รักละไม ไอทะเล บทที่ 4 การแกล้งยกแรก

กระทู้สนทนา
บทที่ 3 การพบกันอีกครั้ง
http://pantip.com/topic/30977263

บทที่ 4 การแกล้งยกแรก

ลมหายใจที่ถูกระบายเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เสียงสะอึกสะอื้นสลับกับคำอ้อนวอนอันแสนอ่อนระโหยดังขึ้นมาหลายครั้ง แต่ไม่ทำให้ชายฉกรรจ์สองคนซึ่งยึดแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวอยู่นั้นมีความเมตตาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม หนึ่งในนั้นยังฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าของเธออย่างแรงพร้อมกับตะคอก

“หุบปาก !”

หญิงสาวยอมเงียบตามคำสั่งแต่ยังคงสะอื้นไห้ ดวงตาที่บอบช้ำจ้องตรงไปยังประตูด้วยความหวังว่าจะมีใครบางคนเข้ามาช่วยแต่ความคิดนั้นก็สลายหายไปเมื่อเสียงรองเท้าก้าวเดินอย่างเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามา ไม่ต้องเห็นหน้า เธอก็จำได้ว่าเจ้าของฝีเท้าคนนี้เป็นใคร

บานประตูเปิดออก ผู้ที่ก้าวเข้ามาคนแรกเป็นชายผอมแห้งหน้าเสี้ยม เขาไล่สายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องก่อนเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง หลีกทางให้ชายอีกคน

แม้ดวงตาจะพร่ามัวแต่หญิงสาวก็จำชายคนนี้ได้ดี ร่างกายสูงใหญ่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าชั้นดีราคาแพง ท่าทางในมาดสุภาพบุรุษกับใบหน้าหล่อเหลาชวนให้ผู้หญิงทุกคนหลงใหล แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้หน้ากากคมสันนั้น คือปิศาจร้ายที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก

“ว่าไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นสภาพบอบช้ำของหญิงสาว หนึ่งในคนที่ยึดตัวเธอไว้ตอบอย่างนอบน้อม

“มันซื้อตั๋วเตรียมบินหนีไปเมืองนอกครับพี่ยศ”

ดวงตาคมปลาบตวัดกลับมายังหญิงสาวอีกครั้ง มือที่ครั้งหนึ่งเคยลูบไล้เธออย่างทะนุถนอมเชยคางกลมมนขึ้นและบีบอย่างแรง

“โง่มากที่คิดหนีไปจากฉัน”

“ได้โปรด” เสียงแหบพร่าอ้อนวอน แต่ไม่ทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความเห็นใจหรือปรานีเธอเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาผลักหญิงสาวออกไปค่อนข้างแรงจนศีรษะหงายพร้อมกับสั่ง

“เก็บมัน”

ลูกน้องคนหนึ่งมองเรือนร่างของหญิงสาวแล้วกลืนน้ำลายลงคอ

“ขอผมสนุกก่อนได้มั้ยพี่”

“ไม่ได้ !” คนเป็นหัวหน้าตวาดลั่น ชายหน้าเสี้ยมจึงล้วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบปืนพกอัตโนมัติออกมาแต่คนเป็นนายกลับยกมือห้าม “ใช้นั่นดีกว่า”

มือเพชฌฆาตผงกศีรษะอย่างเข้าใจ เขาเก็บปืนกลับที่เดิมและล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงดึงกล่องพลาสติกสีดำออกมาเปิด เมื่อเห็นหลอดฉีดยาขนาดเล็กที่บรรจุอยู่ในนั้น หญิงสาวต้องเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว

“ไม่”

“อย่ากลัวไปเลย รับรองว่าเธอจะรู้สึกเป็นสุขจนกระทั่งถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย”

ชายหน้าเสี้ยมจรดปลายเข็มลงบนแขนของหญิงสาวและฉีดของเหลวสีขาวขุ่นที่มีอยู่เกือบเต็มหลอดเข้าไปร่างของเธอทั้งหมด เมื่อถอนเข็มออก ชายสองคนก็ปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ เธอรีบคลานเข้าไปหาคนที่เป็นหัวหน้าแต่ก็แค่ขยับแขนได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น ทั้งร่างก็เกิดอาการสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เธออ้าปากหอบหายใจอย่างหนักและล้มลงนอนบิดไปมาอย่างทรมาน ดวงตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด น้ำลายเป็นฟองฟูฟ่องไหลทะลักออกมาจนท่วมท้นริมฝีปากซีด ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะขาดสะบั้นลง เธอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกำขากางเกงสุภาพบุรุษคนนั้นแน่นพร้อมกับแค่นเสียงเรียก

“คุณทรงยศ”

คนถูกเรียกยืนนิ่งไม่ขยับกระทั่งหญิงสาวแน่นิ่งไปแล้วเขาจึงดึงขาของตัวเองให้หลุดจากมือของเธอและหมุนตัวเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมออกคำสั่ง

“เอาไปทิ้ง”

เสียงรับคำของสองลูกสมุนดังพร้อมกับเสียงเพลงจากสมาร์ตโฟน เขาดึงออกมาดูหมายเลขบนหน้าจอก่อนกดปุ่มรับ

“ครับ” เขานิ่งไปเล็กน้อยเพื่อฟังคำของอีกฝ่ายและยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องห่วง ผมเก็บมันไปเรียบร้อยแล้ว ทางคุณละว่ายังไง มีแววว่าจะได้ห่านตัวนั้นแล้วหรือยัง ลูกค้าเร่งมาแล้วนะ”

เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทรงยศในลำคอก่อนพูดเสียงเหี้ยม

“ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณทำไม่ได้จริงๆ ผมจะเป็นคนลงมือจัดการเอง”

เขาปิดโทรศัพท์และเดินตรงไปยังห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ชั้นสามของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ห่างจากชุมชนมากและติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่ออยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มจึงรินคอนยัคราคาแพงลงแก้วและออกไปยืนชมทิวทัศน์ยามเย็นที่ระเบียงพลางคิดถึงแผนการที่เตรียมไว้สำหรับเหยื่อรายต่อไป ดื่มด่ำกับความคิดอันชั่วร้ายอยู่ครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขากล่าวอนุญาตชายหน้าเสี้ยมก็ก้าวเข้ามา

“เสร็จเรื่องแล้วเหรอ” เขาถามโดยไม่หันหน้า อีกฝ่ายผงกศีรษะรับพร้อมกับอธิบาย

“ครับ ผมให้ลูกน้องพานังนั่นไปไว้ในโรงแรมม่านรูด พรุ่งนี้เช้าคงมีคนไปพบ”

“ไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ใช่ไหม” ทรงยศถาม เพชฌฆาตประจำตัวกระตุกมุมปากยิ้มด้วยความภาคภูมิ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องแบบนี้

“ไม่มีแน่นอนครับ อีกอย่างพวกตำรวจคงไม่สนใจคดีนี่แน่ เพราะแม่นี่หายหน้าไปจากวงการนางแบบนานแล้วแถมมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องยา คนคงคิดว่าหล่อนตายเพราะเสพยาจนเกินขนาด”

ทรงยศยืนนิ่งฟังจนอีกฝ่ายพูดจบแต่ไม่กล่าวอะไรตอบ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเจ้านายยกแก้วคอนยัคขึ้นดื่มด้วยท่าทางเคร่งขรึมแล้วจึงเอ่ยปากถาม

“มีเป้าหมายใหม่แล้วหรือครับ”

“ใช่”

“จะให้พวกผมลงมือเมื่อไหร่ครับ” ชายหน้าเสี้ยมถาม คนเป็นนายสั่นศีรษะ

“ยังไม่ต้อง ทางนั้นขอเป็นคนลงมือก่อน ถ้าไม่ไหวจริงเราค่อยจัดการ” เขาหมุนแก้วในมืออย่างใช้ความคิด “แต่เหยื่อคนนี้หนังเหนียวกว่าที่คิดเพราะแคล้วคลาดหลุดมือไปหลายครั้ง บางทีอีกสองสามวันผมคงต้องไปเยี่ยมหล่อนด้วยตัวเอง”

เขาดื่มน้ำสีอำพันรวดเดียวหมดแก้วก่อนมองแสงสุดท้ายของดวงตะวันที่กำลังลาลับไปจากขอบฟ้า มันสะท้อนดวงตาสีน้ำตาลที่ลุกวาวจนน่ากลัวก่อนจะดับวูบไป

*/*/*/*/*

กลิ่นน้ำหอมที่โชยมาในห้องทำให้จิรายุสต้องพ่นลมหายใจออกทางจมูกดังฟุดฟิด ถึงจะเป็นน้ำหอมแต่เพราะไม่ใช่ของแท้ราคาแพงทำให้กลิ่นที่ควรจรุงใจกลับกลายเป็นฉุนจัดจนคนสัมผัสแทบจาม และความที่สูดกันอยู่เป็นประจำทุกวัน แม้ไม่เห็นก็รู้ว่าเจ้าของกลิ่นเป็นใคร

“มีอะไรหรือครับน้องพู่”

ชายหนุ่มเอ่ยปากถามทั้งที่มือยังสาละวนอยู่กับการปรับแต่งภาพ พนักงานสาวชะงักมือที่กลังยืนมาสะกิดพร้อมกับขมวดคิ้วย่น

“แหม อุตส่าห์เข้ามาเงียบๆ พี่เต่ารู้ได้ยังไงค่ะว่าเป็นพู่”

“ผมจำกลิ่นได้น่ะครับ” จิรายุสตอบและเว้นระยะเล็กน้อยเหมือนรอให้อีกฝ่ายยืนอมยิ้มจึงพูดต่อ “เพราะมันเป็นกลิ่นเดียวในบริษัทที่ทำให้ผมจามจนแสบจมูกทุกครั้ง”

กำปั้นของหญิงสาวฟาดตุ้บลงไปกลางหลัง

“พี่เต่าเนี่ยใจร้ายจัง พูดแบบนี้ได้ยังไง”

จิรายุสหัวเราะพร้อมกับกดปุ่มเพื่อเซฟงานก่อนหันไปมองน้องพู่ที่ยืนหน้าง้ำ

“พี่ล้อเล่น ว่าแต่มีอะไรเหรอถึงได้เข้ามาในนี้”

ที่ถามเพราะปรกติแล้วห้องตัดต่อจะไม่อนุญาตให้ผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปเดินยุ่มย่ามน้องพู่ค้อนขวับก่อนตอบ

“พี่พจน์ให้ไปพบที่ห้องค่ะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะภายในห้องตัดต่อก็มีโทรศัพท์ติดต่อภายใน ทำไมหัวหน้าแผนกถึงไม่เรียกเขาโดยตรง แต่ถึงจะสงสัยจิรายุสก็ยังผงกศีรษะ

“งั้นรบกวนน้องพู่ไปบอกพี่พจน์ว่าขอพี่เซฟงานกับปิดเครื่องก่อน”

พนักงานสาวรับคำในขณะที่ดวงตาเหลือบมองภาพบนจอด้วยความอยากรู้ พอเห็นงานโฆษณาที่ชายหนุ่มทำ เธอก็หลุดปากอุทานออกมาด้วยความทึ่ง

“โห สวยจังเลยค่ะ”

จิรายุสหันไปมองภาพของมุกมณีที่เอียงหน้าเล็กน้อยพร้อมกับส่งสายตาและรอยยิ้มหวานฉ่ำอยู่ท่ามกลางกลีบดอกซากุระ แม้จะไม่มีแสงประหลาดเหมือนคราวก่อน แต่ใบหน้านวลเนียนกับผิวพรรณอันเปล่งปลั่งอมชมพู ทำให้เธอดูงามเฉิดฉายกว่านางแบบทุกคนที่เขาเคยพบ

“ใช่สวย” เขาพึมพำและนึกแปลกใจที่อยู่ๆทรวงอกด้านซ้ายเกิดอาการเต้นตุบๆ ด้วยจังหวะเร็วกว่าทุกครั้ง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อไล่ความรู้สึกนั้นพลางคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขานอนน้อยและทำงานหนักเกินไป แต่พอสบกับดวงตาคู่สวยจิรายุสก็ลืมสิ่งที่คิดไปทั้งหมด เขาคงนั่งแข็งเป็นหุ่นอยู่อย่างนั้นถ้าไม่มีเสียงน้องพู่พูดขึ้น

“เหมือนนางฟ้าเลยนะคะ”

ชายหนุ่มสะบัดศีรษะสองสามครั้งเหมือนต้องการไล่ความรู้สึกประหลาดที่พุ่งวาบเข้ามาในหัว เขายอมรับว่ามุกมณีสวยราวกับนางฟ้าแต่พอนึกถึงฤทธิ์เดชต่างๆนานาของเธอแล้ว เขาจึงส่ายหน้า

“อย่างคุณมุกคงเป็นนางฟ้าแห่งความพินาศ”

พนักงานสาวหัวเราะคิกคักพลางตีต้นแขนจิรายุสไม่แรงนัก

“ถ้าคุณมุกมณีมาได้ยินมีหวังความพินาศได้มาเยือนพี่เต่าแน่ๆ” เธอเดินไปเปิดประตู แต่ยังไม่วายหันกลับมาพูดก่อนออกจากห้อง

“เร็วหน่อยนะคะ อย่าให้พี่พจน์รอนาน”

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เธอแทนคำตอบ จากนั้นจึงเก็บงานและปิดเครื่อง เมื่อตรวจดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินไปหานายประพจน์ที่ห้องทำงานจึงพบว่าสาเหตุที่ถูกเรียกพบคือ เขาและคุณพีระได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเปิดตัว อัญมณีแห่งหิมพานต์

“มันจะดีเหรอครับ” ที่ถามเช่นนี้เพราะสำหรับนายพีระ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทและนับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าคนหนึ่งในสังคม คำเชิญให้ไปร่วมงานระดับสูงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับตัวเขาซึ่งเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้ นายประพจน์ไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม

“แล้วมันแย่ตรงไหน”

จิรายุสอ้าปากค้างนิ่วหน้าเหมือนพยายามนึกหาคำตอบ คนเป็นหัวหน้าจึงยิ้ม

“มันก็แค่งานเปิดตัวสินค้าธรรมดา อีกอย่างทางนั้นเขาชอบอกชอบใจผลงานชิ้นนี้มาก มีแววว่าจะทำสัญญาโฆษณาต่ออีกหลายชุด คุณพีระเลยอยากให้คุณไปโชว์ตัวและดูว่าสินค้าแต่ละชิ้นมีลักษณะแบบไหน ตอนรับงานจะได้ทำถูก”

จิรายุสถอนใจออกมาเบาๆ ความจริงแล้วเขาไม่ได้กลัวเรื่องการพบปะผู้คนเลยสักนิดเพราะตอนฝึกงานและเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เขาเคยไปดูงานร่วมกับบริษัทของน้ำทิพย์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมาแล้วหลายครั้ง บางทีได้ไปต่างประเทศด้วยซ้ำ แต่คราวนี้ต่างกันเพราะชายหนุ่มแน่ใจว่านอกจากจะได้พบกับเหล่าบรรดาแขกผู้มีเกียรติในวงสังคมแล้ว เขาต้องเจอกับมุกมณีแน่ แต่ที่เดาไม่ออกว่าเธอจะยังคงผูกใจเจ็บอยู่กับเขาอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็คงจะดี แต่ถ้าเธอยังไม่ลืมแล้วละก็ เป็นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่     

ชายหนุ่มขมวดคิ้วคิดจนหน้าผากย่น ถ้ามองอีกมุม งานเปิดตัวครั้งนี้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ ย่อมมีบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมมาร่วมงานเป็นจำนวนไม่น้อย ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติซึ่งมีผลโดยตรงต่อภาพพจน์และอาชีพ นางแบบสาวเจ้าอารมณ์คนนี้คงไม่กล้าทำอะไรไร้สาระกับเขาหรอก ดังนั้นจึงควรตัดความกังวลในเรื่องนี้ออกไป

“ต้องคิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงนายประพจน์ดึงจิรายุสให้หลุดออกจากภวังค์ เขาหัวเราะแก้เก้อก่อนตอบ

“ครับ เพราะผมคิดว่างานใหญ่แบบนี้คงต้องไปแต่งผม ทำเล็บ ตัดเสื้อผ้าใหม่หมด บางทีอาจต้องลางานสักสองสามวัน”

คารมกวนประสาทคราวนี้ทำให้นายประพจน์เกิดอาการหมั่นไส้จนนึกอยากจะเตะลูกน้องจอมทะเล้นสักป้าบก่อนพูด

“ผมให้ไปงานเลี้ยงเปิดตัว ไม่ใช่เดินแฟชั่น” เขาชี้หน้าชายหนุ่ม “คุณไปกับเจ้านายแถมในนั้นมีแต่ผุ้หลักผู้ใหญ่อย่าได้เผลอไปทำทะลึ่งเข้าเชียว”

“ทราบแล้วครับ” จิรายุสรับคำพร้อมกับเก็บบัตรเชิญเข้ากระเป๋ากาง “หมดเรื่องแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้ไปทำงานต่อ”

“มีอีกเรื่อง” คราวนี้นายประพจน์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จริงจัง “ผมรู้ว่ามันผิดกฎและคุณไม่ชอบ แต่ถ้าคุณมุกมณีขอดูโฆษณาที่เธอแสดงแล้วละก็ คุณต้องเปิดให้”

“มันจะดีหรือครับ” ชายหนุ่มย้อนถาม ประพจน์ถอนใจออกมาเบาๆ

“ผมนำเรื่องเมื่อวันก่อนไปปรึกษากับคุณพีระมาแล้ว ท่านอนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ เฉพาะแค่คุณมุกมณีเพียงคนเดียว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่