ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีการรณรงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง นอกจากการต่อต้านเขื่อนแล้วก็มีกิจกรรมเช่นการรักษาต้นไม้ขนาดใหญ่ การต่อต้านตัดต้นไม้ถนนขึ้นเขาใหญ่ การรณรงค์ขี่จักรยาน ฯลฯ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่มนุษย์ตื่นตัวเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่คนในเมืองไม่ทราบคือ ตนเองมีส่วนในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรบ้าง (จะได้เลิกว่าคนบ้านนอกสักที)

ภาพการขยายตัวของกรุงเทพฯ เดิมเราคิดว่าตัดไม้ทำลายป่าและเกษตรกรรมคือสาเหตของการสูญเสียป่าไม้ แต่ปัจจุบันการขยายตัวของเมืองและการปรับตัวของอุตสาหกรรมกลับเป็นปัจจัยหลัก ภาพจาก
http://www.architectkidd.com/deforestation-increases-floods/
“คนมา ป่าหมด” ป่าไม้ในประเทศไทย ลดลงเนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น และประชากรในกรุงเทพยังมีสัดส่วนที่เพิ่มเมื่อเทียบกับประชากรนอกกรุงเทพฯ อ่าน กรุงเทพมหานคร: เมืองโตเดี่ยวตลอดกาลของประเทศไทย
การทำลายสภาพแวดล้อมในประเทศมีส่วนจากเมืองหลวงต้องการพลังงานเป็นอันดับ 1
พลังงานที่ส่งเข้าเมืองหลวง คือความสูญเสียทั้งพื้นที่และทรัพยากรในต่างจังหวัด
energythai เคยเขียนบทความไว้จากผลสำรวจปี 2554 แล้วว่า ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ 3 ห้างใช้ไฟฟ้าเทียบเท่ากับเขื่อน 3 เขื่อน จากข้อมูลจะเห็นว่า ห้างพารากอน 1 ห้าง ใช้ไฟฟ้าเท่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2 จังหวัด
- ห้างพารากอนมีขนาด 0.5 ตารางกิโลเมตร มีคนเฉลี่ย 2-30000 คนในช่วงกลางวัน ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีขนาด 12,681 ตร.กม. (ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของไทย) และมีประชากร 244,356 คน
- BTS และ MRT ก็ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ก็ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก
การใช้พลังงานในภาคครัวเรือนที่สูงมากของคนเมืองเป็นตัวที่ค่อนข้างชี้ถึงวิถีคนเมืองได้ชัด ผลสำรวจปี 2555 กรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดข้างเคียง(นนทบุรี,ปทุมธานี,สมุทรปราการ) ใช้พลังงานมากกว่าภาคอิสานทั้งภาค ถึง 2.1 เท่า โดยใช้ไฟฟ้ามากกว่า 3.4เท่า และใช้แก๊สโซฮอล์มากกว่าถึง 7.7 เท่า ในขณะที่ภาคอิสานใช้น้ำมันดีเซลสำหรับภาคการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ก็ยังใช้น้ำมันดีเซลน้อยกว่า กทม+3จังหวัดอยู่ดี (442 :563) ส่วนหนึงเพราะคนเมืองหลวงใช้ไฟฟ้ามาก มีรถยนต์มาก แม้ว่าจะมีขนส่งสาธารณะมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน (ซึ่งขนส่งสาธารณะก็กินพลังงานอย่างมาก)
ความต้องการพลังงานทำให้ที่ผ่านมาต้องสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า 9 เขื่อน เป็นการเบียดบังทรัพยากรและพื้นที่ของจังหวัดอื่นๆเป็นอย่างมากเพราะเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นเขตต้นน้ำ เขื่อนแม้จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้น้อยแต่มีประโยชน์ตรงที่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ทันที จึงใช้ตอบสนองช่วง Peak ของความต้องการไฟฟ้า นั่นคือเขื่อนมีบทบาทสำคัญทำให้ค่าไฟฟ้าไม่แพง
แม้อนาคตจะมีโครงการโซล่าห์ฟาร์มเกิดขึ้น ก็ยังต้องเบียดบังพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่ดี และการทำพลังงานทดแทน ก็ต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกพืชที่ให้พลังงาน ต้องใช้สารเคมีกับหน้าดินในพื้นที่รอบนอก หรือการทำพลังงานทดแทนจากของเสียก็ต้องทำให้พื้นที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยก๊าซมีเทน กลิ่นเหม็นและพื้นที่โดยรอบใช้ประโยชน์ไม่ได้
คนในเมืองหลวง คือผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับ 1 แต่ตนเองไม่รู้
ภาพการขยายตัวของกรุงเทพฯ เดิมเราคิดว่าตัดไม้ทำลายป่าและเกษตรกรรมคือสาเหตของการสูญเสียป่าไม้ แต่ปัจจุบันการขยายตัวของเมืองและการปรับตัวของอุตสาหกรรมกลับเป็นปัจจัยหลัก ภาพจาก http://www.architectkidd.com/deforestation-increases-floods/
“คนมา ป่าหมด” ป่าไม้ในประเทศไทย ลดลงเนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น และประชากรในกรุงเทพยังมีสัดส่วนที่เพิ่มเมื่อเทียบกับประชากรนอกกรุงเทพฯ อ่าน กรุงเทพมหานคร: เมืองโตเดี่ยวตลอดกาลของประเทศไทย
การทำลายสภาพแวดล้อมในประเทศมีส่วนจากเมืองหลวงต้องการพลังงานเป็นอันดับ 1
พลังงานที่ส่งเข้าเมืองหลวง คือความสูญเสียทั้งพื้นที่และทรัพยากรในต่างจังหวัด
energythai เคยเขียนบทความไว้จากผลสำรวจปี 2554 แล้วว่า ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ 3 ห้างใช้ไฟฟ้าเทียบเท่ากับเขื่อน 3 เขื่อน จากข้อมูลจะเห็นว่า ห้างพารากอน 1 ห้าง ใช้ไฟฟ้าเท่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2 จังหวัด
- ห้างพารากอนมีขนาด 0.5 ตารางกิโลเมตร มีคนเฉลี่ย 2-30000 คนในช่วงกลางวัน ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีขนาด 12,681 ตร.กม. (ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของไทย) และมีประชากร 244,356 คน
- BTS และ MRT ก็ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ก็ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก
การใช้พลังงานในภาคครัวเรือนที่สูงมากของคนเมืองเป็นตัวที่ค่อนข้างชี้ถึงวิถีคนเมืองได้ชัด ผลสำรวจปี 2555 กรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดข้างเคียง(นนทบุรี,ปทุมธานี,สมุทรปราการ) ใช้พลังงานมากกว่าภาคอิสานทั้งภาค ถึง 2.1 เท่า โดยใช้ไฟฟ้ามากกว่า 3.4เท่า และใช้แก๊สโซฮอล์มากกว่าถึง 7.7 เท่า ในขณะที่ภาคอิสานใช้น้ำมันดีเซลสำหรับภาคการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ก็ยังใช้น้ำมันดีเซลน้อยกว่า กทม+3จังหวัดอยู่ดี (442 :563) ส่วนหนึงเพราะคนเมืองหลวงใช้ไฟฟ้ามาก มีรถยนต์มาก แม้ว่าจะมีขนส่งสาธารณะมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน (ซึ่งขนส่งสาธารณะก็กินพลังงานอย่างมาก)
ความต้องการพลังงานทำให้ที่ผ่านมาต้องสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า 9 เขื่อน เป็นการเบียดบังทรัพยากรและพื้นที่ของจังหวัดอื่นๆเป็นอย่างมากเพราะเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นเขตต้นน้ำ เขื่อนแม้จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้น้อยแต่มีประโยชน์ตรงที่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ทันที จึงใช้ตอบสนองช่วง Peak ของความต้องการไฟฟ้า นั่นคือเขื่อนมีบทบาทสำคัญทำให้ค่าไฟฟ้าไม่แพง
แม้อนาคตจะมีโครงการโซล่าห์ฟาร์มเกิดขึ้น ก็ยังต้องเบียดบังพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่ดี และการทำพลังงานทดแทน ก็ต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกพืชที่ให้พลังงาน ต้องใช้สารเคมีกับหน้าดินในพื้นที่รอบนอก หรือการทำพลังงานทดแทนจากของเสียก็ต้องทำให้พื้นที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยก๊าซมีเทน กลิ่นเหม็นและพื้นที่โดยรอบใช้ประโยชน์ไม่ได้