด ทำการ Stoning นั้น ท่านได้รับ อัลกุรอาน แล้วหรือยัง, ตามเหตุผลถ้า การSTONING เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นก่อนที่ บัญญัติการลงโทษการผิดประเวณีจะถูกประทานมา
แต่ถ้าหลังจากที่ ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รู้อย่างแน่นอนว่า อัลกุรอานได้ระบุโทษเพียงแค่การ โบย 100 ครั้งเท่านั้น ไม่มีโทษประหาร,
และหลังจากท่านรอซูลได้รับความรู้คำแนะนำจากอัลกุรอานแล้ว, ถ้าท่านศาสดามูฮัมมัดยังคง ถือปฏิบัติ การ Stoning ตาม ความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน ในสมัยนั้นแล้ว, ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ตามที่บัญญัติ ไว้ดังนี้
ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (2:120)
ในบัญญัตินี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ถึงแม้ว่า อัลลอฮ์ตะอาลา จะให้อำนาจแก่ท่านรอซูล ในการสอนมนุษยชาติอย่างมากมายเท่าใดก็ตาม,ถึงแม้เราจะได้รับคำสั่งจากอัลกุรอานให้เขื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของ ท่านรอซูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม, ท่านรอซูลจะต้องทำการสอนอยู่ในขอบเขตของอัลกุรอานเท่านั้น,
บัญญัติในอัลกุรอานจะถูกยกเลิก โดยคำสั่งของท่านรอซูลไม่ได้อย่างเด็ดขาด,รวมทั้งคำสั่งที่มาจากฮาดีษเช่นกัน,
การวางกฏลงโทษด้วยการขว้างด้วยหินจนตาย เป็นการปฏิบัติตามความใคร่ของชาวยิวและคริสเตียนในสมัยเมื่อ สองพันกว่าปีมาแล้ว ก่อนที่ท่านรอซูลจะได้รับอัลกุรอานอย่างสมบูรณ์.
ถ้าศาสดามูฮัมมัดปฏิบัติ การ STONING ตามความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน. หลังจากที่มีความรู้จาก"อัลกุรอาน" ที่ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รับแล้ว ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ทั้งนี้รวมทั้งมุสลิมในปัจจุบันนี้ ที่ปฏิบัติตามความใคร่ของยิวและคริสเตียนในทุกๆเรื่องที่ไม่มีในอัลกุรอานแต่มีอยู่ในไบเบิลก็ตาม ไม่จำกัดเฉพาะในเรื่อง Stoning เท่านั้น.
ข้อคิดที่มีความสำคัญสำหรับมุสลิม ตามคำเตือนจาก ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ บัญญัติที่ 120
อัลกุรอานบัญญัติ 2:120 บัญญัติไว้ว่า
Never will the Jews or the Christians be satisfied with thee unless thou follow their form of religion. Say: "The Guidance of Allah,-that is the (only) Guidance." Wert thou to follow their desires after the knowledge which hath reached thee, then wouldst thou find neither Protector nor helper against Allah.[Yusufali 2:120]
สมาคมนักเรียนเก่าอรับ อธิบายไว้ดังนี้:
120. และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ(*1*) แน่นอน, ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้.
(1) คือคำแนะนำที่ถูกต้อง และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
เราเรียนรู้อะไรจาก อัลกุรอานบทนี้
อัลลอฮ์ตะอาลาได้ มีคำสั่งกำชับและเตือนสติต่อ ท่านศาสดามูฮัมมัดโดยตรงว่า
1. ชาวยิวและชาวคริสต์เตียนนั่น จะไม่ยินดีแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด เป็นอันขาด จนกว่าท่านศาสดามุฮัมมัด จะปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิวและชาวคริสต์เตียน .
2. แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำที่แน่นอน, นั้นคือ อัลกุรอานเป็นแนวทางเดียวที่ถูกต้องสำหรับมุสลิม.
3. ถ้าศาสดามูฮัมมัดปฏิบัติตามความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน. หลังจากที่มีความรู้จาก"อัลกุรอาน" ที่ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รับแล้ว ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้
ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนว่า หลักการของศาสนาอิสลาม มาจาก 2 แหล่ง คือ
1.กุรอาน
2.ซุนนะห์ (แนวทาง กิจปฏิบัติ รวมทั้งคำกล่าว) ของท่านศาสดา
หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาด, ในกรณีที่บัญญัติการลงโทษของท่ารอซูล เกิดการลงโทษของอัลลอฮ์ตะอาลา บัญญัติของท่านรอซูลถือว่าเป็นโมฆะหรือเป็นการต่อเติม
ถ้าเราจะอ้างว่าไม่มีรายละเอียดในการละหมาดในอัลกุรอาน, แต่อัลลอฮ์ตะอาลามีคำสั่งให้มุสลิมทำการละหมาดซึ่งบัญญัติไว้อย่าชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของท่านรอซูลที่จะต้องสอนละหมาดให้แก่มุสลิมตามบัญชาของ อัลลอฮ์ตะอาลา, ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการต่อเติมศาสนา เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระองค์โดยตรง, แต่ในกรณี STONING อัลลอฮ์ตะอาลาไม่ได้กำหนดไว้ และไม่มีการระบุโทษประหารไว้จึงถือว่าเป็นการละเมิดหลังจากได้รับอัลกุรอาน 2:120 แล้ว
การStoning จึงเป็นการ ปฏิบัติตามความใคร่ของชาวยิวและชาวคริสเตียนซึ่งอัลลอฮ์ตะอาลาทรงห้ามไว้อย่างเด็ดขาด. จากเหตุผลข้างบนนี้ทำให้มุสลิมเช้าใจได้ว่า, ถ้าหลักการของฮาดีษขัดกับบัญญัติในอัลกุรอานหรือไม่ตรงกับคำสั่งในอัลกุรอาน, อัลกุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาด และลบล้างความสำคัญของฮาดีษบทนั้นๆ.
ขอเน้นในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง, ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือ:
เรื่อง การ Stoning หรือการสังหารผู้ผิดประเวณีด้วยการ รุมกันปาด้วยหินจนตาย ซึ่งเป็น ความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน ในสมัยท่านศาสดามูฮัมมัด, ฮาดีษที่อ้างถึงการ Stoningไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน ว่า ในขณะที่อ้างว่า ท่านศาสดามูฮัมมัด ทำการ Stoning นั้น ท่านได้รับ อัลกุรอาน แล้วหรือยัง, ตามเหตุผลถ้า การSTONING เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นก่อนที่ บัญญัติการลงโทษการผิดประเวณีจะถูกประทานมา
แต่ถ้าหลังจากที่ ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รู้อย่างแน่นอนว่า อัลกุรอานได้ระบุโทษเพียงแค่การ โบย 100 ครั้งเท่านั้น ไม่มีโทษประหาร, และหลังจากท่านรอซูลได้รับความรู้คำแนะนำจากอัลกุรอานแล้ว, ถ้าท่านศาสดามูฮัมมัดยังคง ถือปฏิบัติ การ Stoning ตาม ความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน ในสมัยนั้นแล้ว, ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ตามที่บัญญัติ ไว้ดังนี้
ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (2:120)
ในบัญญัตินี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ถึงแม้ว่า อัลลอฮ์ตะอาลา จะให้อำนาจแก่ท่านรอซูล ในการสอนมนุษยชาติอย่างมากมายเท่าใดก็ตาม,ถึงแม้เราจะได้รับคำสั่งจากอัลกุรอานให้เขื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของ ท่านรอซูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม, ท่านรอซูลจะต้องทำการสอนอยู่ในขอบเขตของอัลกุรอานเท่านั้น,บัญญัติในอัลกุรอานจะถูกยกเลิก โดยคำสั่งของท่านรอซูลไม่ได้อย่างเด็ดขาด,รวมทั้งคำสั่งที่มาจากฮาดีษเช่นกัน, การวางกฏลงโทษด้วยการขว้างด้วยหินจนตาย เป็นการปฏิบัติตามความใคร่ของชาวยิวและคริสเตียนในสมัยเมื่อ สองพันกว่าปีมาแล้ว ก่อนที่ท่านรอซูลจะได้รับอัลกุรอานอย่างสมบูรณ์.
ถ้าศาสดามูฮัมมัดปฏิบัติ การ STONING ตามความใคร่ของยิวและชาวคริสต์เตียน. หลังจากที่มีความรู้จาก"อัลกุรอาน" ที่ท่านศาสดามูฮัมมัดได้รับแล้ว ท่านศาสดามูฮัมมัด ก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ทั้งนี้รวมทั้งมุสลิมในปัจจุบันนี้ ที่ปฏิบัติตามความใคร่ของยิวและคริสเตียนในทุกๆเรื่องที่ไม่มีในอัลกุรอานแต่มีอยู่ในไบเบิลก็ตาม ไม่จำกัดเฉพาะในเรื่อง Stoning เท่านั้น.