
นายพงศธร เกษสำลี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงผลสำรวจเรื่องการท่องเที่ยวพระเอกที่จะค้ำยันเศรษฐกิจไทยปีนี้จริงหรือว่า ภาคการท่องเที่ยวไม่สามารถเป็นตัวค้ำยันเศรษฐกิจไทยในปีนี้ได้ เนื่องจาก ในช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสำรวจเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวทำให้ปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายในการครองชีพเพิ่มขึ้นถึง 16.1% ดังนั้นกลุ่มคนทั่วไปที่ปกติจะนิยมท่องเที่ยวอยู่แล้วจะชะลอการท่องเที่ยวตามไปด้วย เพราะรายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายต่างๆกลับเพิ่มขึ้น จนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลดลงมาถึง 21.1%
ทั้งนี้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,100 ตัวอย่างในวันที่ 10-17 กย.ที่ผ่านมาซึ่งแบ่งเป็น ประชาชน 1,400 ตัวอย่างมีถึง 48.3%ที่มีรายได้พอใช้แต่ไม่มีเงินเก็บ และอีก 38.4% รายได้ไม่พอกับรายจ่าย และมีเพียง 13.4% เท่านั้นที่มีรายได้ดีมีเงินออม ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวกลายเป็นผลกระทบที่ว่า ต้องระมัดระวังรายได้ด้านการท่องเที่ยวไว้ เพื่อนำมาใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง แทน
ด้านผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวอีก 700 ตัวอย่าง มี 48% ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในไตรมาสสุดท้าย จะส่งผลให้รายได้ที่จะได้จากการท่องเที่ยวลดลง 22.9% แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้ประกอบการ อีก 19.4% ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลัก เช่น ชลบุรีและภูเก็ตซึ่งมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคิดว่าภาคการท่องเที่ยวยังเป็นพระเอกที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อยู่
“แม้ว่าการท่องเที่ยวจะไม่สามารถเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะพยุงเศรษฐกิจไทยได้นั้น ก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยได้ คือ สัญญาณบวกของนักท่องเที่ยวต่างประเทศตั้งแต่ม.ค.-ส.ค.นี้ ที่พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นถึง 21% และไตรมาสสุดท้ายก็คาดว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องดีอยู่ โดยประมาณการเมื่อจบปี 56 จะถึง 26 ล้านคน เติบโต 17.48% ซึ่งเกินจากเป้าหมายแน่นอน ดังนั้นการท่องเที่ยวก็ยังถือว่าสดใส และช่วยนำเงินเข้าประเทศได้อยู่”
นายพงศธร ยัง กล่าวด้วยว่า ผู้ประกอบการได้เสนอแนะให้ภาครัฐช่วยเหลือด้านการส่งเสริมการตลาด เพื่อ ช่วยผลักดันรายได้ให้เพิ่มขึ้น ได้แก่ การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสถานที่พักให้ทั่วถึงทุกสถานที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว 20.7% การควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงมากกว่านี้ 14.7% และ การโปรโมทการท่องเที่ยวในหลายๆสื่อ อีก 11%
ส่วนแผนการรับมือของผู้ประกอบการเอง อันดับ 1 จัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาท่องเที่ยว 73.3% อันดับ 2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่า 60.9% อันดับ 3 พัฒนาบุคลากรในองค์กร 54.7% และอันดับ 4 พัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อีก 54.4%
ที่มา:::
http://www.dailynews.co.th/businesss/236861
เศรษฐกิจไทยปี56ท่องเที่ยวก็ช่วยไม่ไหว
นายพงศธร เกษสำลี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงผลสำรวจเรื่องการท่องเที่ยวพระเอกที่จะค้ำยันเศรษฐกิจไทยปีนี้จริงหรือว่า ภาคการท่องเที่ยวไม่สามารถเป็นตัวค้ำยันเศรษฐกิจไทยในปีนี้ได้ เนื่องจาก ในช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสำรวจเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวทำให้ปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายในการครองชีพเพิ่มขึ้นถึง 16.1% ดังนั้นกลุ่มคนทั่วไปที่ปกติจะนิยมท่องเที่ยวอยู่แล้วจะชะลอการท่องเที่ยวตามไปด้วย เพราะรายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายต่างๆกลับเพิ่มขึ้น จนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลดลงมาถึง 21.1%
ทั้งนี้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,100 ตัวอย่างในวันที่ 10-17 กย.ที่ผ่านมาซึ่งแบ่งเป็น ประชาชน 1,400 ตัวอย่างมีถึง 48.3%ที่มีรายได้พอใช้แต่ไม่มีเงินเก็บ และอีก 38.4% รายได้ไม่พอกับรายจ่าย และมีเพียง 13.4% เท่านั้นที่มีรายได้ดีมีเงินออม ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวกลายเป็นผลกระทบที่ว่า ต้องระมัดระวังรายได้ด้านการท่องเที่ยวไว้ เพื่อนำมาใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง แทน
ด้านผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวอีก 700 ตัวอย่าง มี 48% ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในไตรมาสสุดท้าย จะส่งผลให้รายได้ที่จะได้จากการท่องเที่ยวลดลง 22.9% แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้ประกอบการ อีก 19.4% ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวหลัก เช่น ชลบุรีและภูเก็ตซึ่งมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคิดว่าภาคการท่องเที่ยวยังเป็นพระเอกที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อยู่
“แม้ว่าการท่องเที่ยวจะไม่สามารถเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะพยุงเศรษฐกิจไทยได้นั้น ก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยได้ คือ สัญญาณบวกของนักท่องเที่ยวต่างประเทศตั้งแต่ม.ค.-ส.ค.นี้ ที่พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นถึง 21% และไตรมาสสุดท้ายก็คาดว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องดีอยู่ โดยประมาณการเมื่อจบปี 56 จะถึง 26 ล้านคน เติบโต 17.48% ซึ่งเกินจากเป้าหมายแน่นอน ดังนั้นการท่องเที่ยวก็ยังถือว่าสดใส และช่วยนำเงินเข้าประเทศได้อยู่”
นายพงศธร ยัง กล่าวด้วยว่า ผู้ประกอบการได้เสนอแนะให้ภาครัฐช่วยเหลือด้านการส่งเสริมการตลาด เพื่อ ช่วยผลักดันรายได้ให้เพิ่มขึ้น ได้แก่ การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสถานที่พักให้ทั่วถึงทุกสถานที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว 20.7% การควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงมากกว่านี้ 14.7% และ การโปรโมทการท่องเที่ยวในหลายๆสื่อ อีก 11%
ส่วนแผนการรับมือของผู้ประกอบการเอง อันดับ 1 จัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาท่องเที่ยว 73.3% อันดับ 2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่า 60.9% อันดับ 3 พัฒนาบุคลากรในองค์กร 54.7% และอันดับ 4 พัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อีก 54.4%
ที่มา:::http://www.dailynews.co.th/businesss/236861