AJPบทเรียนแสนแพง
ราคาพื้นฐาน2.40บ.
AJP บทเรียนราคาแพงของหุ้นรีแฮบโก้ ราคาหุ้นร่วงต่อเป็นวันที่สาม จากดาว (20 บาท) สู่ดิน (8.45 บาท) ราคาหุ้นร่วง 2 ฟลอร์ ประเมินงบ หากทำกำไรได้เท่านี้ต่อไปเรื่อยๆ กว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมด 78.69 ล้านบาท ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ไตรมาส หรือ ประมาณ 2 ปีครึ่ง ราคาพื้นฐานไม่ควรเกิน 2.40 บาท
การกลับเข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้งของ บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) หรือ AJP หลังจากที่ถูกห้ามซื้อขายไปนาน 16 ปี หลายคนคาดหวังว่าราคาหุ้นจะเป็นหุ้นบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายร้อย หลายพันเท่า สตอรี่ที่ถูกวาดฝันให้กับนักลงทุนไปไกลจนสุดกู่ แบบไปแล้วไปเลย ไปไม่กลับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 20 บาท เทียบราคาปิดที่ระดับ 0.23 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น AJP ที่กลับมาซื้อขายวันแรก วันที่ 11 ก.ย. 2556 ราคาเปิดครั้งแรกที่ 13 บาท สูงสุด 17.80 บาท บวกไป 17.57 บาท เพิ่มขึ้น 7,639.13% เทียบราคาปิดเทรดครั้งสุดท้ายที่ราคา 0.23 บาท มูลค่า 2,964 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 12 ก.ย. 2556 ราคาหุ้นเปิดที่ระดับ 17.70 บาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 20 บาท โดยบรรยากาศการซื้อขายหุ้น AJP มีการปรับตัวขึ้น-ลงตามดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวบวก-ลบตลอดทั้งวัน โดยราคาหุ้นAJP สามารถยืนระยะได้ที่ระดับ 19 บาทตลอดทั้งวัน จนถึงเวลา 16.00 น. ราคาหุ้นก็ยังสามารถยืนได้ที่ระดับ 18.50 บาท
โดยช่วงเวลาหลัง 16.00 น. มีการปล่อยข่าวลือในห้องค้าของโบรกเกอร์ ว่า จะมีการแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม พอหลังจากมีการกระจายข่าวลือออกมานานพอสมควรแล้ว ก็มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลา16.10 น. ราคาได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยมีแรงขายที่เป็นออเดอร์หลักแสนหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ฝั่ง bid เหลือตั้งออเดอร์อยู่หลักหมื่นหุ้น ทำให้ราคารูดจากระดับ 18.50 บาท ลงมาที่ 15.50 บาท และมีแรงซื้อกลับ หวังพยายามยันราคาไว้ที่ระดับ 16 บาท ซึ่งเชื่อว่าแรงซื้อที่มีเข้ามานั้นเป็นแรงซื้อของคนที่เชื่อว่าจะมีการแจกวอร์แรนต์ฟรีตามข่าวลือที่กระจายไปทั่วห้องค้าทุกแห่ง แต่เนื่องจากแรงขายมีมากกว่าแรงรับ จึงทำให้ไม่มีออเดอร์เข้ามารับของ
หลังจากที่ราคาหุ้นไหลมาอยู่ที่ระดับ 15.50 บาทเดิม ก็มีแรงยื้ออยู่สักระยะที่ระดับ 14.90 บาท จากนั้นก็หลุดแนวรับสำคัญ ทำให้ไหลจนติดฟลอร์ (floor) ที่ 12.50 บาท จากนั้นก็มีแรงงัดซื้อกลับขึ้นมาจากราคาฟลอร์ จากนั้นก็มาเล่นกันที่ ราคา13.40-13.50 บาท ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง call market ตอนปิดตลาดหลังเวลา 16.30 น.
สำหรับราคาสุดท้ายก่อน call market อยู่ที่ 13.30 บาท จนปิดตลาดที่ระดับ 12.50 บาท ติดฟลอร์ โดยมีปริมาณหุ้นที่ซื้อขายช่วง call market จำนวนทั้งหมด 4,974,900 หุ้น จะเห็นได้ว่าราคาสุดท้ายก่อนปิดตลาดหุ้นอยู่ที่ 13.30 บาท แต่ปิดตลาดที่ระดับ 12.50 บาท แสดงให้เห็นมีว่าแรงเทขายออกมา ขณะที่ฝั่งรับน้อยมาก
วันต่อมา (13 ก.ย.) ราคาหุ้น AJP ติดฟลอร์อีกครั้ง ปิดที่ระดับ 8.75 บาท ติดลบ 3.75 บาท หรือลดลง 30% จนวานนี้ (16 ก.ย.) ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลงอีก โดยปิดที่ระดับ 8.45 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือ -3.43% แม้ไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวปิดที่ระดับ 1,445 จุด หรือบวกไป 44.03 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.14%
การหาคำตอบว่า หุ้น AJP จะลงตกลงไปต่ำอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ประกอบกับราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในปัจจุบันเป็นราคาที่สูงเกินพื้นฐานไปหรือไม่ คนที่จะให้คำตอบได้ดี น่าจะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ประเมินพื้นฐานของหุ้นตัวนี้
AJP ราคาพื้นฐานเหมาะสมไม่เกิน 2.4 บ.
การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น AJP เป็นการปรับตัวลงไปหาพื้นฐาน หรือราคาที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะ บทวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จากงบการเงินล่าสุดสิ้นไตรมาส 2/56 AJP มีส่วนของผู้ถือหุ้น 130 ล้านบาท (มีขาดทุนสะสมที่ราว 78 ล้านบาท) คิดเป็นมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น 0.65 บาท ถึงแม้ค่าเฉลี่ยราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (PBV) ของกลุ่ม MEDIA อยู่ที่ประมาณ 5.1 เท่า แต่ด้วยบริษัทเพิ่งเริ่มต้นสู่การฟื้นตัว ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ถึงความสำเร็จ และยังมีขาดทุนสะสมอยู่ ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ เทียบกับค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในกลุ่มนี้ที่ค่อนข้างสูงที่ 3.6%
ดังนั้น เราจึงมองว่าหุ้น AJP ควรซื้อขายที่ราคาส่วนลด นอกจากนี้ PBV ของตลาดทั้ง SET และ mai โดยเฉลี่ยขณะนี้ที่น้อยกว่า 3 เท่า (อยู่ที่ 2.2 เท่า และ 2.7 เท่า ตามลำดับ) เราประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมไม่ควรเกินระดับ 2.40 บาทสำหรับปี 56F และ 2.94 บาทสำหรับปี 57F (อ้างอิงมาจาก PBV 3 เท่า)
อนึ่ง ตามข้อมูลการซื้อขายวันแรกของหุ้นที่พ้นเหตุจากการถูกเพิกถอน อาทิ MALEE, NUSA และ NPK ราคาหุ้นจะซื้อขายที่ PBV ไม่เกิน 3 เท่าเช่นกัน ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.40 บาท
บทเรียนอันดับแรกของนักลงทุนก่อนที่จะเข้าลงทุนในหุ้นตัวไหนก็ตาม การสังเกตพฤติกรรมการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นเก็งกำไรหรือไม่ หากเป็นหุ้นเก็งกำไร นักลงทุนก็ต้องรับความเสี่ยงให้ได้ หากรับไม่ได้ควรงดที่จะเข้าไปลงทุน เนื่องจากยังมีหุ้นอีกมากมายหลายร้อยบริษัทที่ไม่ได้เป็นหุ้นเก็งกำไร มีพื้นฐานที่ดี มีปันผลสูงตามไตรมาส และยังมีธุรกิจที่สามารถจับต้องได้ หรือสามารถมีรายได้เข้ามาในปัจจุบัน โดยไม่ต้องคาดหวังอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
ประวัติปูมหลังของ AJP
การกลับมาจากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮบโก้) ครั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ให้พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและให้หลักทรัพย์ของบริษัทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2556 เป็นต้นไป โดยปลดเครื่องหมาย "SP" (Suspension) และ "NC" (Non-Compliance)
รวมทั้งย้ายหลักทรัพย์ AJP ออกจากกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non- Performing Group : NPG) และให้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2556 เป็นต้นไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540
ตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) (AJP) เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ กรณีบริษัทได้หยุดการประกอบธุรกิจขุดแร่ดีบุกตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ต่อมา AJP ได้ยื่นคำขอให้พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอโดยบริษัทได้ปรับปรุงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานแล้วและแสดงให้เห็นว่ามีการดำเนินธุรกิจอยู่
ปัจจุบันบริษัทมีการประกอบธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งได้รับสิทธิในการจัดหา และ/หรือ ผลิตโปรแกรมรายการโทรทัศน์ และ/หรือทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับผู้ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับช่องสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม จำนวน 16 ช่องสถานี เป็นระยะเวลา 10 ปี จากบริษัท เอ็ม วี เทเลวิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด
รวมทั้งบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ระดับชาติจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเป็นเวลา 1 ปีก่อนยื่นคำขอ ซึ่งพิจารณาจากงบการเงินประจำปี 2555 เท่ากับ 24.87 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 เท่ากับ 117.79 ล้านบาทรวมทั้งสามารถแสดงได้ว่าบริษัทมีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่มั่นคงตามสภาพธุรกิจของบริษัทไปอย่างต่อเนื่อง และบริษัทมีกำไรสุทธิในงวดสะสมก่อนยื่นคำขอ ซึ่งพิจารณาจากงบการเงินประจำไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 (งวด 6 เดือน ของปี 2556) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.20 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 เท่ากับ 130 ล้านบาท
ชำแหละงบการเงิน
ถ้าวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของ บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) หรือ AJP พบว่า บริษัทนี้ไม่ได้มีฐานะทางการเงินมั่นคงแข็งแกร่งจนไว้ใจได้ว่า ตัวบริษัทจะไม่กลับเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นครั้งที่ 2 เพราะเมื่อย้อนกลับมาดูงบการเงินไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 จะพบว่า รายการเงินสดและรายการเทียบเท่าลดลงเหลือแค่ 9.57 ล้านบาท ทั้งที่งวดก่อนหน้านี้มีเงินสดมากถึง 33.04 ล้านบาท สะท้อนถึงสภาพคล่องทางการเงินลดลงอย่างฮวบฮาบ และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในอนาคต
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ สินทรัพย์รวมที่มีทั้งสิ้น 139.33 ล้านบาท กลับอยู่ในรูปของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมากถึง 71.48 ล้านบาท ทั้งที่งวดก่อนหน้านี้มีแค่ 32.65 ล้านบาท และเมื่อลงไปดูในรายละเอียดของสินทรัพย์ดังกล่าวก็พบว่า เป็นค่าสิทธิในการบริหารจัดการช่องสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจำนวน 16 สถานี โดยเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2553 ถึงพฤศจิกายน 2563 จำนวน 8 สถานี และอีกส่วนหนึ่งเริ่มตั้งแต่มิถุนายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2566 จำนวน 8 สถานี ซึ่งไม่รู้ว่า ในงวดบัญชีถัดไปจะบันทึกตัวเลขที่สูงขึ้นหรือต่ำลง
ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่ใช่สาระสำคัญในการพิจารณา เนื่องจากบริษัทเพิ่งผ่านพ้นกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้ภาระหนี้สินที่เคยกัดกร่อนความมั่นคงของบริษัท ถูกแก้ไขไปในคราวเดียวกัน และทำให้หนี้สินรวมสุทธิมีแค่ 9.34 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้เป็นหนี้สินหมุนเวียนมากถึง 5.72 ล้านบาท และทั้งหมดก็เป็นหนี้ที่ไม่ได้เกิดจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
ตรงนี้อาจตีความได้หรือไม่ว่า AJP ไม่มีเครดิตในสายตาของสถาบันการเงิน?
เนื่องจากเมื่อมองถึงตัวเลขขาดทุนสะสมที่มีอยู่เป็นจำนวน 78.69 ล้านบาท อาจตีความได้ว่า บริษัทมีผลขาดทุนเรื้อรังมาเป็นเวลานาน จนสถาบันการเงินไม่อยากเข้าไปอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง หลังพิจารณาแล้วว่า ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวเลขกำไรในงวดนี้มีแค่ 6.52 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.58 ล้านบาท หรือ 0.33 บาทต่อหุ้น เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า บริษัทไม่ได้มีพัฒนาการที่ดีเลย
ส่วนนี้ยังตีความได้ว่า หากบริษัททำกำไรได้เท่านี้ต่อไปเรื่อยๆ กว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ไตรมาส หรือ ประมาณ 2 ปีครึ่ง?
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้หุ้นตัวนี้ยังน่ากลัว คือ ผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 บริษัทมีรายได้ลดลงเหลือ 56.97 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 57.36 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 12.20 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 13.50 ล้านบาท หรือ 0.67 บาทต่อหุ้น แสดงว่าความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างถดถอย
ที่สำคัญก็คือ เมื่อนำมูลค่าทางบัญชีของหุ้นที่ระดับ 0.65 บาท มาเทียบกับราคาหุ้นบนกระดานที่วิ่งขึ้นไปทำจุดสูงที่ระดับ 20 บาท ทั้งที่ค่า P/E ในตอนนั้นอยู่ที่ 106.03 เท่า และค่า P/BV อยู่สูงถึงระดับ 19.23 เท่า มองจากมุมไหน ด้านไหน ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานไปเยอะมาก เพราะถ้ามองในมุมของนักลงทุนแบบอนุรักษนิยม(conservative) โดยให้ค่า P/BV ที่ระดับ 3 เท่า ราคาเหมาะสมไม่น่าจะเกิน 2 บาท
สิ่งที่ต้องคิดถัดมาก็คือ การที่ AJP ประกาศตัวชัดเจนว่า จะดำเนินธุรกิจจัดหา ผลิต หรือร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่างเต็มตัว แต่ตัวบริษัทกลับทำรายได้แค่ปีละกว่า 100 ล้านบาท และทำกำไรตกปีละ 24 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.15 บาท จึงไม่คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน เพราะมูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นน้อยมากในแต่ละปี และยังไม่รู้ว่า ธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจะประสบความสำเร็จจริงไหมนั่นเอง
ยกเว้นบริษัททำกำไรได้อย่างมโหฬาร เมื่อถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที
เครดิตแหล่งข่าว
http://itrading.bualuang.co.th/th/list-tb.php?width=821&height=500&menuid=23&content=newtoday&contentid=1836136
ปล. ไม่เฉพาะตัวนี้หรอกนะครับ ตัวอืนๆด้วย หุ้นเน่า หุ้นผีตายซาก ถ้าใครอยากให้โอกาสหุ้นติดคุก ก็ขอให้แ
AJPบทเรียนราคาแพงของหุ้นเทิร์นอะราวด์
ราคาพื้นฐาน2.40บ.
AJP บทเรียนราคาแพงของหุ้นรีแฮบโก้ ราคาหุ้นร่วงต่อเป็นวันที่สาม จากดาว (20 บาท) สู่ดิน (8.45 บาท) ราคาหุ้นร่วง 2 ฟลอร์ ประเมินงบ หากทำกำไรได้เท่านี้ต่อไปเรื่อยๆ กว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมด 78.69 ล้านบาท ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ไตรมาส หรือ ประมาณ 2 ปีครึ่ง ราคาพื้นฐานไม่ควรเกิน 2.40 บาท
การกลับเข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้งของ บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) หรือ AJP หลังจากที่ถูกห้ามซื้อขายไปนาน 16 ปี หลายคนคาดหวังว่าราคาหุ้นจะเป็นหุ้นบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายร้อย หลายพันเท่า สตอรี่ที่ถูกวาดฝันให้กับนักลงทุนไปไกลจนสุดกู่ แบบไปแล้วไปเลย ไปไม่กลับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 20 บาท เทียบราคาปิดที่ระดับ 0.23 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น AJP ที่กลับมาซื้อขายวันแรก วันที่ 11 ก.ย. 2556 ราคาเปิดครั้งแรกที่ 13 บาท สูงสุด 17.80 บาท บวกไป 17.57 บาท เพิ่มขึ้น 7,639.13% เทียบราคาปิดเทรดครั้งสุดท้ายที่ราคา 0.23 บาท มูลค่า 2,964 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 12 ก.ย. 2556 ราคาหุ้นเปิดที่ระดับ 17.70 บาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 20 บาท โดยบรรยากาศการซื้อขายหุ้น AJP มีการปรับตัวขึ้น-ลงตามดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวบวก-ลบตลอดทั้งวัน โดยราคาหุ้นAJP สามารถยืนระยะได้ที่ระดับ 19 บาทตลอดทั้งวัน จนถึงเวลา 16.00 น. ราคาหุ้นก็ยังสามารถยืนได้ที่ระดับ 18.50 บาท
โดยช่วงเวลาหลัง 16.00 น. มีการปล่อยข่าวลือในห้องค้าของโบรกเกอร์ ว่า จะมีการแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม พอหลังจากมีการกระจายข่าวลือออกมานานพอสมควรแล้ว ก็มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลา16.10 น. ราคาได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยมีแรงขายที่เป็นออเดอร์หลักแสนหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ฝั่ง bid เหลือตั้งออเดอร์อยู่หลักหมื่นหุ้น ทำให้ราคารูดจากระดับ 18.50 บาท ลงมาที่ 15.50 บาท และมีแรงซื้อกลับ หวังพยายามยันราคาไว้ที่ระดับ 16 บาท ซึ่งเชื่อว่าแรงซื้อที่มีเข้ามานั้นเป็นแรงซื้อของคนที่เชื่อว่าจะมีการแจกวอร์แรนต์ฟรีตามข่าวลือที่กระจายไปทั่วห้องค้าทุกแห่ง แต่เนื่องจากแรงขายมีมากกว่าแรงรับ จึงทำให้ไม่มีออเดอร์เข้ามารับของ
หลังจากที่ราคาหุ้นไหลมาอยู่ที่ระดับ 15.50 บาทเดิม ก็มีแรงยื้ออยู่สักระยะที่ระดับ 14.90 บาท จากนั้นก็หลุดแนวรับสำคัญ ทำให้ไหลจนติดฟลอร์ (floor) ที่ 12.50 บาท จากนั้นก็มีแรงงัดซื้อกลับขึ้นมาจากราคาฟลอร์ จากนั้นก็มาเล่นกันที่ ราคา13.40-13.50 บาท ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง call market ตอนปิดตลาดหลังเวลา 16.30 น.
สำหรับราคาสุดท้ายก่อน call market อยู่ที่ 13.30 บาท จนปิดตลาดที่ระดับ 12.50 บาท ติดฟลอร์ โดยมีปริมาณหุ้นที่ซื้อขายช่วง call market จำนวนทั้งหมด 4,974,900 หุ้น จะเห็นได้ว่าราคาสุดท้ายก่อนปิดตลาดหุ้นอยู่ที่ 13.30 บาท แต่ปิดตลาดที่ระดับ 12.50 บาท แสดงให้เห็นมีว่าแรงเทขายออกมา ขณะที่ฝั่งรับน้อยมาก
วันต่อมา (13 ก.ย.) ราคาหุ้น AJP ติดฟลอร์อีกครั้ง ปิดที่ระดับ 8.75 บาท ติดลบ 3.75 บาท หรือลดลง 30% จนวานนี้ (16 ก.ย.) ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลงอีก โดยปิดที่ระดับ 8.45 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือ -3.43% แม้ไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวปิดที่ระดับ 1,445 จุด หรือบวกไป 44.03 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.14%
การหาคำตอบว่า หุ้น AJP จะลงตกลงไปต่ำอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ประกอบกับราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในปัจจุบันเป็นราคาที่สูงเกินพื้นฐานไปหรือไม่ คนที่จะให้คำตอบได้ดี น่าจะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ประเมินพื้นฐานของหุ้นตัวนี้
AJP ราคาพื้นฐานเหมาะสมไม่เกิน 2.4 บ.
การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น AJP เป็นการปรับตัวลงไปหาพื้นฐาน หรือราคาที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะ บทวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จากงบการเงินล่าสุดสิ้นไตรมาส 2/56 AJP มีส่วนของผู้ถือหุ้น 130 ล้านบาท (มีขาดทุนสะสมที่ราว 78 ล้านบาท) คิดเป็นมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น 0.65 บาท ถึงแม้ค่าเฉลี่ยราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (PBV) ของกลุ่ม MEDIA อยู่ที่ประมาณ 5.1 เท่า แต่ด้วยบริษัทเพิ่งเริ่มต้นสู่การฟื้นตัว ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ถึงความสำเร็จ และยังมีขาดทุนสะสมอยู่ ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ เทียบกับค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในกลุ่มนี้ที่ค่อนข้างสูงที่ 3.6%
ดังนั้น เราจึงมองว่าหุ้น AJP ควรซื้อขายที่ราคาส่วนลด นอกจากนี้ PBV ของตลาดทั้ง SET และ mai โดยเฉลี่ยขณะนี้ที่น้อยกว่า 3 เท่า (อยู่ที่ 2.2 เท่า และ 2.7 เท่า ตามลำดับ) เราประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมไม่ควรเกินระดับ 2.40 บาทสำหรับปี 56F และ 2.94 บาทสำหรับปี 57F (อ้างอิงมาจาก PBV 3 เท่า)
อนึ่ง ตามข้อมูลการซื้อขายวันแรกของหุ้นที่พ้นเหตุจากการถูกเพิกถอน อาทิ MALEE, NUSA และ NPK ราคาหุ้นจะซื้อขายที่ PBV ไม่เกิน 3 เท่าเช่นกัน ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.40 บาท
บทเรียนอันดับแรกของนักลงทุนก่อนที่จะเข้าลงทุนในหุ้นตัวไหนก็ตาม การสังเกตพฤติกรรมการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นเก็งกำไรหรือไม่ หากเป็นหุ้นเก็งกำไร นักลงทุนก็ต้องรับความเสี่ยงให้ได้ หากรับไม่ได้ควรงดที่จะเข้าไปลงทุน เนื่องจากยังมีหุ้นอีกมากมายหลายร้อยบริษัทที่ไม่ได้เป็นหุ้นเก็งกำไร มีพื้นฐานที่ดี มีปันผลสูงตามไตรมาส และยังมีธุรกิจที่สามารถจับต้องได้ หรือสามารถมีรายได้เข้ามาในปัจจุบัน โดยไม่ต้องคาดหวังอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
ประวัติปูมหลังของ AJP
การกลับมาจากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮบโก้) ครั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ให้พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและให้หลักทรัพย์ของบริษัทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2556 เป็นต้นไป โดยปลดเครื่องหมาย "SP" (Suspension) และ "NC" (Non-Compliance)
รวมทั้งย้ายหลักทรัพย์ AJP ออกจากกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non- Performing Group : NPG) และให้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2556 เป็นต้นไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540
ตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) (AJP) เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ กรณีบริษัทได้หยุดการประกอบธุรกิจขุดแร่ดีบุกตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ต่อมา AJP ได้ยื่นคำขอให้พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอโดยบริษัทได้ปรับปรุงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานแล้วและแสดงให้เห็นว่ามีการดำเนินธุรกิจอยู่
ปัจจุบันบริษัทมีการประกอบธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งได้รับสิทธิในการจัดหา และ/หรือ ผลิตโปรแกรมรายการโทรทัศน์ และ/หรือทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับผู้ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับช่องสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม จำนวน 16 ช่องสถานี เป็นระยะเวลา 10 ปี จากบริษัท เอ็ม วี เทเลวิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด
รวมทั้งบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ระดับชาติจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเป็นเวลา 1 ปีก่อนยื่นคำขอ ซึ่งพิจารณาจากงบการเงินประจำปี 2555 เท่ากับ 24.87 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 เท่ากับ 117.79 ล้านบาทรวมทั้งสามารถแสดงได้ว่าบริษัทมีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่มั่นคงตามสภาพธุรกิจของบริษัทไปอย่างต่อเนื่อง และบริษัทมีกำไรสุทธิในงวดสะสมก่อนยื่นคำขอ ซึ่งพิจารณาจากงบการเงินประจำไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 (งวด 6 เดือน ของปี 2556) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.20 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 เท่ากับ 130 ล้านบาท
ชำแหละงบการเงิน
ถ้าวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของ บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) หรือ AJP พบว่า บริษัทนี้ไม่ได้มีฐานะทางการเงินมั่นคงแข็งแกร่งจนไว้ใจได้ว่า ตัวบริษัทจะไม่กลับเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นครั้งที่ 2 เพราะเมื่อย้อนกลับมาดูงบการเงินไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 จะพบว่า รายการเงินสดและรายการเทียบเท่าลดลงเหลือแค่ 9.57 ล้านบาท ทั้งที่งวดก่อนหน้านี้มีเงินสดมากถึง 33.04 ล้านบาท สะท้อนถึงสภาพคล่องทางการเงินลดลงอย่างฮวบฮาบ และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในอนาคต
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ สินทรัพย์รวมที่มีทั้งสิ้น 139.33 ล้านบาท กลับอยู่ในรูปของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมากถึง 71.48 ล้านบาท ทั้งที่งวดก่อนหน้านี้มีแค่ 32.65 ล้านบาท และเมื่อลงไปดูในรายละเอียดของสินทรัพย์ดังกล่าวก็พบว่า เป็นค่าสิทธิในการบริหารจัดการช่องสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจำนวน 16 สถานี โดยเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2553 ถึงพฤศจิกายน 2563 จำนวน 8 สถานี และอีกส่วนหนึ่งเริ่มตั้งแต่มิถุนายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2566 จำนวน 8 สถานี ซึ่งไม่รู้ว่า ในงวดบัญชีถัดไปจะบันทึกตัวเลขที่สูงขึ้นหรือต่ำลง
ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่ใช่สาระสำคัญในการพิจารณา เนื่องจากบริษัทเพิ่งผ่านพ้นกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้ภาระหนี้สินที่เคยกัดกร่อนความมั่นคงของบริษัท ถูกแก้ไขไปในคราวเดียวกัน และทำให้หนี้สินรวมสุทธิมีแค่ 9.34 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้เป็นหนี้สินหมุนเวียนมากถึง 5.72 ล้านบาท และทั้งหมดก็เป็นหนี้ที่ไม่ได้เกิดจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
ตรงนี้อาจตีความได้หรือไม่ว่า AJP ไม่มีเครดิตในสายตาของสถาบันการเงิน?
เนื่องจากเมื่อมองถึงตัวเลขขาดทุนสะสมที่มีอยู่เป็นจำนวน 78.69 ล้านบาท อาจตีความได้ว่า บริษัทมีผลขาดทุนเรื้อรังมาเป็นเวลานาน จนสถาบันการเงินไม่อยากเข้าไปอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง หลังพิจารณาแล้วว่า ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวเลขกำไรในงวดนี้มีแค่ 6.52 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.58 ล้านบาท หรือ 0.33 บาทต่อหุ้น เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า บริษัทไม่ได้มีพัฒนาการที่ดีเลย
ส่วนนี้ยังตีความได้ว่า หากบริษัททำกำไรได้เท่านี้ต่อไปเรื่อยๆ กว่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ไตรมาส หรือ ประมาณ 2 ปีครึ่ง?
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้หุ้นตัวนี้ยังน่ากลัว คือ ผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 บริษัทมีรายได้ลดลงเหลือ 56.97 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 57.36 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 12.20 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 13.50 ล้านบาท หรือ 0.67 บาทต่อหุ้น แสดงว่าความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างถดถอย
ที่สำคัญก็คือ เมื่อนำมูลค่าทางบัญชีของหุ้นที่ระดับ 0.65 บาท มาเทียบกับราคาหุ้นบนกระดานที่วิ่งขึ้นไปทำจุดสูงที่ระดับ 20 บาท ทั้งที่ค่า P/E ในตอนนั้นอยู่ที่ 106.03 เท่า และค่า P/BV อยู่สูงถึงระดับ 19.23 เท่า มองจากมุมไหน ด้านไหน ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานไปเยอะมาก เพราะถ้ามองในมุมของนักลงทุนแบบอนุรักษนิยม(conservative) โดยให้ค่า P/BV ที่ระดับ 3 เท่า ราคาเหมาะสมไม่น่าจะเกิน 2 บาท
สิ่งที่ต้องคิดถัดมาก็คือ การที่ AJP ประกาศตัวชัดเจนว่า จะดำเนินธุรกิจจัดหา ผลิต หรือร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่างเต็มตัว แต่ตัวบริษัทกลับทำรายได้แค่ปีละกว่า 100 ล้านบาท และทำกำไรตกปีละ 24 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.15 บาท จึงไม่คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน เพราะมูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นน้อยมากในแต่ละปี และยังไม่รู้ว่า ธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจะประสบความสำเร็จจริงไหมนั่นเอง
ยกเว้นบริษัททำกำไรได้อย่างมโหฬาร เมื่อถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที
เครดิตแหล่งข่าว http://itrading.bualuang.co.th/th/list-tb.php?width=821&height=500&menuid=23&content=newtoday&contentid=1836136
ปล. ไม่เฉพาะตัวนี้หรอกนะครับ ตัวอืนๆด้วย หุ้นเน่า หุ้นผีตายซาก ถ้าใครอยากให้โอกาสหุ้นติดคุก ก็ขอให้แ