รักละไม ไอทะเล บทที่ 5 ความวุ่นวายในงานอิเวนท์

กระทู้สนทนา
บทที่ 4 การแกล้งยกแรก
http://pantip.com/topic/30992198

บทที่  5 ความวุ่นวายในงานอีเวนท์

หลังจากส่งมุกมณีแล้วจิรายุสจึงขับรถตรงดิ่งกลับบ้าน ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจแวะร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างทางเพื่อหาอะไรกินรองท้องแต่ต้องล้มเลิกความคิด ซึ่งตัวเขาเองก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะอะไร จะว่าหงุดหงิดที่ถูกนางแบบสาวแกล้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเขาแก้ลำเธอไปแล้วตอนจอดรถกลางสี่แยก ซ้ำยังแถมให้นิดด้วยการใช้คำพูดกวนประสาทก่อนจากมา เมื่อนึกไม่ออกว่าทำไมชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับสติอารมณ์ แต่ต้องหยุดชะงักค้างไว้กลางคันเมื่อพบว่าภายในรถ ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมของมุกมณี

นั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว เพราะน้ำหอมที่นางแบบสาวใช้เป็นของแท้ราคาแพงจากต่างประเทศ จึงหอมจรุงใจต่างจากที่น้ำหอมที่พนักงานสาวในบริษัทใช้อย่างสิ้นเชิง  ถึงไม่มีความรู้เรื่องชนิดหรือยี่ห้อ แต่จากประสบการณ์ที่ได้พบปะกับผู้คน ทำให้เขาพอจะเดาออกว่าน้ำหอมที่มุกมณีใช้มีชื่อว่าอะไร เพราะเอกลักษณ์พิเศษของน้ำหอมประเภทนี้ก็คือ มันจะปรับสภาพกลิ่นให้เข้ากับตัวผู้ใช้ ทำให้คนรอบตัวสัมผัสความหอมที่แตกต่าง แม้สุภาพสตรีเหล่านั้นจะพรมกายด้วยน้ำหอมชนิดเดียวกันก็ตาม

กลิ่นอันทรงเสน่ห์ดุจเจ้าของทำให้จิรายุสเผลอสูดดมด้วยความหลงใหลไปหลายครั้ง แม้จะเลี้ยวเข้าคอนโดและจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมง และคงจะนานกว่านั้นหากท้องของเขาไม่ร้องอุทธรณ์ขึ้นมาเสียก่อน จิรายุสจึงจำต้องลงจากรถด้วยความเสียดาย

พอกลับเข้าห้อง สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกกินประทังความหิวคือบะหมี่สำเร็จรูป ระหว่างรอให้มันได้ที่ เขาคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย สวมใส่ชุดนอนเสร็จเขาจึงหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์เพื่อดูภาพยนต์ชุดต่างประเทศทางเคเบิ้ลทีวี จากนั้นจึงเปิดฝาครอบชามและใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ใส่ปากด้วยความหิว

ไม่ถึงอึดใจบะหมี่เพียงน้อยนิดก็หมดชาม จิรายุสจึงดื่มนมอุ่นๆตบท้ายอีกหนึ่งแก้วจากนั้นก็ปิดโทรทัศน์และดับไฟทุกดวงเพื่อเข้านอน ทั้งที่เหนื่อยมาทั้งวันแต่ทำยังไงเขาก็ข่มตาให้หลับลงไปไม่ได้ หลังจากนอนกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่สมองของชายหนุ่มก็หวนนึกไปถึงใบหน้าของมุกมณี

“จะคิดถึงเธอไปทำไมกันนะ”

เขาบ่นอย่างหงุดหงิดพลางปัดดวงหน้างามออกจากความคิด แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะต่อให้นึกถึงเรื่องอื่นสุดท้ายมันก็วกกลับมาหานางแบบสาวเจ้าอารมณ์คนนี้อีกจนได้ เมื่อไม่มีทางไล่ออกจากหัว สุดท้ายจิรายุสเลยตั้งสมาธิ มุ่งคิดถึงเธอเพียงคนเดียว

เขาทบทวนถึงสิ่งที่มุกมณีทำมาทั้งหมดแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดเธอจึงเจาะจงมานั่งรถเขา จะว่าชอบก็ดูไม่สมเหตุสมผล เพราะเพิ่งเจอหน้ากันแค่สองครั้ง แถมเขาเป็นเพียงพนักงานบริษัทตัวเล็กๆ ซ้ำรูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้หล่อล่ำเหมือนดาราบางคน ถึงจะพอมีเงินอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอจะให้นางแบบหรือสาวสวยคนไหนสนใจ

งั้นเธอเข้ามาวอแวเขาทำไม

จิรายุสตั้งคำถามพร้อมกับเปิดปากหาวอย่างง่วงงุน ถึงพยายามคิดอยู่หลายตลบ แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้สักที เมื่อนึกอะไรไม่ออก สุดท้ายชายหนุ่มจึงผล็อยหลับไป

*/*/*/*/*

เช้าวันรุ่งขึ้นจิรายุสไปทำงานด้วยความแจ่มใส วันนี้เขาตั้งใจจะทำงานโฆษณาให้เสร็จเพราะเหลือแค่เพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น นั่งทำไปได้สักพักนายประพจน์ก็เปิดประตูเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหา

“ทำอะไรน่ะเต่า”

เขาถามเสียงเครียด ชายหนุ่มทำหน้างงก่อนชี้ไปที่หน้าจอพร้อมกับตอบ

“ปรับแต่งโฆษณาครีมบำรุงผิวครับ” คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเครียด “มีอะไรหรือครับพี่พจน์”

“ยังจะมาถามอีก ลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร” นายประพจน์พูด จิรายุสเปิดปฏิทินตั้งโต๊ะดูและใจหายวาบ เมื่อเห็นเครื่องหมายดอกจันสีแดงและโน้ตตัวเล็กๆซึ่งเป็นลายมือเขาเองบันทึกไว้ว่า งานอีเวนท์

“เฮ่ย วันนี้แล้วเหรอ” ชายหนุ่มอุทานและหันไปกดเซฟงานที่ทำเอาไว้ ส่วนปากก็พูด “ขอโทษครับพี่ ผมลืมดูปฏิทิน เก็บพวกนี้เสร็จแล้วจะรีบไป”

“พวกช่างขนอุปกรณ์ไปรอที่รถหมดแล้ว ลงไปเจอพวกเขาในอีกสิบนาที ไม่อย่างนั้นคุณต้องนั่งแท็กซี่ไปเอง”

นายประพจน์เร่งเสียงดุก่อนออกจากห้อง ปล่อยให้จิรายุสสาละวนกับการจัดเก็บงาน เตรียมเอกสาร เฟลชไดรฟ ซึ่งเป็นกำหนดการและรายละเอียดของงานอีเวนท์ยัดใส่เป้ประจำตัว จากนั้นจึงเผ่นลงไปยังลานจอดรถชั้นล่างโดยไม่ลืมหยิบโน้ตบุคซึ่งลงโปรแกรมของงานครั้งนี้เอาไว้ติดมือไปด้วย เมื่อไปถึง ชายหนุ่มก็พบว่าบรรดาช่างและพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกำลังรออยู่ พอทุกคนมากันครบแล้ว ทั้งหมดจึงออกเดินทาง

โชคดีที่ห้างสรรพสินค้าอันเป็นสถานที่จัดงานอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเท่าใดนัก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็ถึงที่หมาย ทุกคนช่วยกันลำเลียงอุปกรณ์เข้าไปในห้าง เนื่องจากฝ่ายจัดฉากได้สร้างเวทีรอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน งานของเจ้าหน้าที่ในภาคเช้าก็คือจัดเตรียมคอมพิวเตอร์และเครื่องควบคุมแสง สี เสียง ให้พร้อม ซึ่งงานส่วนนี้จิรายุสต้องรับผิดชอบดูแลโดยตรง หลังจากทดสอบระบบหลายครั้งจนแน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาจึงนั่งทบทวนคิวงานทั้งหมดอีกรอบเพื่อกันความผิดพลาด จากนั้นคนของบริษัทอีกกลุ่มซึ่งตามมาสบทบ ได้นำเสบียงซึ่งเป็นแซนวิชกับกาแฟและนมสดมาแจกจ่าย ชายหนุ่มจึงนั่งกินไปตรวจเช็คเครื่องเสียงและระบบไฟไปจนกระทั่งถึงเวลาห้างเปิดทำการ แต่กำหนดการของงานดังกล่าวคือ 12 นาฬิกาตรง ดังนั้นจึงยังพอมีเวลาให้จิรายุสเดินสำรวจไปรอบๆ กระทั่งนางแบบทยอยกันเข้ามา

คนแรกที่มาถึงคือช่อแก้วกับร้อยตำรวจเอกสันติ แฟนหนุ่ม ซึ่งไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนทุกครั้ง เมื่อส่งแฟนสาวเข้าห้องแต่งตัวแล้ว นายตำรวจหนุ่มจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้แถวหลังสุดและกวาดตามองไปโดยรอบเหมือนต้องการสำรวจตรวจตรา กระทั่งหันมาเห็นจิรายุสซึ่งเดินโต๋เต๋อยู่แถวนั้นเข้าโดยบังเอิญ

“ยุส” เขาเอ่ยทัก ชายหนุ่มหันหน้ามาตามเสียง เมื่อเห็นคนเรียกจึงยิ้มกว้าง

“พี่สันต์” เขาเดินเข้าไปตบแขนทักทายด้วยความดีใจ “มาทำอะไรแถวนี้ แล้ววันนี้ไม่ทำงานหรือครับ”

“ผมพักร้อน” สันติตอบ จิรายุสเบิกตากว้างเหมือนสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์

“คนไม่เคยหยุดงานเลยสักครั้งอย่างพี่สันต์ลาพักร้อน แบบนี้มีหวังหิมะตกกลางห้างแหง”

นายตำรวจหนุ่มหัวเราะด้วยความขบขัน

“พูดเกินไปน่ายุส ผมน่ะไม่ได้อยากหยุดหรอก แต่เจ้านายนะสิบังคับให้ลา”

จิรายุสเลิกคิ้วสุง เพราะเจ้านายที่ตำรวจหนุ่มพูดถึง คือ พลตำรวจโทวีระชัย บวรกมลพงศ์ ลุงของเขาเอง

    “แปลกจริงๆด้วย”

เขาพึมพำ เพราะลุงคนนี้เป็นคนซื่อตรง ขยันขันแข็ง จริงจัง ตั้งแต่รับราชการตำรวจ ไม่เคยลางานสักครั้งนอกจากป่วยจนเดินไม่ไหวจริงๆ นิสัยดังกล่าวถ่ายทอดไปถึงลูกน้อง เพราะแต่ละคนเอาจริงเอาจังกับงาน การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถคลี่คลายคดีสำคัญได้หลายคดี จนได้รับฉายาว่าเป็นหน่วยพิฆาตอธรรมแห่งสำนักงานตำรวจ

นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินว่าท่านสั่งให้ลูกน้องลาพักร้อน ซึ่งพอคิดดูอีกทีแล้วลุงของเขาคงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของราชการ จิรายุสจึงไม่อยากรู้รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นและกลับไปให้ความสนใจคู่สนทนาต่อ

“ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน  เสร็จงานเราไปหาที่นั่งคุยกันต่อดีมั้ยครับ”

    “ยุสมาทำงานหรอกเหรอ” สันติถาม อีกฝ่ายพยักเพยิดหน้าไปที่เวทีกลางห้าง

    “บริษัทผมเป็นคนจัดงานอีเวนท์วันนี้ครับ”

    “พอดีเลย แฟนพี่ก็มางานนี้เหมือนกัน” เขาบุ้ยใบ้ไปยังห้องด้านหลังเวที จิรายุสทำตาโต

    “แฟนพี่เป็นนางแบบเหรอครับ”

    “ใช่” นายตำรวจหนุ่มตอบอย่างภูมิใจและยิ้ม “แล้วของยุสล่ะ”

    จิรายุสหัวเราะแหะๆพร้อมกับขยับแว่นตาแก้เก้อ

    “ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยครับ”

    “ยังไม่เจอคนถูกใจมากกว่า” สันติกระเซ้า พลางขยับข้อมือเพื่อดูนาฬิกา จิรายุสจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายมีธุระจึงรีบออกตัว

    “จวนจะได้เวลาแล้ว ผมขอตัวไปตรวจระบบไฟก่อน เสร็จงานแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน พี่สันต์อย่าหนีกลับก่อนเชียวนะครับ”

    นายตำรวจหนุ่มส่งยิ้มให้แทนคำตอบ เมื่อจิรายุสเดินห่างไปพอสมควรแล้วเขาจึงเริ่มเดินเป็นวงพร้อมกับกวาดตามองไปโดยรอบ เหมือนกำลังหาใครบางคน เมื่อไม่พบจึงกลับไปนั่งเก้าอี้แถวสุดท้ายตามเดิม แต่ก็ยังคงไล่สายตาไปทั่วอย่างระมัดระวังตลอดเวลา พอสะดุดกับอะไรบางอย่างเขาก็จะหยุดและมองอย่างพิจารณา เมื่อไม่ใช่สิ่งที่กำลังค้นหาแล้ว จึงแสร้งทำเป็นเสมองไปด้านอื่น เพื่อหาเป้าหมายต่อไป

    ด้านจิรายุสเมื่อกลับไปยืนประจำตำแหน่งแล้วเขาก็เริ่มเปิดดนตรีที่ถูกกำหนดให้เป็นเพลงเปิดงาน จังหวะที่ค่อนข้างเร้าใจทำให้เขาเผลอโยกตัวตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน จึงไม่ทันสังเกตเห็นมุกมณีที่เดินเข้ามาในงานพร้อมเย็นตาโฟ นางแบบสาวเหลือบมองชายหนุ่มแวบหนึ่งและอมยิ้มอย่างขบขันที่เขาทำตัวเหมือนเด็ก ตอนแรกเธอคิดจะเข้าไปแหย่ให้อีกฝ่ายปวดหัวเล่นแต่พอเห็นกลุ่มนักข่าวที่เริ่มรุมล้อมกันเข้ามา หญิงสาวจึงเลี่ยงเข้าไปในห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ด้านหลังของเวที

    เมื่อเข้าไปด้านใน มุกมณีจึงรู้ว่าช่อแก้วมาถึงก่อนและกำลังวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวจนไม่มีเวลาหาเรื่องเธอเหมือนทุกครั้ง หญิงสาวแอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะสถานที่จัดงานในวันนี้ค่อนข้างคับแคบจนเดินแทบจะชนกันแถมผนังกั้นยังบางเฉียบขนาดกระซิบเบาๆ คนที่อยู่ข้างนอกยังได้ยิน ขืนนางแบบทะเลาะกันมีหวังได้ยินไปหูนักข่าวแน่

    พิธีกรซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังเดินเข้ามาทักทายทั้งมุกมณีและช่อแก้ว จากนั้นจึงเริ่มซักซ้อมคิวของแต่ละคน ระหว่างที่นัดแนะเพื่อทำความเข้าใจกันอยู่นั้นรัศมีฟ้าก็เดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้ามาสมทบ เธอกล่าวขอโทษทุกคนที่มาช้าก่อนหันไปส่งยิ้มให้กับมุกมณี

“ต๊าย วันนี้คุณฟ้ามาขาวทั้งชุดเลยนะคะ” เย็นตาโฟเอ่ยทักเมื่อเห็นรัศมีฟ้าอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวทั้งชุด ไม่เว้นแม้แต่กิ๊บติดผม กระเป๋าและรองเท้า เธอส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมกับตอบ

    “วันนี้วันพระ ฟ้าเลยเข้าวัดทำบุญตักบาตร เนี่ยเอาบุญมาฝากทุกคนเลยนะคะ” พูดพลางพนมมือและแตะทุกคนไล่ตั้งแต่ช่างแต่งหน้าไปจนถึงทีมงาน แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสกับมือของ
มุกมณี ช่อแก้วก็พูดประชด

    “ใจบุญสุนทานกันจังเลยนะ”

รัศมีฟ้าหันไปส่งยิ้มให้กับช่อแก้วก่อนโต้กลับเสียงเย็น

    “ค่ะ นางแบบอย่างเราทำงานอยู่กับโลกีย์ มีเวลามันก็ต้องเข้าวัดทำบุญชำระจิตใจให้สะอาดบ้าง”  

    “กลัวจะสะอาดแค่ปากน่ะสิ อย่างประโยคที่ว่า อะไรนะ” ช่อแก้วลากเสียงทำท่านึกและเบิกตาโตพร้อมกับลอยหน้าลอยตาพูด “ใช่แล้ว มือถือสาก ปากถือศีลไง”

“คนเขาจะทำบุญ มันไปหนักส่วนไหนของคุณเหรอ” เย็นตาโฟโพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด ช่อแก้วแบะปากและมองเขาด้วยหางตาก่อนตอบ

    “ก็ไม่ได้หนักส่วนไหนหรอก แต่มันทุเรศ”

“คุณช่อแก้ว” รัศมีฟ้าเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ดุดันผิดไปจากทุกครั้ง แต่ช่อแก้วกลับหมุนตัวเดินไปแต่งหน้าทำผมต่ออย่างไม่สนใจ เมื่อเห็นคู่กรณียอมสงบปากสงบคำแล้วมุกมณีจึงพูดกับรัศมีฟ้า

    “งานจะเริ่มแล้ว คุณฟ้ารีบแต่งตัวเถอะค่ะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่