1
ที่คท. 320/2556
14 พฤศจิกายน 2556
เรื่อง ช้แี จงผลการดาํ เนนิ งานสำหรับไตรมาส 3 ส้นิ สดุ วนั ที่ 30 กันยายน 2556
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานตามงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธี
ส่วนได้เสียสำหรับงวดเกา้ เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กนั ยายน 2556 ซึ่งได้ผ่านการสอบทานจากผ้สู อบบัญชีรบั อนญุ าตแลว้
เป็นกำไรสุทธิจำนวน 379.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.33 ล้านบาท หรือร้อยละ 142.96 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด
เดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 156.22 ล้านบาท โดย ณ วันที่30 กันยายน 2556 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน
692.46 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงผลการดำเนินงานตามงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตาม
วิธีส่วนได้เสียสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 12.81 ล้านบาท ลดลง
37.72 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.65 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 50.53 ล้านบาท
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. รายได้รวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 จำนวน 390.39 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายได้ค่านายหน้าจำนวน 316.62 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวน 11.58 ล้านบาท
กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์จำนวน 13.38 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วน
ได้เสียจำนวน 10.67 ล้านบาท รายได้จากดอกเบี้ยรับและเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อ
หลักทรัพย์จำนวน 35.51 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ จำนวน 2.63 ล้านบาท ซึ่งทำให้รายได้รวมลดลง
19.46 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.75 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน
409.85 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก
1.1 รายได้ค่านายหน้า 316.62 ล้านบาท ลดลง 31.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.10 เมื่อเปรียบเทียบ
กับงวดเดียวกันของปีก่อนที่348.32 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์และ
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง
1.2 ค่าธรรมเนียมและบริการ 11.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 1,384.62 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 0.78 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องมาจากรายได้
ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
1.3 กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์13.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67 ล้านบาท หรือร้อยละ
53.62 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 8.71 ล้านบาท เนื่องจากกำไรจากการซื้อ
ขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 8.02 ล้านบาท กำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนเพื่อค้าลดลง 0.37 ล้าน
บาท ในขณะที่กำไรจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 2.98 ล้านบาท
1.4 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้น 2.45 ล้านบาท
2
1.5 รายได้ดอกเบี้ยรับและเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์35.51 ล้านบาท ลดลง
5.31 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.01 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่40.82 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจากยอดเงินให้กู้ยืม
เพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยลดลง ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นจากยอดเงินฝากธนาคาร
โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 จำนวน 373.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.52
ล้านบาท หรือร้อยละ 8.57 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 344.35 ล้านบาท ส่วน
ใหญ่เป็นผลมาจาก
2.1 ต้นทุนทางการเงิน 12.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.66 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.75 เมื่อเปรียบเทียบกับ
งวดเดียวกันของปีก่อนที่ 11.47 ล้านบาท เนื่องจากดอกเบี้ยจ่าย-เงินฝากหลักประกันของลูกค้า
เพิ่มขึ้น 2.56 ล้านบาท ตามปริมาณเงินฝากของลูกค้าโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่าย-ตั๋ว
แลกเงินและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินลดลง 1.90 ล้านบาท ตามตราสารหนี้ที่บริษัทออกและเงิน
กู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยเฉลี่ยที่ลดลง
2.2 ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 32.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.02 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.23 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่29.52 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายค่าธรรมเนียมด้าน
วาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น
2.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 304.87 ล้านบาท ลดลง 5.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.75 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่310.31 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าส่งเสริมการขาย
และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่แปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขาย
ล่วงหน้าที่ลดลง เช่น ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาด และส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารทีมค้า
หลักทรัพย์/สำนักงานสาขา เป็นต้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางส่วนเพิ่มขึ้นจากการ
ที่บริษัทมีการขยายธุรกิจมากขึ้นของสายงานตราสารทุนตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี2555 โดยได้
ขยายสำนักงานสาขาเพิ่มขึ้น จึงมีการรับผู้บริหารและพนักงานเพิ่มขึ้น
2.4 หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 24.33 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากหลักประกันของลูกหนี้รายเดิมมี
มูลค่าลดลง
3. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในตั๋วแลกเงิน
- ลูกหนี้ราย บริษัท บายพาสสแควร์จำกัด และบริษัท วีมัลติเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หนี้คงเหลือ
ณ 30 กันยายน 2556 จำนวน 99.50 ล้านบาท และ 39.50 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทได้
ยื่นฟ้องคดีแพ่งกับลูกหนี้และผู้ค้ำประกันทุกรายแล้ว โดยศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ลูกหนี้ทั้ง 2
รายและผู้ค้ำประกันทุกรายร่วมกันชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ปัจจุบันคดีลูกหนี้รายบริษัท บาย
พาสสแควร์จำกัด ศาลอุทธรณ์ได้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเพียงประเด็นเดียวคือให้ลูกหนี้
และผู้ค้ำประกันทุกรายร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 50,000 บาท นอกจากที่แก้
3
ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ส่วนคดีลูกหนี้ราย บริษัท วีมัลติเจมส์อินเตอร์เนชั่น
แนล จำกัด เมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2555 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาล
ชั้นต้น อย่างไรก็ตามลูกหนี้ทั้งสองราย บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครบถ้วนเต็มจำนวน
แล้ว
4. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในลูกหนี้อื่น
- หนี้คงเหลือณ 30 กันยายน 2556 จำนวน 397.72 ล้านบาท ลดลง 5.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.31
จากหนี้คงเหลือ ณ 31 ธันวาคม 2555 จำนวน 402.99 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องมาจากบริษัทได้รับชำระ
หนี้จากลูกหนี้ดำเนินคดีและบริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้อื่นครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว
จงึ เรียนมาเพอื่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวสุดธิดา จิระพัฒน์สกุล)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ผลการดำเนิน งานสำหรับไตรมาส 3 cgs
ที่คท. 320/2556
14 พฤศจิกายน 2556
เรื่อง ช้แี จงผลการดาํ เนนิ งานสำหรับไตรมาส 3 ส้นิ สดุ วนั ที่ 30 กันยายน 2556
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานตามงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธี
ส่วนได้เสียสำหรับงวดเกา้ เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กนั ยายน 2556 ซึ่งได้ผ่านการสอบทานจากผ้สู อบบัญชีรบั อนญุ าตแลว้
เป็นกำไรสุทธิจำนวน 379.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.33 ล้านบาท หรือร้อยละ 142.96 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด
เดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 156.22 ล้านบาท โดย ณ วันที่30 กันยายน 2556 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน
692.46 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงผลการดำเนินงานตามงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตาม
วิธีส่วนได้เสียสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 12.81 ล้านบาท ลดลง
37.72 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.65 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 50.53 ล้านบาท
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. รายได้รวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 จำนวน 390.39 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายได้ค่านายหน้าจำนวน 316.62 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวน 11.58 ล้านบาท
กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์จำนวน 13.38 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วน
ได้เสียจำนวน 10.67 ล้านบาท รายได้จากดอกเบี้ยรับและเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อ
หลักทรัพย์จำนวน 35.51 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ จำนวน 2.63 ล้านบาท ซึ่งทำให้รายได้รวมลดลง
19.46 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.75 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน
409.85 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก
1.1 รายได้ค่านายหน้า 316.62 ล้านบาท ลดลง 31.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.10 เมื่อเปรียบเทียบ
กับงวดเดียวกันของปีก่อนที่348.32 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์และ
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง
1.2 ค่าธรรมเนียมและบริการ 11.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 1,384.62 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 0.78 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องมาจากรายได้
ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
1.3 กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์13.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67 ล้านบาท หรือร้อยละ
53.62 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 8.71 ล้านบาท เนื่องจากกำไรจากการซื้อ
ขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 8.02 ล้านบาท กำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนเพื่อค้าลดลง 0.37 ล้าน
บาท ในขณะที่กำไรจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 2.98 ล้านบาท
1.4 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้น 2.45 ล้านบาท
2
1.5 รายได้ดอกเบี้ยรับและเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์35.51 ล้านบาท ลดลง
5.31 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.01 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่40.82 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจากยอดเงินให้กู้ยืม
เพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยลดลง ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นจากยอดเงินฝากธนาคาร
โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่30 กันยายน 2556 จำนวน 373.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.52
ล้านบาท หรือร้อยละ 8.57 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 344.35 ล้านบาท ส่วน
ใหญ่เป็นผลมาจาก
2.1 ต้นทุนทางการเงิน 12.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.66 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.75 เมื่อเปรียบเทียบกับ
งวดเดียวกันของปีก่อนที่ 11.47 ล้านบาท เนื่องจากดอกเบี้ยจ่าย-เงินฝากหลักประกันของลูกค้า
เพิ่มขึ้น 2.56 ล้านบาท ตามปริมาณเงินฝากของลูกค้าโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่าย-ตั๋ว
แลกเงินและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินลดลง 1.90 ล้านบาท ตามตราสารหนี้ที่บริษัทออกและเงิน
กู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยเฉลี่ยที่ลดลง
2.2 ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 32.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.02 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.23 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่29.52 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายค่าธรรมเนียมด้าน
วาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น
2.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 304.87 ล้านบาท ลดลง 5.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.75 เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่310.31 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าส่งเสริมการขาย
และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่แปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขาย
ล่วงหน้าที่ลดลง เช่น ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาด และส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารทีมค้า
หลักทรัพย์/สำนักงานสาขา เป็นต้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางส่วนเพิ่มขึ้นจากการ
ที่บริษัทมีการขยายธุรกิจมากขึ้นของสายงานตราสารทุนตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี2555 โดยได้
ขยายสำนักงานสาขาเพิ่มขึ้น จึงมีการรับผู้บริหารและพนักงานเพิ่มขึ้น
2.4 หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 24.33 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากหลักประกันของลูกหนี้รายเดิมมี
มูลค่าลดลง
3. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในตั๋วแลกเงิน
- ลูกหนี้ราย บริษัท บายพาสสแควร์จำกัด และบริษัท วีมัลติเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หนี้คงเหลือ
ณ 30 กันยายน 2556 จำนวน 99.50 ล้านบาท และ 39.50 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทได้
ยื่นฟ้องคดีแพ่งกับลูกหนี้และผู้ค้ำประกันทุกรายแล้ว โดยศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ลูกหนี้ทั้ง 2
รายและผู้ค้ำประกันทุกรายร่วมกันชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ปัจจุบันคดีลูกหนี้รายบริษัท บาย
พาสสแควร์จำกัด ศาลอุทธรณ์ได้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเพียงประเด็นเดียวคือให้ลูกหนี้
และผู้ค้ำประกันทุกรายร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 50,000 บาท นอกจากที่แก้
3
ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ส่วนคดีลูกหนี้ราย บริษัท วีมัลติเจมส์อินเตอร์เนชั่น
แนล จำกัด เมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2555 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาล
ชั้นต้น อย่างไรก็ตามลูกหนี้ทั้งสองราย บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครบถ้วนเต็มจำนวน
แล้ว
4. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในลูกหนี้อื่น
- หนี้คงเหลือณ 30 กันยายน 2556 จำนวน 397.72 ล้านบาท ลดลง 5.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.31
จากหนี้คงเหลือ ณ 31 ธันวาคม 2555 จำนวน 402.99 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องมาจากบริษัทได้รับชำระ
หนี้จากลูกหนี้ดำเนินคดีและบริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้อื่นครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว
จงึ เรียนมาเพอื่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวสุดธิดา จิระพัฒน์สกุล)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร