ขอชวนคุย เรื่อง กาลามสูตร ( เห็นชาวพุทธบางคน ชอบแถ จริงๆ )

กระทู้สนทนา
กาลามสูตร  สอนเรื่อง   อย่าปลงใจเชื่อ  10  ประการ มีแค่นั้น  แต่  คนที่นับถือ พุทธก็แถไปแถมา  เห็นแล้วสังเวชใจ  ส่วนใหญ่เป็น  นักอภิธรรมซะด้วย   เลยอยากจะเชิญ  มาดริฟ  ในกระทู้นี้สะทีเดียว  

1. กาลามสูตร  สอน ชาวลามะ  ไม่ได้สอนชาว พุทธ

( อันนี้บ๊องตื้นที่สุด  สมัยพระพุทธเจ้า มีชีวิต ท่านก็สอนแต่ชาวอินเดีย  ถ้าเอา เหตุผล แบบนี้ คนไทยก็ไม่ต้องเอามา  หรือจะบอกว่า  ท่านสอนชาวลามะ  เพราะยังไม่มีศาสนา  แล้วที่  พระพุทธเจ้า  ท่านสอน  พราหมณ์  สอน คนลัทธิต่างๆ  มันคืออะไร  )

2.   ถ้าเรายังไม่แน่ใจยังไม่มีศรัทธา ก็ปฏิบัติตามทีทรงสอนชาวกาลามะ
แต่ถ้ามีศรัทธา ไม่คลอนแคลนละก็ เราปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นไปได้อย่างมั่นคงมั่นใจได้ทันที

( ลองแปลศรัทธา ว่า ปลงใจเชื่อ  ประโยคนี้ก็คือ  ถ้าเรายังไม่มีความปลงใจเชื่อ    ก็อย่าปลงใจเชื่อ  แต่ถ้าเรามี ความปลงใจเชื่อ อย่างเต็มที่แล้ว  เราจะปฎิบัติธรรมที่สูงขึ้นไปได้อย่างมั่นใจ  แปลแบบนี้จะเอาฮา ใช่ไหมครับ  ลองแปลใหม่ครับ   ลองแปล  ศรัทธา  เป็น  ความเข้าใจดู
ถ้าเรายังไม่เข้าใจ   ก็ อย่าปลงใจเชื่อ   แต่ถ้าเราเข้าใจอย่างท่องแท้  ไม่คลอนแคลน เราก็จะ  ปฎิบัติธรรม ที่สูงขึ้นไปได้อย่างมั่นใจ  )

3. อันนี้ของคุณ  คอนทร้า  เพื่อนผมเอง  แก่สรุป กาลามสูตร  10  ตรงคำที่ว่า   ให้พิจารณาว่า ให้ดูว่า ผู้รู้สรรเสริญ   แก่สรุปว่า  กาลามสูตร10  การอย่าปลงใจเชื่อ  กลายเป็น  ให้ไปดูว่า ผู้รู้สรรเสริญ หรือเปล่า   ผมถามว่า แล้วมันไม่ขัด  กับหลักการที่ว่า  อย่าปลงใจเชื่อเพราะผู้พูด  ดูน่าเชื่อถือ   อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเป็นครูของตน   อย่าปลงใจเชื่อ  เพราะอยู่ในตำรา   แก่  ก็ยังยืนยัน  ว่าให้ดูว่า  ผู้รู้  สรรเสริญ  หรือเปล่า   ผมถามว่าใครคือผู้รู้   คุณคอนทร้าแก่ก็ยกมาหลายชื่อ   ผมก็เลย  ถามต่อ  ในกาลามสูตร  10  บอกให้ใครดู   ให้ตนเองเป็นผู้ดู  ผู้พิจารณาเอง  ว่าธรรมนั้นให้คุณให้โทษอย่างไร  ถ้าให้โทษก็ให้ละ  ดูว่าธรรมนั้น ผู้รู้สรรเสริญ  ส่วนใครจะเป็น  ผู้รู้  มันก็มาจากความเข้าใจของตน  ไม่ใช่ไปปลง ใจเชื่อเอา ว่าคนนั้นคนนี้เป็นผู้รู้  แล้วให้เชื่อ   ( คุณคอนทร้าแก่ก็ดีนะ  หลังจากนั้นผมไม่เคยเห็นแก่อ้างแบบนั้นอีก )



        จริงๆ  เรื่อง  กาลามสูตร 10  อย่าปลงใจเชื่อ  มันเรื่องง่ายๆ คือ  อย่าปลงใจเชื่อ  ให้ใช้ความเข้าใจ  ตามนั้น  แต่ที่มันดูยาก  เพราะ ชาวพุทธ  รับความจริงไม่ค่อยได้  เลยแถไถไปเรื่อย  อ้างสารพัดสารเพ   ประมาณว่า  ก็  อยากจะปลงใจเชื่อ  มันถูกจริตดี   มันก็ไม่เท่าไร  แต่พอหนักขึ้น   พาลไปเกลียดความ  เข้าใจเลย  หาว่าการทำความเข้าใจ  คือการคิดไปเอง   การพิจารณา  แบบอิทิปปัจยตา   เป็นการคิดอัติโนมัติ
ก็แค่  อยากเตือน  ว่าที่พระพุทธเจ้า  ท่านไม่ให้  ปลงใจเชื่อ  ก็เพราะแบบนี้  มันจะโง่  มันจะไม่มีเหตุผล  มันจะอยู่กับข้ออ้างหลอกตัวเอง  แล้วใคร อย่ามาสงสัย  มาแย้งความเชื่อ  มันจะไม่ทำความเข้าใจอะไรทั้งนั้น   จะเป็นเดือดเป็นร้อน   หาข้ออ้างหลอกตัวเองมันต่อไป  บางทีก็พาลไปโกรธ  ไม่พอใจ  คนที่ไม่เชื่อเหมือนเราไปเลย

        ทั้งที่ความจริง  แค่อย่าปลงใจเชื่อ  ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจ  ก็ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปปลงใจเชื่อ  เพราะ  ความเชื่อมันไม่เห็นจำเป็น  ไม่เข้าใจก็คือ  ไม่เข้าใจ แค่นั้น  เรารู้เท่าที่รู้  เข้าใจเท่าที่เข้าใจ  ไม่เห็นจะเสียหาย  ใช่ว่า  พอไม่เข้าใจแล้วต้องเลือกเชื่อ  ไปเลือกทำไม  เลือกให้มันได้อะไร   ที่เลือกเชื่อ  เพราะมันทำให้อุ่นใจ   เพราะมันได้ข้ออ้างไว้หลอกตัวเอง   ถ้าหลอกตัวเองไม่ได้มันจะกลัว   มันจะไม่มั่นใจ   มันจะระแวงสงสัย   มันจะทุกข์   ทีนี้ทำไง  จะออกจากทุกข์แบบนี้    ทางออก  ไม่ใช่เลือกเชื่อ  หรือ เลือกจะปลงใจเชื่อ  แต่ทางออกคือ   การปล่อยวาง  ความเข้าใจ   คือไม่ต้องยึดติด   ว่าเราต้องเข้าใจ  เพราะการยึดติดความเข้าใจ   ก็ทำให้โง่ได้เหมือนกัน   ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ  ปล่อยวาง  ให้เป็น  เมื่อไม่ยึดติด   มันก็สงบ  ( ศีล ) เดวมันก็มี สมาธิ ( ไม่ฟุ้งซ่าน )  เดวปัญญา ก็เกิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่