ประเทศไทยดัชนีตลาดหุ้นขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี ด้วยพื้นฐานประเทศส่วนหนึ่งแต่หลักๆ ร้อยละ 80 มันขึ้นมาจากเงินร้อน (QE) ที่ไหลมาเก็งกำไรระยะสั้น เป็นเวลากว่า 14 ปีตลาดหุ้นไทยดัชนีไม่เคยทะลุ 1000 จุด ดังนั้นพื้นฐานประเทศไทยแม้แต่ยุคเฟื่องฟูที่สุดคือก่อนปี 2540 ดัชนีไม่เคยสูงสุดเกิน 1000 จุด
แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาเรามีหุ้นตัวใหญ่ๆ จดทะเบียนเข้าตลาดมากขึ้นไม่ว่าจะ PTT และบริษัทลูก CPF CPALL อื่นๆ แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนเข้าตลาดแล้วหลังจาก 6 ปีที่หุ้นตัวใหญ่เหล่านี้เข้าเทรดตลาดหุ้นก็ไม่ทะลุ 1000 จุดเช่นเดิม
เรากำลังดูหรือรู้สึกว่าโดนขาใหญ่ในตลาดหุ้นหลอกๆๆๆๆๆๆให้เราจินตนาการและคิดกันไปว่า 1260 จุดที่ร่วงลงมาเมื่อปลายสิงหาคมคือจุดต่ำสุดแล้ว ตลาดรับรู้กันหมดแล้วถึงข่าวร้ายต่างๆ สอดคล้องกับนักวิชาการ นักวิเคราะห์โบรกเกอร์สำนักต่างๆ ลงความเห็นเหมือนกันคือ 1260 จุดคือต่ำสุดของข่าวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมดในปีนี้
แต่ถ้าเรากลับไปมองย้อนอดีตเพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนปัจจุบันเพื่อสู่อนาคตว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นทะลุ 1000 จุดมาด้วยเหตุใดก็จะเห็นว่ามันเกิดจาก
1. สำคัญที่สุดคือเงินที่มาจากการพิมพ์กระดาษตั้งแต่ QE 1 - 3 เพื่อเพิ่มมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยแต่ผิดคาดหมายของเฟดนิดหน่อยตรงที่เงินจำนวนนี้แทนที่จะกระตุ้นภาคการผลิต กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนแต่ตรงข้ามเงินส่วนใหญ่ถูกนำมาเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกซึ่งตลาดหุ้นคือการเก็งกำไรอันดับต้นๆ
2. พื้นฐานเศรษฐกิจไทย ณ ตอนนั้นกับปัจจุบันนี้มันต่างกันสิ้นเชิงเราสู่ช่วงเศรษฐกิจขาลงอย่างเต็มตัว โดยดูตัวชี้วัดจาก GDP หนี้ครัวเรือน กำลังซื้อ ส่งออก ยอดขายสินค้าของชาวบ้านที่หลายคนบ่นเงียบ ฯลฯ
3. เงินของรัฐและยโยบายประชานิยมเริ่มออกมาไม่ดีส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น สูญเงินจากโครงการจำนำข้าว 8.7 แสนล้านบาทและเสียแชมป์การส่งออกรวมทั้งการโกงของนักกการเมืองเฉพาะโครงการนี้ มีการเวียนเทียนจำนำข้าว การสวมสิทธิ์ ฯลฯ เมื่อเงินไม่มีสภาพคล่องจึงเกิดยาก ต้องรอแต่กู้ๆๆๆ เพื่อหาเงินมากระตุ้นและใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต่อไป เมื่อมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจึงเป็นสิ่งที่ลำบากในการเติบโตของประเทศนับจากนี้
4. โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โครงการ 2.2 ล้านล้านบาท (น่าจะไปกองอยู่ที่ศาลเช่นกัน) โครงการพวกนี้เกิดจากรัฐบาลใจร้อนด่วนใจเร็วในการรีบใช้เงินโดยไม่ศึกษาผลกระทบและอื่นๆ และงบประมาณประจำปี 2557 สะดุดทั้งหมด
เหล่านี้คือปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เหมือนเดิมยังไม่รวมภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วมใหญ่จะเกิดซ้ำอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตามสำหรับคนมีหุ้นก็ขอให้เซททะลุ 1700 จุดนะครับ ส่วนคนไม่มีถ้ากลัวตกรถจะซื้อหรือไม่ซื้อต้องคิดให้ถ้วนถี่นะ
มาจาก 850 จุดหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ใช้เวลา 18 เดือน ขึ้นมาถึง 1650 จุดตอนนี้ลงมาแค่ 250 จุดเหลือแค่ 600 จุดก็จะเท่าปี54
แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาเรามีหุ้นตัวใหญ่ๆ จดทะเบียนเข้าตลาดมากขึ้นไม่ว่าจะ PTT และบริษัทลูก CPF CPALL อื่นๆ แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนเข้าตลาดแล้วหลังจาก 6 ปีที่หุ้นตัวใหญ่เหล่านี้เข้าเทรดตลาดหุ้นก็ไม่ทะลุ 1000 จุดเช่นเดิม
เรากำลังดูหรือรู้สึกว่าโดนขาใหญ่ในตลาดหุ้นหลอกๆๆๆๆๆๆให้เราจินตนาการและคิดกันไปว่า 1260 จุดที่ร่วงลงมาเมื่อปลายสิงหาคมคือจุดต่ำสุดแล้ว ตลาดรับรู้กันหมดแล้วถึงข่าวร้ายต่างๆ สอดคล้องกับนักวิชาการ นักวิเคราะห์โบรกเกอร์สำนักต่างๆ ลงความเห็นเหมือนกันคือ 1260 จุดคือต่ำสุดของข่าวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมดในปีนี้
แต่ถ้าเรากลับไปมองย้อนอดีตเพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนปัจจุบันเพื่อสู่อนาคตว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นทะลุ 1000 จุดมาด้วยเหตุใดก็จะเห็นว่ามันเกิดจาก
1. สำคัญที่สุดคือเงินที่มาจากการพิมพ์กระดาษตั้งแต่ QE 1 - 3 เพื่อเพิ่มมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยแต่ผิดคาดหมายของเฟดนิดหน่อยตรงที่เงินจำนวนนี้แทนที่จะกระตุ้นภาคการผลิต กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนแต่ตรงข้ามเงินส่วนใหญ่ถูกนำมาเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกซึ่งตลาดหุ้นคือการเก็งกำไรอันดับต้นๆ
2. พื้นฐานเศรษฐกิจไทย ณ ตอนนั้นกับปัจจุบันนี้มันต่างกันสิ้นเชิงเราสู่ช่วงเศรษฐกิจขาลงอย่างเต็มตัว โดยดูตัวชี้วัดจาก GDP หนี้ครัวเรือน กำลังซื้อ ส่งออก ยอดขายสินค้าของชาวบ้านที่หลายคนบ่นเงียบ ฯลฯ
3. เงินของรัฐและยโยบายประชานิยมเริ่มออกมาไม่ดีส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น สูญเงินจากโครงการจำนำข้าว 8.7 แสนล้านบาทและเสียแชมป์การส่งออกรวมทั้งการโกงของนักกการเมืองเฉพาะโครงการนี้ มีการเวียนเทียนจำนำข้าว การสวมสิทธิ์ ฯลฯ เมื่อเงินไม่มีสภาพคล่องจึงเกิดยาก ต้องรอแต่กู้ๆๆๆ เพื่อหาเงินมากระตุ้นและใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต่อไป เมื่อมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจึงเป็นสิ่งที่ลำบากในการเติบโตของประเทศนับจากนี้
4. โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โครงการ 2.2 ล้านล้านบาท (น่าจะไปกองอยู่ที่ศาลเช่นกัน) โครงการพวกนี้เกิดจากรัฐบาลใจร้อนด่วนใจเร็วในการรีบใช้เงินโดยไม่ศึกษาผลกระทบและอื่นๆ และงบประมาณประจำปี 2557 สะดุดทั้งหมด
เหล่านี้คือปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เหมือนเดิมยังไม่รวมภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วมใหญ่จะเกิดซ้ำอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตามสำหรับคนมีหุ้นก็ขอให้เซททะลุ 1700 จุดนะครับ ส่วนคนไม่มีถ้ากลัวตกรถจะซื้อหรือไม่ซื้อต้องคิดให้ถ้วนถี่นะ